เป็นเหตุให้คนมากมายที่มีโชควาสนา หากเป็นคนแก่จะมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อขีดจำกัดด้านความเป็นความตายมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุสมณศักดิ์สูงที่เป็นมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธ เจินเหรินผู้บรรลุมรรคาของลัทธิเต๋าที่ถึงขั้นสามารถรู้เวลาตายของตัวเองได้
ก็เหมือนการไปอยู่ตรงจุดตัดระหว่างทะเลและบนบก แล้วหยุดเท้าหันมองกลับไป นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าความสดใสสุดท้ายก่อนตาย
นอกจากนี้คนบนภูเขาช่วยต่ออายุขัยให้กับคนล่างภูเขาก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการเบิกใช้ล่วงหน้า จะทำลายโชควาสนาจากบุญกุศลที่สร้างไว้ของคนที่กินยาโดยที่มองไม่เห็น ดังนั้นความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของยาทั้งสองเม็ดนี้คือใช้บุญกุศลส่วนหนึ่งหลอมเข้าไปในตัวยา สามารถต่ออายุขัยให้กับแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาได้หนึ่งปีกว่า เท่ากับว่าเป็นความสดใสเสี้ยวสุดท้ายที่เวลายาวนานมากครั้งหนึ่ง และนี่ก็เป็นขีดจำกัดแล้ว
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยว่า “คุณชาย หากเดาสถานะไม่ผิด ใต้เท้าเจ้าเมืองน่าจะใกล้มาถึงเรือนพวกเราแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “เจอกับเขาแล้วค่อยไปจวนเหยาด้วยกัน”
พอไปถึงหน้าประตูก็ได้เจอกับเหยาเซียนจือที่ใบหน้าไม่เต็มไปด้วยหนวดเคราอีกแล้ว แม้ว่าสีหน้าของเจ้าเมืองท่านนี้จะดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ดวงตาคู่นั้นกลับสว่างเจิดจ้าเหมือนเด็กหนุ่มในอดีตคนนั้น
เดินออกจากตรอกไปด้วยกัน ตอนที่เฉินผิงอันพูดถึงยากับเหยาเซียนจือ เหยาเซียนจือที่เดินขากะเผลกข้างหนึ่งถึงกับไม่เอ่ยประโยคเกรงใจอะไรแม้แต่ครึ่งคำ กับอาจารย์เฉิน มีอะไรให้ต้องเกรงใจกันเล่า
ไม่อาจเปลี่ยนคำเรียกขานอีกฝ่ายว่าพี่เขย นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
เหยาเซียนจือเอ่ยเบาๆ “อาจารย์เฉิน ข้าช่วยตรวจสอบให้แล้ว ทางฝั่งของแคว้นเป่ยจิ้นไม่มีภิกษุที่อาจารย์เฉินพูดถึงคราวก่อนไปจำวัดที่วัดหรูชวี่”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ภิกษุที่มีพระธรรมอยู่ในใจอย่างแท้จริง จะพบเจอได้คงต้องแล้วแต่วาสนาเท่านั้น”
คราวก่อนที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เหยาเซียนจือได้คลายปมในใจไปแล้วไม่น้อย ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขึ้นหลังม้ากลับไปทำอาชีพเก่าที่ชายแดนอีกแล้ว เขาจะเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ต่อไป แต่เฉินผิงอันจะต้องเก็บตำแหน่งผู้ถวายงานสำนักเบื้องล่างไว้ให้เขาตำแหน่งหนึ่ง
