เผยเฉียนหัวเราะหึหึ “แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ”
ต่อจากนั้นหลังจากเย่อวิ๋นอวิ๋นเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งไปแล้วก็ร่ายวิชาหมัดที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของผูซานและกระบวนท่าบางส่วนที่สร้างสรรค์ขึ้นเองออกมาบนหอซ่าวฮวาแห่งนี้อย่างเต็มคราบ
ต่อให้เป็นสุยโย่วเปียนที่เป็นสตรีเหมือนกันก็ยังมองจนตาพร่าลายจิตวิญญาณแกว่งไกว หวงอีอวิ๋นแห่งใบถงทวีปท่านนี้คือสาวงามที่โดดเด่นทั้งบุคลิกและรูปร่างหน้าตาอย่างแท้จริง
ระหว่างนั้นกระบวนท่าที่เฉินผิงอันได้เปรียบที่สุดก็คือหมุนหอกเป็นวงกลมกระแทกเข้าที่หน้าท้องของหวงอีอวิ๋นทำให้หวงอีอวิ๋นเกือบจะร่างแนบติดพื้นลื่นไถลออกไป เพียงแต่หวงอีอวิ๋นใช้ข้อศอกยันพื้นไว้ เพียงไม่นานก็ลุกขึ้นยืนได้
และนางก็เอาคืนอย่างว่องไว ใช้หมัดต่อยเข้าที่ตัวหอก ตัวหอกแตกหักไปเกือบครึ่งเสี้ยว ก่อนจะกระแทกเข้าที่หน้าอกของเฉินผิงอัน
การถามหมัดครั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วยังคงไม่อาจแบ่งแยกผลลัพธ์ว่าใครแพ้ใครชนะได้อย่างแท้จริง
เย่อวิ๋นอวิ๋นบ้างก็ใช้หมัดแบบสาวไหม บ้างก็ใช้หมัดแบบทับซ้อน
หนึ่งหมัดปล่อยออกไปเหมือนเซียนเหรินดีดพิณ นิ้วขยับอย่างที่มองไม่เห็น พายุหมัดว่องไวดุจกระบี่บิน
เรือนกายของนางขยับ พายุหมัดเอ่อล้น ไอน้ำแผ่อบอวล เย่อวิ๋นอวิ๋นคล้ายร่ายวิชาหดย่อพื้นที่ของผู้ฝึกลมปราณ
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้หนึ่งหมัดแลกกับหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าของหวงอีอวิ๋น
จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดยืนนิ่ง ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์คนละเฮือก
เพียงแต่ว่าอารมณ์ของเซวียไหวในเวลานี้กลับไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
เพราะทั้งๆ ที่อาจารย์ปล่อยเท้าออกไปเพิ่มหนึ่งเท้า ทว่าระยะห่างที่ทั้งสองฝ่ายถอยออกไปกลับเท่าๆ กัน
นี่หมายความว่าร่างกายผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของเจ้าขุนเขาเฉิน แท้จริงแล้วสูงกว่าอาจารย์ของตนหนึ่งระดับ
เผยเฉียนรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพียงแต่เวลาที่อาจารย์พ่อถามหมัดอยู่กับคนอื่น นางไม่สะดวกจะเปิดปากพูดอะไร
ยังคงเป็นเหมือนตอนเด็กเวลาดูเหล่าเว่ยเล่นหมากล้อมกับเสี่ยวป๋าย สุภาพชนดูหมากล้อมไม่พูดคุยกัน
ผู้ฝึกยุทธถามหมัด คนอื่นพูดคุยกัน
คือข้อต้องห้ามใหญ่
เฉินผิงอันโยนหอกยาวในมือให้กับเผยเฉียนเบาๆ
ประหนึ่งการเปิดฉากรุกในการเล่นหมากล้อม
ประลองฝีมือ หยุดแต่เพียงเท่านี้
เฉินผิงอันเหมือนจะมองเห็นความคิดของเย่อวิ๋นอวิ๋นจึงยิ้มเอ่ยว่า “เฉาสือไม่ได้…อ่อนแออย่างที่เจ้าขุนเขาเย่คิด”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่”
เงียบไปครู่หนึ่ง เย่อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่แค่บอกชื่อแซ่ก็ปล่อยหมัดออกไปทันที ครั้งนี้นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใช้ท่ายืนเตรียมรุกของผูซาน “ไยข้าจะไม่ได้เป็นเหมือนกัน?”
