แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้เตือนให้จื้อกุยระวังตอนอยู่ในศาลของลำน้ำฉีตู้
ไม่อย่างนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ยังไม่ยินดีจะสนใจจื้อกุยมากนัก หลังแยกย้ายกับนาง ทั้งสองฝ่ายอย่างมากก็แค่เจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินไปบนทางสะพานไม้ของข้าก็เท่านั้น
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “ที่ตรอกหนีผิง เรือนสองหลังที่อยู่อีกฝั่งของบ้านพวกเรา ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนอยู่มานานหลายปี นับตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ก็ถูกทิ้งร้างไร้เจ้าของ ข้าไม่พบเบาะแสอะไรในห้องเก็บเอกสารของที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผา รวมไปถึงฝ่ายครัวเรือนของอำเภอไหวหวงในภายหลัง เจ้ามีเบาะแสหรือไม่?”
จื้อกุยเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน นางหันหน้ามายิ้มเอ่ย “นี่ถือว่าเจ้าขอร้องให้ข้าช่วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถือว่าใช่”
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นญาติมิตร ไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน เป็นทั้งคนบ้านเดียวกันแล้วก็เป็นทั้งเพื่อนบ้าน คุยเล่นกันแค่คำสองคำไม่ได้ทำให้ส่งผลร้ายสะเทือนไปถึงกระดูกเส้นเอ็นใดๆ
จื้อกุยคลี่ยิ้ม ดูเหมือนว่าไม่คิดจะเปิดปากพูด
นางเชิดหน้าขึ้นสูง ก้าวเท้าเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในซากปรักวังมังกรแห่งนี้
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่อยู่ข้างกายผู้นี้ หากเห็นตนหิ้วถังน้ำกลับมาที่ตรอกหนีผิงก็จะมาช่วยยกถังน้ำให้
ในช่วงฤดูหนาว นางจะต้องแบกฟืนไม้ถุงใหญ่ เพราะนางไม่อยากจะเดินหลายรอบ เวลานั้นนางยังเป็นแค่แมลงน่าสงสารที่ถูกมหามรรคาของเมืองเล็กสยบกำราบ มักจะรังเกียจที่ต้องเดินทางไกล จึงต้องแบกฟืนมาหนักมาก
บุรุษที่ใจแคบอย่างซ่งจี๋ซินกับหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่เคยเข้าใจผิดในเรื่องนี้
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่คิดว่าเฉินผิงอันจะมีความคิดที่ไม่ซื่อกับนาง
นางเอาสองมือไพล่หลัง สิบนิ้วประสานกัน สายตามองตรงไปเบื้องหน้า ถามเบาๆ ว่า “รู้สึกว่านอกจากขอบเขตแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรอีกใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ
ทว่าก็เป็นเพราะความเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าของบุรุษข้างกายผู้นี้ที่ทำให้นางโมโหจนสีหน้ามืดทะมึน ให้เขาหลุดปากพยักหน้าหรือยอมรับมาโดยตรงยังดีกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ไม่คิด”
คงจะคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านเกิด สีหน้าของเฉินผิงอันจึงอ่อนโยนลงหลายส่วน
เด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ไม่รู้ประสาได้เห็นอาจารย์ฉีขอร้องคนอื่นเป็นครั้งแรก
ภายหลังเฉินผิงอันพลิกเปิดภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลานั้นอีกครั้งถึงได้ค้นพบว่าเด็กสาวเคยไปด่าต้นไหวอยู่ใต้ต้นไหวโบราณของบ้านเกิด
ทำให้เฉินผิงอันรู้สึก…สะใจมาก
เฉินผิงอันเก็บความคิด ถามว่า “คนพวกนั้น เจ้ารู้จักได้อย่างไร?”
ผู้เลี้ยงมังกรกับผู้ประคับประคองมังกร ต่างกันแค่คำเดียว ทว่าสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแสวงหาบนมหามรรคากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
จื้อกุยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดบ้างแล้ว “รู้จักกันกลางทาง แต่ต่างคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงอย่างไรจวนน้ำของข้าในอนาคตก็ต้องการคนที่ทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างจริงจังอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันไม่ได้สั่งจื้อกุยว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร กลับกลายเป็นว่าพูดชวนคุยเหมือนไม่ใส่ใจมากกว่า “สิ่งที่พวกเราพบเจอตลอดทาง หากไม่ใช่เรื่องดีก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี”
จื้อกุยถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่คนดีกับคนไม่ดีหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “นี่ก็คือปมของปัญหายุ่งยาก”
จื้อกุยเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ทำไมเจ้าไม่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือเสียเลยล่ะ?”
คิดไม่ถึงว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายจะพยักหน้าเอ่ย “เลือกโรงเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว”
คฤหาสน์ส่วนตัวของบุตรมังกรในอดีตซึ่งอยู่ในซากปรักของวังมังกร กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก มีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ดอกบัวใบบัวชูช่ออยู่กลางสระน้ำ มีเรือแจวลอยอยู่หนึ่งลำ บนเรือมีคนสี่คน คนแก่หนึ่งคน สตรีวัยกลางคนหน้าตางดงามหนึ่งคน บุรุษร่างกำยำหนึ่งคนและบุรุษหนุ่มหนึ่งคน
ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็เป็นผู้ติดตามของหวังจูมังกรที่แท้จริง ถือว่ามาสวามิภักดิ์กับสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาคนใหม่อย่างนาง
สตรีหน้าตางดงามยืนอยู่บนปลายด้านหนึ่งของเรือเล็ก แต่งกายเหมือนชาววัง มวยผมทรงเมฆาคล้อย ปักปิ่นดอกไม้ส่ายไหวสีทอง ประทินโฉมบางๆ ตรงเอวบางสองด้านแยกกันห้อยกระจกทองสัมฤทธิ์ชิ้นหนึ่งกับหยกแบนที่เป็นแก้วใสชิ้นหนึ่ง นางหันหน้าไปถามผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ท้ายเรืออย่างใคร่รู้ “หลี่ป๋า เจ้าคิดว่านายท่านกับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นจะตีกันทันทีที่พูดไม่เข้าหูกันหรือไม่?”
ชายชราที่มีนามว่าหลี่ป๋าเส้นผมขาวโพลน ร่างผอมแต่ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เขาส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ไม่มีทางตีกันหรอก”
ตรงฝ่าเท้าของผู้เฒ่ามีชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
สุดท้ายคือคนหนุ่มคนหนึ่ง ต้องเป็นเทพเซียนในภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จคนหนึ่งแน่นอน ผิวพรรณดุจหยก บุคลิกรูปโฉมงามสง่าดุจโฉมสะคราญล่มเมือง เวลานี้เขานอนอยู่ในเรือลำเล็ก ใช้มือข้างหนึ่งหนุนใต้ท้ายทอยต่างหมอน ยกขาไขว่ห้าง ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ มือหนึ่งแกว่งกาเหล้า เหล้าสีอำพันไหลเป็นเส้นตรงเข้าสู่ปากของเขา แกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่า ลุกขึ้นยืน มองไปยังทิศทางของตำหนักใหญ่ “ช่างเป็นปราณกระบี่ที่เข้มข้นยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นคนฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่”
ดวงตาของสตรีวัยกลางคนคลอประกายฉ่ำน้ำมองไปยังบุรุษร่างกำยำที่นั่งเหมือนหินผา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!