ฮ่องเต้หนุ่มของแคว้นเป่ยจิ้นเลื่อมใสในพระธรรม ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่งไปค้างที่วัดฝันว่ามีคนมาให้การช่วยเหลือ จึงได้รับต้นฉบับเนื้อหาของขั้นตอนการทำพิธีกรรมทางลัทธิพุทธเล่มหนึ่งที่หายสาบสูญไปนาน
ช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ฮ่องเต้ปรากฏตัวในงานพิธีกรรมทางศาสนาครั้งหนึ่ง บอกให้เจ้ากรมพิธีการอ่านประกาศเนื้อหาการทำพิธี อีกทั้งยังเขียนกรอบป้ายเป็นคำว่า ‘ลานประกอบพิธีสุ่ยลู่อู๋อ้าย’ (คำว่าสุ่ยลู่หมายถึงทางน้ำและทางบก แต่ยังเป็นชื่อเรียกพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย อู๋อ้ายหมายถึงไร้อุปสรรค สุ่ยลู่อู๋อ้ายจึงหมายถึงไร้อุปสรรคทั้งทางน้ำและทางบก หรือลานประกอบพิธีกรรมที่ราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรค) เป็นเหตุให้ภายในแคว้นมักจะมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาพุทธอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
เหยาเซียนจือถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะสร้างสำนักเบื้องล่างเมื่อไหร่? กำหนดวันที่แน่นอนแล้วหรือยัง? ข้าที่เป็นผู้ถวายงานจะต้องไปร่วมงานด้วยแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า”
เหยาเซียนจือมีสีหน้าปั้นยาก
ทำไมถึงเป็นวันนี้ล่ะ? วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิโอรสสวรรค์จะต้องนำพาร้อยขุนนางไปทำพิธีต้อนรับวสันต์ฤดู แม้กระทั่งเจ้าเมืองของเมืองหลวงอย่างตนก็ยังต้องรับผิดชอบต่าชุน (ในวันเริ่มต้นฤดูไม้ใบผลิจะมีประเพณีให้คนเอาดินมาปั้นเป็นวัว จากนั้นใช้แส้สีเขียวแดงโบยไปที่วัวดินตัวนี้ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ถึงการหว่านไถในฤดูใบไม้ผลิ ขอพรให้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์) ด้วย
ดังนั้นฮ่องเต้ต้องมิอาจไปเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองได้แน่นอน
คราวก่อนอาจารย์เฉินไปเป็นแขกที่จวนจินหวง ฮ่องเต้ก็ประทับอยู่ที่ทะเลสาบซงเจิน ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ทว่าทั้งสองฝ่ายกลับคลาดกันไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าคันหนึ่งกับเหยาเซียนจือ โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ห่างจากจวนเหยาไม่ไกลนัก
เสี่ยวโม่นั่งอยู่ข้างกายสารถี
เหยาเซียนจือถามหยั่งเชิง “ทำไมถึงไม่ไปพักที่บ้านข้าล่ะ?”
เฉินผิงอันอธิบาย “มอบยาให้เสร็จแล้ว หลังจากแน่ใจว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาปลอดภัยดี พวกเราจะออกจากเมืองหลวงทันที เดินทางไปที่เรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน”
เหยาเซียนจือถาม “รีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าก็ต้องก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว ใต้เท้าเจ้าเมืองท่านว่าเจ้าสำนักเบื้องบนอย่างข้าจะยุ่งหรือไม่เล่า?”
