เซียนซือเฒ่าลูบหนวดไม่พูดไม่จา สุดท้ายเป็นเพราะปฏิเสธไม่ได้จริงๆ จึงขี่เมฆทะยานหมอกร่ายสมบัติแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นออกมา ใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน ประกายแสงแวววาวไหลริน แสงศักดิ์สิทธิ์สาดสะท้อนไปครึ่งสนามรบ เทพเซียนผู้เฒ่าร่ายวิชาเซียน เพียงไม่นานก็ช่วงชิงเอาคุณความชอบที่ไม่เล็กครั้งหนึ่งมาได้ เวทคาถาหล่นลงพื้น ผู้ฝึกตนเฒ่าคิดดูแล้วรู้สึกว่าปราณวิญญาณยังเหลือค่อนข้างมากจึงเตรียมจะเรียกวิชาอภินิหารก้นกรุอีกอย่างหนึ่งออกมาแล้วถอยออกจากสนามรบ คิดไม่ถึงว่าจะโดนลูกธนูที่ผลิตด้วยกรรมวิธีลับจากบนภูเขาของกองทัพศัตรูระดมยิงเข้าใส่ ทำลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำของสมบัติหนักที่สามารถป้องกันได้ชิ้นนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าหมายจะถอยออกไปก่อนล่วงหน้า แต่กลับถูกผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลคนหนึ่งง้างคันธนูใหญ่ยักษ์ ใช้การยิงลูกธนูติดต่อกันเป็นสายฆ่าเขาให้ตายคาที่ ลูกธนูที่แกะสลักอักขระยันต์ลายเมฆสิบกว่าดอกนั้นถึงกับวาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ ประหนึ่งเงาตามติดตัว ผู้ฝึกตนเฒ่าที่หลบไม่พ้น ตรงหน้าอกถูกลูกธนูแทงทะลุจนมีขนาดใหญ่เท่าเงินเหรียญทองแดง
ภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่นอกสนามรบ
เผยเฉียนเห็นภาพนั้นแล้วก็เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนพาตัวเข้าสู่สนามรบ คิดจะช่วงชิงคุณความชอบมาไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากคิดอยากจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวมาตัดสินแพ้ชนะบนสนามรบ สังหารทหารล่างภูเขาในกองทัพใหญ่อย่างกำเริบเสิบสานกลับทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น มิอาจทำซ้ำได้”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์
แต่เสี่ยวโม่กลับใจลอย
ยามที่หิมะตก ตรงริมสะพานโบราณแห่งหนึ่ง ต้นเหมยเก่าแก่หลายต้นกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งเหมยทั้งหิมะต่างก็สะอาดสดชื่น
ปลายด้านหนึ่งของสะพานยาวคล้ายว่าจะมีอาจารย์ผู้เฒ่าจากสำนักศึกษาคนหนึ่งนำพาบัณฑิตกลุ่มหนึ่งออกทัศนาจร มาปักหลักชมทัศนียภาพอยู่ที่นี่
อันที่จริงคือผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่มีอายุประมาณเจ็ดสิบปี เขากำลังเล่าเรื่องตระกูลเซียนที่ล่องลอยดุจภาพมายาให้กับลูกศิษย์ในสำนักฟัง พูดถึงวิชาคาถา คู่ครอง สมบัติ สภาพแวดล้อม สี่อย่างในการฝึกตน บอกว่าคนที่เป็นเซียนดินสามารถเป็นเด็กที่มีอายุพันปี ฝีเท้าแผ่วเบา ก้าวเดินประหนึ่งโบยบิน เป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย เข้าออกพื้นที่สวรรค์ถ้ำมงคล ก้าวข้ามห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร สยบห้าบรรพตหมื่นภูเขา
คำพูดประโยคนี้พูดเสียจนพวกลูกศิษย์ที่เพิ่งขึ้นเขาได้แค่ไม่กี่ปีสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา รู้สึกเลื่อมใสถึงขีดสุด
