เฉินผิงอันสะบัดชุดกว้าตัวยาว ยกขานั่งไขว่ห้างแล้วเริ่มพ่นควันขโมง ขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบด้าน ครานั้นท้ายที่สุดแล้วเฉินผิงอันก็หาจดหมายลับฉบับหนึ่งที่เฝ่ยหรานแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนซ่อนไว้ในห้องหนังสือแห่งนี้เจอ นอกจากจะทำให้แผนการของเฝ่ยหรานและหลิวเม่าต้องคว้าน้ำเหลว ‘ผลตอบแทน’ ที่เพิ่มเติมมาก็คือได้รับตราประทับส่วนตัวของโจวมี่มหาสมุทรความรู้มา หลังจากเฉินผิงอันนำไปมอบต่อให้ชุยตงซาน สุดท้ายก็ถูกนำไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
และราคาที่ต้องจ่ายในการอ่านจดหมายก็คือถูกผู้ดูแลเฒ่าแห่งจวนเซินกั๋วกงที่เป็นเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ปลอมตัวมาถามกระบี่ไปรอบหนึ่ง ตอนนั้นมีด้ามร่มท่อนหนึ่งประหนึ่งกระบี่บินที่พุ่งจากวัดเทียนกงนอกเมืองหลวงมาถึงอารามหวงฮวาท่ามกลางสายฝน แทงทะลุหน้าท้องของเฉินผิงอัน
หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาล เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่
เคยเป็นอาจารย์สอนเวทกระบี่ครึ่งตัวของป๋ายเหย่ และยิ่งเป็นหนึ่งในสองผู้ถ่ายทอดมรรคาของลู่ไถ
หลิวเม่ามองเจ้าคนที่นั่งสูบยาแล้วถามว่า “คราวหน้าเซียนกระบี่เฉินจะมาเยือนนครเซิ่นจิ่งอีกเมื่อไหร่?”
ไม่ถามแล้วว่าคืนนี้มาเยี่ยมเยือนเพราะต้องการสิ่งใด
เฉินผิงอันสำลักเพราะคำถามนี้จึงไอไม่หยุด เจ้าอารามหวงฮวาตัวดี ช่างปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจเหลือเกิน
อันที่จริงการที่หลิวเม่าเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร อีกทั้งดูจากท่าทางแล้วน่าจะมุ่งไปยังโอสถทอง ก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งต่อสกุลเหยาต้าเฉวียน สกุลหลิวต้าเฉวียนไม่มีเชื้อพระวงศ์หลิวเม่าอะไรอีกแล้ว มีแค่นักพรตหลงโจวที่จะตั้งใจฝึกตนเป็นเทพเซียนเจ้าอารามเท่านั้น
เฉินผิงอันถาม “เซินกั๋วกงท่านนั้น?”
หลิวเม่าส่ายหน้า “ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า หยิบพู่กันด้ามหนึ่งออกมาจากกระบอกไม้ไผ่เหลือง
หลิวเม่าสูดลมหายใจเข้าลึก
โชคดีที่หลังจากเจ้าหมอนั่นหมุนด้ามพู่กัน พินิจดูอย่างละเอียดแล้วก็วางมันกลับใส่ลงในกระบอกอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งว่าไม่ต้องไปส่งแล้วเก็บกระบอกยาสูบมา โบกชายแขนเสื้อสลายควันที่ลอยอวลอยู่ในห้อง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตู แล้วจู่ๆ ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโยนให้กับหลิวเม่า “คืนให้เจ้า”
คือ ‘ภาพปรากฎการณ์ฟ้าเรียงดวงดาว’ ที่มาถึงอย่างเชื่องช้าเล่มนั้น
ไม่เหมือนกับตำราศาสตร์การคำนวณทั้งหลาย ‘ภาพปรากฎการณ์ฟ้าเรียงดวงดาว’ เล่มนี้คือตำราต้องห้ามของทางราชสำนัก ต่อให้เป็นขุนนางก็มิอาจเก็บไว้เป็นการส่วนตัวได้ มิเช่นนั้นจะทำกับว่าคิดก่อกบฏ โทษทัณฑ์รุนแรงกว่าชาวบ้านมีอาวุธในการครอบครองเสียอีก
หลิวเม่ายื่นมือไปรับหนังสือ รู้สึกยินดีระคนแปลกใจที่ตำราเล่มนี้ไม่ถูกเซียนกระบี่เฉินสับเปลี่ยน
