เฉินหลิงจวินกระจ่างแจ้งทันใด มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ไม่นานจู่ๆ นังเด็กโง่หน่วนซู่ก็มาหาตน เอ่ยประโยคโง่ๆ สองสามประโยค ทำนองว่าให้เขาตั้งใจฝึกตนให้ดี อย่าได้ผิดต่อความหวังที่นายท่านบ้านตนฝากไว้ให้
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “นายท่าน ท่านวางใจร้อยพันดวงได้เลย ข้าจะต้องรีบฝ่าทะลุขอบเขตในเร็ววันแน่ๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เรื่องที่มองดูเหมือนเร่งด่วนต้องรู้จักเตรียมการ ก็คือไม่ให้เจ้าถ่วงเวลาอิดออด เรื่องเร่งด่วนต้องรับมืออย่างสุขุม ก็คือต้องการให้เจ้าทำได้อย่างมั่นคงไร้ความผิดพลาด”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง “วันหน้าข้าจะอวี้เตี๋ยจดบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะหนังสือของภูเขาลั่วพั่ว ให้เป็นคติพจน์เตือนใจ”
คนชุดเขียวสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าอ่อนโยน เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนกอดอก สีหน้าลิงโลดเบิกบาน
สำนักเบื้องล่างของบ้านตนแห่งนี้
ชุยตงซาน ขอบเขตเซียนเหริน
จ้งชิว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุด
ชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด ลูกศิษย์ของอีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่อวี๋เสียหุย
เฉาฉิงหล่าง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกร กำลังจะกลายเป็นโอสถทอง
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหมี่อวี้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตคอขวดหยกดิบ คอขวดนี้ยังลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตยังคงห่างไกลมองไม่เห็นปลายทาง เลื่อนเป็นหยกดิบ ยาก ดังนั้นหมี่อวี้ถึงได้กลายเป็นตัวตลกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้คิดอยากจะฝ่าทะลุคอขวดหยกดิบก็ยิ่งยากมากกว่าเดิม
ผู้ฝึกตนทำเนียบศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่าง สุยโย่วเปียน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด นางนำพาลูกศิษย์ใหญ่อย่างเฉิงเฉาลู่ไปยึดครองภูเขาลูกหนึ่งเพื่อฝึกตนอยู่ด้วยกัน ภูเขาลูกนั้นถูกนางตั้งชื่อให้ด้วยตัวเองว่าหอซ่าวฮวา
อวี๋เสียหุยและเฉิงเฉาลู่ ตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาเป็นของตัวเอง
เส้าพอเซียน ราษฎรพลัดถิ่นของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า มีชาติกำเนิดมาจากสกุลตู๋กูของจูอิ๋ง คือองค์รัชทายาทที่ปิดบังชื่อแซ่ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด การที่จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางเคารพนอบน้อมต่อภูเขาลั่วพั่วอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน เรื่องการค้าขายในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำบ้านตัวเองก็ยอมถอยให้ชุยตงซาน แล้วยังถอยให้เฉินผิงอันอีก สุดท้ายก็แทบจะเท่ากับว่ามอบเงินให้ภูเขาลั่วพั่วเปล่าๆ ก็เพราะสาเหตุนี้นั่นเอง
สาวใช้เหมิงหลง ขอบเขตชมมหาสมุทร คือลูกหลานชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า มาจากแซ่สกุลเหมิง
สือชิว ขอบเขตถ้ำสถิต
ผีเซียนดินสองตนที่สิงร่างอยู่ใน ‘ยันต์เนื้อหนังมังสา’ คือคู่รักบนภูเขาที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเรือข้ามฟากเพียงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ เงียบขรึมพูดน้อย
และยังมีผู้ฝึกตนตกอับสามคนจากหอซูอี๋ของอวี้จือก่าง ตอนนี้พวกเขาถือว่ามีสถานะเป็นเค่อชิงของสำนักเบื้องล่างชั่วคราว อวี้จือก่างคิดอยากจะฟื้นคืนควันธูปการสืบทอด ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์