ผู้ฝึกตนเฒ่ายื่นมือมาปัดหิมะที่ทับถมอยู่บนสะพานเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เส้นทางบนภูเขามีมากมาย ทว่านับแต่โบราณมาวิชามากมายนับร้อยพัน เหล่าลูกศิษย์ล้วนสามารถเรียกร้องอยากเรียนรู้ได้ มีเพียงสายของเซียนกระบี่เท่านั้นที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่อาจารย์รับลูกศิษย์ ไม่เคยมีลูกศิษย์ที่เป็นฝ่ายไปตามหาอาจารย์แล้วร่ำเรียนได้สำเร็จ เซียนกระบี่รับลูกศิษย์ล้วนมีธรณีประตูที่สูงเทียมฟ้าเสมอ ยอมให้การสืบทอดสาบสูญ แต่ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ …”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพยักหน้า “มิน่าเล่าใต้หล้าถึงมีเซียนกระบี่น้อยขนาดนี้”
เด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่ “เจ้าอย่าพูดแทรกท่านอาจารย์”
ผู้ฝึกตนเฒ่าใช้หลังมือปัดกองหิมะ หิมะจึงหล่นลงไปบนพื้นน้ำแข็งที่อยู่ด้านล่าง “มีการเล่าลือมาแต่โบราณว่า เซียนกระบี่ที่แท้จริง บนร่างจะต้องมีเวทกระบี่ชั้นสูง ได้รับวาสนาจากฟ้าดิน เป็นเหตุให้ดูแคลนที่จะใช้ศาสตราวุธเทพมาโดยตลอด ขอแค่หลอมเม็ดกระบี่เม็ดหนึ่งออกมาได้ก็จะมีความมหัศจรรย์ดั่งการจำแลงของมังกรเทพ มีจิตแห่งมรรคาที่สงบบริสุทธิ์เป็นกล่องกระบี่ ห้องว่างเปล่าสีขาวดุจดวงตะวันจันทรา สามารถตัดหัวคนได้ไกลพันลี้…”
ลูกศิษย์ทั้งกลุ่มฟังด้วยความเคลิบเคลิ้มเหมือนได้ดื่มเหล้า อืม เว้นจากเด็กหนุ่มที่ชอบพูดขัดจังหวะ เขาอดไม่ไหวเปิดปากอีกครั้งว่า “อาจารย์อา คราวก่อนที่พวกเราเจอสหายบนภูเขาของท่าน ขอร้องเขาอยู่ตั้งนาน อีกฝ่ายก็ยังตัดใจมอบรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับนั้นให้ท่านไม่ได้ ไหนเขาบอกว่าใต้หล้านี้มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่หรือ? ในรายงานก็บอกแล้วว่าสถานที่แห่งนั้นไม่ใหญ่ แต่ทุกคนล้วนเป็นเซียนกระบี่ ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเซียนกระบี่ผู้อาวุโสถึงรับเซียนกระบี่ใหม่มาเป็นลูกศิษย์ล่ะ?”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายังคงยิ้มเป็นปกติ แต่ในใจกลับเอ่ยนินทาไม่หยุด เหตุใดศิษย์พี่ถึงได้รับคนอย่างนี้มาเป็นลูกศิษย์กันนะ เจ้าเด็กนี่เวลาปกติอยู่ที่บ้านชอบช่วยคนสร้างบ้านหรืออย่างไร ถึงได้ชอบรื้อเวที (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบพูดขัดคอ ขัดจังหวะผู้อื่น) คนอื่นอย่างนี้
อันที่จริงตัวผู้เฒ่าเองก็เพิ่งจะรู้ว่ามีสถานที่ที่ชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จากรายงานขุนเขาสายน้ำของสหายรักเช่นเดียวกัน
ห่างไปไกลบนฝั่งตรงข้าม คนกลุ่มหนึ่งเดินย่ำหิมะขึ้นมาบนสะพาน ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงดังแสกสาก
ผู้ฝึกตนเฒ่าหันหน้าไปมอง ท่ามกลางลมหิมะ คนชุดเขียวคนหนึ่งเดินนำมาด้านหน้าสุด มือสองข้างปั้นลูกหิมะลูกหนึ่ง ข้างกายเขามีคนติดตามมาสามคน ดูท่าแล้วน่าจะอายุไม่มากนัก
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์อา ท่านรีบร่ายเวทคาถาเร็วเข้า คาถาพวกเปิดตาทิพย์อะไรนั่นน่ะ ช่วยข้าดูหน่อยว่าในกลุ่มคนมีเซียนกระบี่ที่ต้องการลูกศิษย์อยู่บ้างหรือไม่”
ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าก็ไปถามเอาเองสิ!”