เห็นภาพนี้ สีหน้าของเซวียไหวพลันหนักอึ้ง
หากยังตีกันต่อไป ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ฝ่ายหนึ่งต้องได้รับบาดเจ็บไม่เบาแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
ม้วนชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ
จากนั้นใช้ฝ่ามือปาดไปบนข้อมือเบาๆ คล้ายเช็ดอะไรทิ้ง
ยันต์บางประเภทที่ทับซ้อนกันอยู่บนมือข้างซ้ายถูกเฉินผิงอันใช้มือขวาปาดทิ้ง
เปลี่ยนมือม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ทำเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
สุดท้ายบิดปลายเท้า ข้อเท้าสองข้างเบื้องล่างสองเข่าของเฉินผิงอันที่ต่างก็มี ‘ยันต์ปราณที่แท้จริงครึ่งจิน’ ต่างก็ถูกกระเทือนจนแหลกสลาย
เผยเฉียนมีสีหน้าตื่นตะลึง
เรื่องนี้นางไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ
นางใช้ศอกถองห่านขาวใหญ่ที่อยู่ด้านข้างทันที ห่านขาวใหญ่ยกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน แต่กลับทำไม่สำเร็จ จึงแสยะปากแยกเขี้ยว พูดเสียงอู้อี้ว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ฟ้าดินเป็นพยาน! หากข้ารู้ความจริงแล้วจงใจไม่พูดถึง วันหน้าก็จะไม่เป็นศิษย์พี่เล็กของเจ้าแล้ว เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้โดยตรงเลย!”
ในฐานะคนที่ต้องถามหมัดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน เย่อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนที่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออกได้โดยตรงที่สุด
สุดท้ายในสมองของนางมีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่คน
แม้เย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่เคยถามหมัดอย่างเป็นทางการกับอู๋ซูมาก่อน แต่พบหน้ากันหลายครั้ง อริยะบู๊แห่งใบถงทวีปผู้นั้นก็มักจะมอบความรู้สึกกดดันมหาศาลอย่างหนึ่งให้กับเย่อวิ๋นอวิ๋นอยู่เสมอ บนร่างของอู๋ซูมักทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาเลือดลมพลุ่งพล่าน เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด ถึงขั้นที่ว่ายังทำให้ผู้ฝึกยุทธรอบด้านอดรู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตาไม่ได้ว่าตัวเองต่ำเตี้ยกว่าเขาหนึ่งระดับ
ความรู้สึกยามที่เผชิญหน้ากับอู๋ซูก่อนหน้านี้ก็ทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกย่ำแย่อย่างถึงที่สุดแล้ว เหมือนสตรีเปราะบางอ่อนแอที่เรี่ยวแรงไม่มากพอคนหนึ่งออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก เดินทางยามค่ำคืนเพียงลำพัง แล้วไปเจอกับบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาชั่วร้ายหรือไม่ก็ยังทำให้สตรีรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจได้อยู่ดี
ทว่านาทีนี้เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับมีความรู้สึกที่ขัดต่อนิสัยใจคอของตัวเอง ทำให้รู้สึกละอายใจต่อวิชายุทธที่ร่ำเรียนมา ละอายใจต่อแซ่สกุลแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าว นั่นคือความรู้สึก…สิ้นหวังอย่างมหาศาล
ก็เหมือนกับว่ามีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวใจของนางไม่หยุด
ไม่ต้องถามหมัด! อย่าถามหมัด! เจ้าจะต้องแพ้ จะต้องตาย
ความรู้สึกสิ้นหวังและหายใจไม่ออกที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งไม่ควรมีและไม่อาจมีเช่นนี้ทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นที่เป็นปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางเกือบจะระเบิดโทสะออกมา
มิน่าเล่าเจียงซ่างเจินถึงได้เกลี้ยกล่อมตนว่าอย่าได้ถามหมัดกับคนผู้นี้
สภาพจิตใจของตัวเองเป็นเช่นนี้จะใช้หมัดสยบหนึ่งทวีปได้อย่างไร? จะสามารถช่วยให้เรือนอวิ๋นฉ่าวเลื่อนขั้นเป็นสำนักของไพศาลได้อย่างไร?
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นอย่างเฉียบไว พลันใช้เสียงในใจตะโกนเรียก “เย่อวิ๋นอวิ๋น!”
แววตาและจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นที่เดิมทีกำลังจะแหลกสลายคล้ายจู่ๆ ได้ยินเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ กลับกลายเป็นว่ากลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นนางก็พลันเก็บความคิดทั้งหมดมาในเสี้ยววินาทีตามจิตใต้สำนึก เพียงชั่วพริบตาจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นพลันใสกระจ่าง ราวกับว่าฟ้าดินด้านนอกกับฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ล้วนว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใด
เฉินผิงอันชะลอการออกหมัด เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!