เก็บมันใส่ไว้ในชั้นหนังสือ ของกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม หลิวเม่าเกิดความคิดกะทันหันจึงหยิบออกมาอีกครั้ง เปิดหนังสือออกถึงได้สังเกตเห็นว่าหน้ารองปกมีตราประทับสองตราประทับเรียงกันอยู่ หน้าท้ายของตำราก็เป็นเช่นเดียวกัน มีตราประทับสองอันประทับเรียงกัน
‘ความคิดไร้ขีดจำกัด’ ‘ถอยไปคิดหนึ่งก้าว’
‘รู้จักพอ’ ‘รู้ไม่มากพอ’
หลิวเม่าเดินถือตำราเล่มนี้ไปที่หน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก หันกลับมามองแสงตะเกียงบนโต๊ะแวบหนึ่ง
แสงจันทร์สาดส่องหิมะขาวโพลน แสงตะเกียงเล็กจ้อยดุจแสงหิ่งห้อย เป่าแสงดับตัวอักษรกลับชัดเจนยิ่งกว่า
กลับไปถึงหอวั่งซิ่งฮวาแล้วเผยเฉียนก็กลับไปพักที่ห้องของตัวเอง แต่เฉาฉิงหล่างกลับออกจากโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนไปเพียงลำพัง ไปชมหิมะตก
เฉินผิงอันหยิบสมุดสองเล่มของหลี่ไหว รวมถึงพู่กันและหมึกออกมา เริ่มทำการวิเคราะห์และอธิบายเสริมให้กับข้อสงสัยที่อยู่บนสมุดไปทีละข้อ
เสี่ยวโม่อ่านนิยายเรื่องเล่าประหลาดที่ความรักหักมุมเล่มหนึ่ง อ่านด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันพลันเก็บสมุด เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ ช่วยปกป้องมรรคาให้สักครู่”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับเงียบๆ เดินออกไปนอกห้อง ปิดประตูลงเบาๆ ยืนอยู่ในระเบียง
เฉินผิงอันเรียกนกในกรงออกมา จากนั้นโคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ขณะเดียวกันก็เรียกปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณทั้งห้ามาแล้วเริ่มเพ่งสมาธิพิศมองขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่ง
ถึงกับเป็นขุนเขาสายน้ำพันลี้ที่อยู่ในอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่
ตอนที่อยู่ในอาณาเขตภูเขาทัวเยว่ ระหว่างที่คุมเชิงอยู่กับหยวนซง อันที่จริงเฉินผิงอันเคยปล่อยดวงจิตออกไปเงียบๆ ครั้งหนึ่ง
หนึ่งเพราะพยายามจะทำความเข้าใจกับซากปรักหอบินทะยานแห่งนั้นให้มากขึ้น และยังกังวลว่าโจวมี่หรือไม่ก็เฝ่ยหรานอาจจะมีทางหนีทีไล่อย่างอื่นซ่อนอยู่ สุดท้ายจึงถือโอกาสนั้นเลือกสถานที่และเป้าหมายที่จะเลือกปล่อยกระบี่
เพียงแต่ว่าไม่นานลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ก็เป็นฝ่ายเรียกร้องว่าจะจับคู่เข่นฆ่า ถามกระบี่กับเขา
เวลานี้ด้านในนกในกรง เฉินผิงอันลอยตัวอยู่กลางอากาศ ยืนอยู่ในฟ้าดินที่เป็นดั่งห้องมายา
อันดับแรกก็เป็นภูเขาทัวเยว่ จากนั้นก็เป็นหนึ่งภูเขาหนึ่งสายน้ำ หนึ่งดอกไม้หนึ่งต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงซึ่งทยอยกันถือกำเนิดขึ้น เฉินผิงอันใช้จิตธรรมจำแลงออกมาเป็นมหามรรคา จากนั้นค่อยสร้างฟ้าดินขึ้นมา
เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันรวบรวมดวงจิต คล้ายคนเดินทางที่ปักหลักยืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อมองดอกไม้ดอกหนึ่งในฟ้าดิน ขณะที่เขากำลังจะรอให้ดอกไม้ดอกนี้เบ่งบานด้วยตัวเอง ทันใดนั้นฟ้าดินจิตธรรมก็พลันแหลกสลาย ประหนึ่งเครื่องกระเบื้องที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เป็นเหตุให้ฟ้าดินเล็กนกในกรงเกิดช่องโหว่ขึ้นมาหลายจุด