บนสะพานโบราณแห่งหนึ่ง คนสองกลุ่มเดินสวนไหล่ผ่านกันไป
ผู้ฝึกตนเฒ่าเป็นฝ่ายผงกศีรษะยิ้มทักทายก่อน บุรุษชุดเขียวที่ตรงเอวพกดาบคู่ยิ้มผงกศีรษะทักทายกลับคืน
พอคนกลุ่มนั้นจากไปไกลแล้วเด็กหนุ่มก็เอ่ยว่า “อาจารย์อา คาดว่าน่าจะไม่มีเซียนกระบี่หรอก ขนาดเดินยังมีเสียงเลย ไม่ใช่ว่าย่ำหิมะไร้ร่องรอยสักนิด”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคร้านจะสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ เล่าเรื่องราวประหลาดน่าสนใจและเรื่องราวของเทพเซียนบนภูเขาต่อไป อันที่จริงเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล่าที่ผู้เฒ่าฟังคนอื่นเล่ามาอีกที
นครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน หลังจากที่หิมะตกลงมาจะเหมือนดินแดนเซียนแก้วใส งดงามเกินคำบรรยาย แยกไม่ออกว่าเป็นบนสวรรค์หรือโลกมนุษย์
คนต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งออกเดินทางไกลกันต่อ ส่งมอบเอกสารผ่านด่านให้ที่หน้าประตูเมือง
เฉาโม่ เจิ้งเฉียน
ส่วนเฉาฉิงหล่างกับเสี่ยวโม่นั้นใช้สถานะของคนสำมะโนครัวราชวงศ์ต้าหลี
รอให้สำนักเบื้องล่างก่อสร้างเสร็จ เฉาฉิงหล่างก็จะมีสถานะทำเนียบหยกทองของผู้ฝึกตนใบถงทวีปเพิ่มมาอีกสถานะหนึ่ง
หลังเดินออกมาจากกรอบประตูแล้ว เสี่ยวโม่ก็เอ่ยว่า “คุณชาย ในใต้หล้าไพศาล สตรีตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ มีให้เห็นไม่บ่อยกระมัง?”
สตรีนั่งว่าราชการหลังม่าน กลับมีจำนวนอยู่ไม่น้อย
ฮ่องเต้แห่งต้าเฉวียน เหยาจิ้นจือ
เฉินผิงอันพยักหน้า “หายากมาก”
นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เฉินผิงอันก็เอ่ยกับเฉาฉิงหล่างว่า “ทุกวันนี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็คือหลิวจงคนลับดาบของพื้นที่มงคลบ้านเกิดของพวกเจ้า คราวก่อนข้ากับเผยเฉียนได้พบหลิวจงที่นี่ เขายังเป็นคอขวดขอบเขตร่างทอง แต่นี่ก็เป็นเพราะความตั้งใจของเจ้าอารามผู้เฒ่า ทำให้การฝ่าทะลุขอบเขตของหลิวจงยากกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปมาก”
เผยเฉียนเม้มริมฝีปาก
เฉาฉิงหล่างเหลือบมองมาทางนาง
เนื่องจากเมื่อก่อนเฝ้าหน้าประตูภูเขาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย ฟังหมี่ลี่น้อยเล่าว่า ปีนั้นเผยเฉียนเดินทางผ่านราชวงศ์ต้าเฉวียนเป็นเพื่อนเจ้าขุนเขาคนดีก็เกิดเรื่องมากมายเป็นกระบุงโกยเลยล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!