เมืองหลวงแคว้นเหลียง ดวงอาทิตย์ฤดูหนาวลอยสูงส่องแสงเจิดจ้า อารามเต๋าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นตามพระราชโองการจากจักรพรรดิ หากมีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาในนี้จะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอารามเต๋าพันปีแห่งหนึ่งแน่นอน นี่คืออารามใหม่ที่ท้องพระคลังของแคว้นใช้เงินทองของจริงเกือบสองล้านตำลึงสร้างขึ้นมาให้มีรูปแบบเหมือนของเก่า
แสงอาทิตย์สาดลงบนกระเบื้องแก้วสีเขียวมรกตบนหลังคาตำหนักแห่งหนึ่ง บนสันหลังคามีรูปสัตว์ลักษณะมีชีวิตชีวาเสมือนจริงปั้นเรียงยาวเป็นแถว หนึ่งในนั้นคือรูปปั้นของซวนหนีที่รูปร่างคล้ายสิงโต มันเหมือนกำลังส่ายสะบัดศีรษะ
ทิวาราตรีมีความต่างห่างเพียงเสี้ยว
บนหลังคาก็คือทิวาเจิดจ้า ทว่าใต้ชายคากลับเป็นม่านราตรีหนาหนัก ท่ามกลางความมืดสลัวมีสตรีถือโคมวังหลวงอยู่ในมือ เดินอยู่ในระเบียงอย่างเนิบช้า มือเรียวยาวดุจหยกขาวนวลดั่งแสงจันทร์
นางเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในระเบียงแห่งนั้น ทุกครั้งจะต้องเดินผ่านประตูใหญ่สีชาดสองบาน เพียงหนึ่งประตูกั้นขวางกลับมีฟ้าดินที่แตกต่างกัน
ในห้อง เด็กหนุ่มชุดขาวที่บนหน้าผากมีไฝแดงลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง มองไกลๆ มายังนักพรตเฒ่าคนหนึ่ง ก็คือเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์คนปัจจุบัน เหลียงส่วง
และเวลานี้ ตรงหน้าประตูศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนของแคว้นเหลียง เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น อันที่จริงยังคงกอดคอพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างสนุกสนาน ด้านข้างของบันไดก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่นั่นมีเสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวเพิ่มมาคนหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว เจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าต่างหากถึงจะเป็นร่างจริงของเหลียงส่วงเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์
ชุยตงซานถอนหายใจ สงครามครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่านอกจากเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวแล้ว ไม่ว่าใครก็คล้ายจะไม่สุขสบายทั้งนั้น
ยกตัวอย่างเช่นเจินเหรินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เรือนกายและจิตวิญญาณของเขาเริ่มแห้งเหี่ยวถึงขั้นที่ตาเนื้อของคนธรรมดาก็ยังเห็นได้ชัดเจน เส้นผมบางเบาหร็อมแหร็ม พอจะฝืนรวบทำเป็นมวยสวมกวานทองได้อย่างถูไถ ร่างของผู้เฒ่าผอมแห้งเหมือนท่อนฟืน เป็นเหตุให้ชุดคลุมเต๋าสีม่วงที่เดิมทีกว้างใหญ่บนร่างยิ่งดูหลวมโพรกอย่างเห็นได้ชัด
เหลียงส่วงวางสองมือทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง นิ้วโป้งสองข้างดันกัน กำลังเข้าฌานทำสมาธิ เพื่อทำให้จิตวิญญาณมั่นคงและบำรุงเรือนกายที่มีเลือดเนื้อซึ่งกำลังซูบโทรม
ด้านหลังผู้เฒ่ายังมีกายธรรมร่างทองที่ล่องลอยเป็นภาพมายา แต่กลับคล้ายภาพแขวนภาพหนึ่งที่ล่องลอยไปตามสายลม
เรือนกายทั้งสามมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน ร่างของชุยตงซานเล็กเท่าเมล็ดงา เจินเหรินใหญ่เหมือนขุนเขา กายธรรมใหญ่โตโอฬารเหมือนดวงดาวดวงหนึ่ง
อันที่จริงชุยตงซานก็เพิ่งจะเคยเจอเจินเหรินผู้เฒ่าเป็นครั้งแรก
แม้ว่ามองดูเหมือนเจินเหรินผู้เฒ่าจะนอนหลับ แต่ทุกครั้งที่หายใจ เจ็ดทวารบนใบหน้ากลับมีลมปราณที่แท้จริงเหมือนน้ำตกไหล เหมือนมีงูขาวหลายตัวลอยห้อยอยู่บนผนัง บางครั้งปราณแห่งมรรคาที่ไหลกระจายหายไปก็จะกลายร่างเป็นตัวอักษรสีม่วงตัวหนึ่ง ราวกับว่ากำลังคัดคัมภีร์หนึ่งเล่ม ทุกครั้งที่เชื่อมโยงต่อกันกลายเป็นประโยคก็จะกลับเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด ประหนึ่งแม่น้ำลำคลองแต่ละสายที่พากันไหลกรูเข้าหามหาสมุทร ถูกเซียนเหรินชักนำให้ไหลย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง ตัวอักษรสีม่วงร้อยเรียงกันประโยคแล้วประโยคเล่าที่แม้จะกลายเป็นประโยคแล้วก็พลันถอยกลับ แต่กระนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยของยันต์วิเศษที่มิอาจลบเลือนไว้ท่ามกลางความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเจินเหรินผู้เฒ่า ประกายแสงหม่นมัว ลายอักษรสลัวราง ชุยตงซานที่มองมาไกลๆ จึงเหมือนคนอ่านหนังสือใต้แสงจันทร์
เซียนสวรรค์นั่งนิ่งก่อกำเนิดปราณแห่งมรรคา จรดพู่กันลงบนห้องที่ว่างเปล่ากลายเป็นลมวสันต์