เสี่ยวโม่เอ่ยเตือนเสียงเบา “คุณชาย สามารถขยับอาณาเขตให้เล็กลง ขณะเดียวกันก็ลดจำนวนวัตถุและเรื่องราวให้น้อยลงได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
พิศมองฟ้าดินใหม่อีกรอบ ไม่ใช่ภูเขาทัวเยว่อีกต่อไป แต่เป็นสระน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ สุดท้ายมีเมล็ดดอกบัวสีม่วงทองเมล็ดหนึ่งเริ่มเติบโตช้าๆ อยู่ท่ามกลางน้ำใสสะอาด กิ่งใบโผล่พ้นน้ำ ตั้งตระหง่านโดดเด่น ใบบัวแผ่ปูไปบนผิวน้ำ ดอกตูมเต่งรอการเบ่งบาน สุดท้ายในขณะที่ดอกบัวดอกแรกกำลังจะบาน...เฉินผิงอันกลับเก็บดวงจิตกลับมาในทันที เป็นฝ่ายสลายภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทิ้งไปด้วยตัวเอง
เก็บนกในกรงลงไป เฉินผิงอันเดินไปที่หน้าต่าง ผลักหน้าต่างเปิดออก หิมะใหญ่ปลิวปรายลงมา
เฉินผิงอันหยิบแผ่นไม้ไผ่สองแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ ด้านบนแกะสลักสองประโยคจากสามพันถ้อยคำของมรรคาจารย์เต๋า หากข้าไร้อัตตาก็ย่อมไร้เภทภัย ประโยคนี้เข้าใจได้ง่ายมาก แต่บนแผ่นไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งคือประโยคว่า สนใจดุจร่างกายตน จึงมอบใต้หล้าให้ดูแล ฝากใต้หล้าให้ดูแล อันที่จริงไม่เพียงแค่เฉินผิงอันเท่านั้นที่ไม่เคยเข้าใจความหมายลึกซึ้งของมัน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่คนในลัทธิเต๋าของใต้หล้าไพศาล หากเป็นสายเต๋าที่แตกต่างกัน สำหรับคำกล่าวนี้ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันไป คาดว่าไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าพูดว่าความเห็นของตัวเองต้องถูกต้องเสมอไป ได้แค่ถือว่ารู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น
เพียงแต่ว่าตอนที่เฉินผิงอันยืมขอบเขตสิบสี่มาจากลู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราวก่อนที่ได้เจอ ‘นักพรตเด็ก’ ขี่วัว เขากลับจงใจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้
เก็บแผ่นไม้ไผ่สองแผ่นที่เก็บรักษาอย่างดีมานานหลายปีลงไป หันหน้ามาเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ เข้ามาได้แล้ว”
พอเสี่ยวโม่เข้ามาในห้องแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น เพียงแค่หยิบนิยายเล่มนั้นมาอ่านต่ออีกครั้ง
มิน่าเล่าทุกคนถึงยินดีจะเป็นบัณฑิต เพราะมักจะชอบหลงทาง จากนั้นเกินครึ่งก็จะได้เจอเรือนหลังใหญ่ ต่อมาหากไม่เจอกับเทพหญิงเซียนหญิงก็จะต้องเจอกับผีงามในภูเขา พูดคุยร่ำสุรากันอย่างเบิกบาน ร่ายบทกวีร้องเพลงร่วมกันสองสามบท…
ในวังหลวงของเมืองหลวง สตรีคนหนึ่งที่ประทินโฉมบางเบา รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุด นางขว้างฎีกาที่อยู่ในมือทิ้ง นวดคลึงหว่างคิ้ว หลับตาพักผ่อนชั่วครู่ก็หยิบฎีกาที่ส่งมาจากกรมคลังฉบับนั้นขึ้นมาใหม่
กว่าจะอ่านฎีกาทุกฉบับหมดก็ดึกมากแล้ว ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล สายตาเหม่อลอย
ตำหนักปี้โหยวจวนวารีลำคลองม่ายเหอ
ริมลำคลอง หลิ่วโหรวเหนียงเนียงเทพวารีนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางถือคันเบ็ดตกปลาด้วยมือข้างเดียวพลางนั่งหาวไปด้วย นั่งมาพักใหญ่แล้วก็ยังตกปลาไม่ได้สักตัว ด้านในข้องปลาว่างเปล่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!