ตระกูลเซียนของใบถงทวีปในทุกวันนี้มองหายนะล้างสำนักของอวี้จือก่างในปีนั้นเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน มีข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงประมาณแปดคำคล้ายๆ กัน นั่นคือชักศึกเข้าบ้าน หาเรื่องใส่ตัว
ดังนั้นวันนี้ที่ทุกคนมารวมตัวกัน ลูกศิษย์ของหอซูอี๋สามคนก็ยังคงไม่เปิดเผยหน้าตา
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามหาสาเหตุ ถึงอย่างไรกิจธุระของสำนักเบื้องล่างไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมอบให้ชุยตงซานจัดการทั้งหมดอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีเรือข้ามฟากเฟิงยวนที่เชื่อมโยงสำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่างไว้ด้วยกัน
มีผู้ดูแลใหญ่อย่างผู้คุมกฎฉางมิ่ง ผู้ดูแลรองเจี่ยเฉิง นักบัญชีจางเจียเจิน ลูกคิดน้อยน่าหลันอวี้เตี๋ย
ต่อจากนี้เรือเฟิงยวนจะเดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง ระหว่างทางจะต้องผ่านท่าเรือใบท้อของราชวงศ์ต้าเฉวียน สำนักกุยหยก กระทั่งไปถึงท่าเรือชวีซานที่อยู่ทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป
เฉินผิงอันไม่ได้นั่งโดยสารเรือข้ามฟากออกเดินทางไกล แต่พาเสี่ยวโม่ เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างทะยานลมลงใต้ไปท่องเที่ยวด้วยกัน แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการออกเที่ยวภูเขาสายน้ำอะไร ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็คงไม่มีทางทิ้งกวอจู๋จิ่ว และยังมีจ้าวซู่เซี่ยกับจ้าวหลวนเอาไว้
เฉินผิงอันมีใจเห็นแก่ตัวและใจที่ปกป้องต่อลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มนี้ไม่เท่ากัน แต่เขาจะไม่มีทางทำอะไรอย่างลำเอียงเด็ดขาด
เพียงแต่เพราะเฉาฉิงหล่างคือตัวเลือกของเจ้าสำนักคนถัดไปที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว สำนักเบื้องล่างของตนคือมังกรข้ามแม่น้ำที่ข้ามทวีปจากแจกันสมบัติทวีปลงใต้มายังใบถงทวีป จึงจำเป็นต้องไปปรากฎตัวให้พวกงูเจ้าถิ่นของใบถงทวีปคุ้นหน้าคุ้นตา อีกทั้งก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของโจวอันดับหนึ่งก็ได้ตอบตกลงหวงอีอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานไว้แล้วว่าในอนาคตจะพาลูกศิษย์อย่างเผยเฉียนไปเป็นแขกที่บ้าน
นอกจากคาถาเซียนบทขอฝน ยังมีร่างเมฆาวารีที่เรียนรู้มาจากหอเซียนจิ่วเจิน ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากสำนักเบื้องล่างก็ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับเฉาฉิงหล่างและจ้าวหลวนแล้ว แน่นอนว่ายังมีไฉอู๋ แม่นางน้อยที่ชอบดื่มเหล้าต้มทุกวันอย่างน้อยครึ่งจินผู้นี้ยังคงให้เสี่ยวโม่เป็นคนถ่ายทอดวิชาแทนเหมือนเดิม เฉินผิงอันสอนนางไม่ได้จริงๆ
ก่อนจะออกเดินทางกวอจู๋จิ่วหัวเราะร่าถามศิษย์พี่หญิงใหญ่ว่าต้องการให้ตนออกเดินทางไกลไปเป็นเพื่อนหรือไม่
เผยเฉียนบอกว่าต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว
กวอจู๋จิ่วโบกมือ ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ถือเสียว่าข้าออกเดินทางไกลไปด้วยแล้วกัน ข้านอนอยู่ในบ้าน ไม่ได้ย่างเท้าออกไปไหนสักก้าว แต่กลับได้ท่องยุทธภพเปล่าๆ มารอบหนึ่ง ได้กำไรก้อนใหญ่แล้ว
เผยเฉียนยังจะทำอย่างไรได้อีก ได้แต่จนคำพูดกับนางเท่านั้น
เรื่องของการแขวนภาพเหมือนในศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่าง ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เดินขึ้นเขา ชุยตงซานได้บอกให้ฟังถึงความคิดของเขา คิดจะเชิญให้สหายรักบนภูเขาคนหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางให้มาช่วยวาดภาพเหมือนของอาจารย์ตัวเอง
คือจิตรกรเอกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับอู๋เต้าเสวียน มีฉายาว่ากู้เสียชิว และทั้งสองคนนี้ต่างก็ถูกใต้หล้าเรียกขานอย่างเคารพว่าอริยะแห่งการวาดภาพ แต่ละคนมีรูปแบบการวาดภาพเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คนหนึ่งลายพู่กันหนักแน่น ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งในไพศาล คนหนึ่งจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน ท่วงทำนองความหมายดุจสืบทอดจากเทพ ฝ่ายแรกมาจากราชวงศ์เดียวกันกับป๋ายเหย่ อีกทั้งอายุยังใกล้เคียงกัน ก่อนที่อาจารย์ผู้เฒ่าอู๋จะขึ้นเขาไปฝึกตนก็ได้ถูกขนานนามมานานแล้วว่า ‘อายุแค่ยี่สิบปีก็มีฝีมือของยอดจิตรกรเอกแล้ว’ ฮ่องเต้ยังถึงขั้นเคยออกคำสั่งว่าหากไม่มีคำสั่งห้ามเขาวาดภาพ เหตุผลก็เพราะ ‘กังวลว่ากลิ่นอายแห่งเทพจะกระจายออกไปรบกวนภูตผีวิญญาณของแคว้น’ ฝ่ายหลังมีทักษะในการวาดภาพสูงส่ง โดยเฉพาะเรื่องของการแต้มนัยน์ตาที่เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวถึงกับเอ่ยว่า ‘นับตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ในใต้หล้าก็ไม่เคยมีปรากฎมาก่อน’
คนทั้งสองต่างก็เชี่ยวชาญการวาดเซียนพุทธเทพและผี เป็นเหตุให้วัดวาอารามในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หากสามารถเชื้อเชิญจิตรกรคนใดคนหนึ่งมาวาดภาพฝาผนังให้ได้ก็ถือเป็นเกียรติใหญ่เทียมฟ้า
ในอดีตภาพเหมือนของเหวินเซิ่งในศาลบุ๋นที่แขวนไว้ทั่วใต้หล้าก็มาจากฝีมือของอาจารย์ผู้เฒ่าอู๋ผู้นี้เอง
ปีนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้พึงพอใจมาก แต่ทุกวันนี้กลับไม่ค่อยพอใจแล้ว เพราะตอนอยู่ที่ตำหนักปี้โหยวลำคลองม่ายเหอของใบถงทวีป และยังมีสำนักศึกษาชุนซานแจกันสมบัติทวีป สองครั้งที่เขาเดินทางไปเยือนล้วนไม่มีใครจำเขาได้ในทันที นี่แสดงให้เห็นว่าภาพเหมือนนั้น แม้จะเหมือนกับตัวจริงก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดจิงชี่เสินบางส่วนที่แม้จะเข้าใจได้ แต่ไม่อาจวาดถ่ายทอดออกมาได้
ดังนั้นครั้งนี้ซิ่วไฉเฒ่ากลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจึงได้ตั้งใจไปเยี่ยมหาอริยะแห่งการวาดภาพท่านนั้นเป็นพิเศษ ตบไหล่ของอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วซิ่วไฉเฒ่าก็ทอดถอนใจ สายตาฉายแววตำหนิ ‘ในเมื่อเป็นสหายกัน ข้าก็ไม่พูดอะไรมากแล้ว เพราะถึงอย่างไรปีนั้นก็เป็นข้าเองที่ไปขอให้เจ้าวาดภาพเหมือนให้ถึงที่บ้าน จะโทษใครไม่ได้ เร็วเข้า เอาเหล้ามากาหนึ่ง ความยอกแสลงใจบางอย่าง พวกเราสองพี่น้องเอาเหล้ามาดื่มให้เปรมปรีดิ์ก็ถือว่าเรื่องทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว’
ทำเอาอาจารย์ผู้เฒ่าโมโหจนเอียงหน้า ยกมือตบใบหน้าตัวเอง ‘เจ้าของสิ่งนี้ล่ะ? วิ่งหนีหายไปไหนแล้ว ถูกใครบ้างคนคาบไปแล้วหรือ?’
อันที่จริงชุยตงซานได้ส่งภาพเหมือนสองภาพของอาจารย์บ้านตนไปให้กับตาเฒ่ากู้แล้ว
รูปหนึ่งเป็นรูปที่อาจารย์อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาตอนยังเป็นเด็กหนุ่ม อีกรูปหนึ่งคือตอนที่อิ่นกวานหนุ่มเข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น
หากตาเฒ่ากู้กล้าจัดการแค่พอถูไถ กล้าวาดไม่ดี ไม่เหมือน ไม่คล้ายคลึงทางจิตวิญญาณมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าชุยตงซานไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่แล้งน้ำใจก็แล้วกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!