หากไม่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส เทียนซือใหญ่ต่างแซ่ผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดด่าน วาดพื้นที่เป็นกรงขังอยู่ที่นี่ เวลาปกติได้แค่ปล่อยให้จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลเท่านั้น
ชุยตงซานที่เป็นคนใจจืดใจดำมองเห็นภาพนี้กับตาตัวเองก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
เจินเหรินเหลียงส่วงมีฉายาว่าไท่อี๋
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เขามีมาดองอาจสง่างาม บุคลิกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
อยู่บนภูเขาก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นชายงามคนหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเหลียงส่วงที่มารับหน้าที่เป็นเทียนซือแทนฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ผู้นี้ก็เหมือนกับผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์คนนั้น ชอบปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา อีกทั้งหากจะนับกันตามลำดับอาวุโส นับกันตามอายุขัยที่ยาวนาน เหลียงส่วนก็มีลำดับอาวุโสสูงกว่าและอายุมากกว่า
ลำพังเพียงแค่หลังจากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ช่วงเวลาที่เจินเหรินผู้เฒ่าปิดด่านไม่ต้อนรับแขกก็ยาวนานหลายพันปี บวกกับบนเส้นทางการฝึกตนของเหลียงส่วง จำนวนครั้งที่เขาลงมือมีน้อยมาก เป็นเหตุให้นานวันเข้า ใต้หล้าไพศาลจึงไม่เคยรับรู้ว่ามีบุคคลบนยอดเขาที่เป็นเช่นนี้อยู่
ในช่วงเวลาที่ชุยฉานเป็นหนุ่ม ได้ติดตามซิ่วไฉเฒ่าออกเดินทางท่องเที่ยวไปด้านนอก ก็เคยไปเยี่ยมเยือนเหลียงส่วง ผลคือต้องกินน้ำแกงประตูปิดที่ไม่ไว้ไมตรีกันแม้แต่น้อย ทำให้จนถึงทุกวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังจดจำได้ไม่ลืม ไม่ได้เจอตัวคนก็ช่างเถิด แต่ขนาดเหล้าก็ยังไม่ได้ดื่ม มีอย่างที่ไหนกัน ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เจินเหรินผู้เฒ่ายังคงหลับตาทำสมาธิ แต่กลับสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจที่แปรปรวนของชุยตงซานได้ จึงเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ทุกคนต่างมีชะตาเป็นของตัวเอง ชีวิตคนเกิดมามีทั้งราบรื่นและทั้งเจออุปสรรค ไยต้องเสียใจ”
จากนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าก็หัวเราะ “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ตอนนี้มามองดูแล้ว ไม่ใช่ซิ่วหู่ฉุยชานในอดีตอีกแล้วจริงๆ”
ชุยตงซานที่อยู่ในโลกธาตุขนาดเล็กของสภาพจิตใจเจินเหรินผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ เอ่ยถามว่า “มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่ผู้เยาว์พอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่?”
ส่วนเรื่องที่เหลียงส่วงซ่อมแซมมหามรรคาในตอนนี้ก็ช่างเถิด ชุยตงซานรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่ค้ำฟ้าเช่นนั้น
ดูเหมือนเจินเหรินผู้เฒ่าจะ ‘คัดลอก’ คัมภีร์เล่มหนึ่งเสร็จแล้ว จิตแห่งมรรคาจึงยิ่งเหมือนบ่อโบราณไร้คลื่นมากยิ่งขึ้น เขาลืมตาเอ่ยว่า “ไม่มี”
ฝั่งนี้สองฝ่ายมีการพูดคุยกัน ที่หน้าประตูศาลเทพภูเขาก็มีการพูดคุยเหมือนกัน นักพรตชุดม่วงเล่าถึงการลอบฆ่าในปีนั้นให้เฉินผิงอันฟัง ไม่มีความห้าวเหิมแม้แต่น้อย กลับกันยังมองเป็นความอัปยศด้วย
เมื่อเทียบกับร่างจริงที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เหลียงส่วงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นที่อยู่ที่ศาลคล้ายจะรวบรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาและความสุขทุกข์ความเศร้าความดีใจทั้งหมดของร่างจริงเอาไว้ เป็นเหตุให้หากยินดีก็ปิติยินดีอย่างล้นเหลือ หากเศร้าโศกก็เศร้าอาลัย หากเดือดดาลก็โกรธเกรี้ยวรุนแรง
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อย่างมากที่สุดก็ถือได้ก้าวเข้าสู่ฟ้าดินใหญ่ของขอบเขตสิบสี่เพียงครึ่งก้าว ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่บนยอดเขาคนหนึ่งที่มีถิ่นฐานอยู่ในใบถงทวีปให้บาดเจ็บได้ ยังสามารถหนีรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้ หากนี่ยังไม่ใช่วีรกรรมยิ่งใหญ่ แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นผู้เยาว์จึงสงสัยใคร่รู้อย่างมากว่าสรุปแล้วผู้อาวุโสทำได้อย่างไรกันแน่?”
เหลียงส่วงเอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องราวและผู้คนล้วนเป็นไปตามลิขิตฟ้า เพียงแค่นี้เท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!