เหยาเซียนจือสีหน้าซับซ้อน
ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็เสียเวลาแค่สองสามวันเองไม่ใช่หรือ
ไปถึงจวนเหยา มาถึงห้องที่มียันต์แปะไว้หลายแผ่น รอกระทั่งเหยาเซียนจือช่วยให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยากินยาสองเม็ดลงไปแล้ว เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็ยกข้อมือของผู้เฒ่าขึ้นมาตรวจชีพจรอย่างละเอียดเบาๆ สุดท้ายหันไปเอ่ยเสียงเบากับเหยาเซียนจือว่า “วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาอะไร อีกเดี๋ยวแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาก็จะฟื้นขึ้นมาแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็คอยช่วยเหลือ แล้วก็ต้องหาเวลามาเดินเล่นกับท่านปู่บ่อยๆ ด้วย”
เหยาเซียนจือเรียกอาจารย์เฉินก่อน จากนั้นยกแขนข้างที่เหลืออยู่กำหมัดแน่น ทุบลงตรงหัวใจเบาๆ
เฉินผิงอันวางแขนของผู้เฒ่ากลับเข้าไปในผ้าห่มด้วยท่วงท่าอ่อนโยน ยัดมุมผ้าให้เรียบร้อยแล้วถึงได้ลุกขึ้น เดินออกไปนอกประตูกับเหยาเซียนจือ
เสี่ยวโม่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูเงียบๆ
เฉินผิงอันตบไหล่เหยาเซียนจือ “ไปทำธุระเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะรอให้แม่ทัพผู้เฒ่าฟื้นอยู่ตรงนี้”
เหยาเซียนจือยิ้มกล่าว “ธุระกะผายลมอะไรเล่า หลายวันมานี้นอบหลับไม่สนิทเลย ในที่สุดก็หายใจหายคอได้คล่องบ้างแล้ว”
สุดท้ายเหยาเซียนจือลากเฉินผิงอันมากินข้าวเย็นด้วยกัน ได้ยินผู้ดูแลของจวนบอกว่าท่านปู่ฟื้นแล้ว คนทั้งสามก็รีบวางตะเกียบลง ไปยังเรือนที่อยู่ติดกัน
ผู้เฒ่านั่งพิงหัวเตียง สีหน้าไม่เลว ยิ้มมองหลานชายที่เดินข้ามธรณีประตูมาพร้อมกับบุรุษชุดเขียว ถามว่า “เซียนจือ แจ้งให้ฝ่าบาททราบแล้วหรือยัง?”
เหยาเซียนจือส่ายหน้า “ยังเลย”
จากนั้นเหยาเซียนจือก็ถามหยั่งเชิง “ท่านปู่ ให้ข้าส่งข่าวไปที่วังหลวงเลยไหมขอรับ?”
มองเจ้าเด็กหน้าเหม็นที่ขยับชุดกว้าตัวยาวสีเขียว นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงช้าๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ ผู้เฒ่าก็โบกมือยิ้มเอ่ยกับเหยาเซียนจือ “ไม่ต้องแล้ว เรื่องที่ขอร้องก็ไม่ได้มา คนที่ทำให้ตกใจก็ยังไม่หนีไปนี่นะ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็แค่พูดคุยถึงเรื่องในอดีตกับเฉินผิงอัน ส่วนเรื่องใหญ่ของใต้หล้าแคว้นบ้านตนทุกวันนี้ เขากลับไม่เอ่ยถึงสักคำ
พูดคุยกันไปเกือบครึ่งชั่วยาม แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาถึงได้ยอมปล่อยเฉินผิงอันไป เพียงแค่บอกเขาว่าก่อนจะออกไปจากนครเซิ่นจิ่งจะต้องมากินข้าวที่บ้านตนอีกสักมื้อ เฉินผิงอันตอบตกลง
เหยาเซียนจือเดินไปถึงหน้าประตูเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน เขายังต้องกลับที่ว่าการจวนเจ้าเมืองเพื่อไปจัดการงานราชการอีกกองโต เรื่องการตามหาดาบเป็นแค่เรื่องเร่งด่วนประชิดขนคิ้วเท่านั้น ยังมีเรื่องจุกจิกวุ่นวายอีกมากนัก
ยามที่หิมะละลาย เมืองหลวงเหมือนกลายมาเป็นดอกฉงฮวา (ดอกไม้สีขาวที่ชูช่อเป็นกลุ่มหรือดอกไวเบอร์นัมจีน ลักษณะคล้ายๆ ดอกไฮเดรนเยีย)
ไปเยี่ยมเยือนอารามเต๋าในค่ำคืนที่หิมะตก
เฉินผิงอันเดินอยู่ในตรอกเล็กสายหนึ่ง ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองหลวงต้าเฉวียนแห่งนี้มีอารามเต๋าขนาดเล็กที่มีชื่อว่าอารามหวงฮวาตั้งอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะคลายตราผนึก ฮ่องเต้ถอนผู้ฝึกตนผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ที่มาช่วย ‘ปกป้อง’ อารามเต๋าอย่างลับๆ กลุ่มหนึ่งออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!