หลังจากเย่อวิ๋นอวิ๋นจากไปก่อน สุยโย่วเปียนก็ขี่กระบี่ทะยานลงจากภูเขาไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ มุ่งหน้าไปที่หาดลั่วเป่าที่อยู่ริมลำคลองชิงอีเพียงลำพัง
ส่วนฉิวตู๋นั้นพาเด็กสาวหูฉู่หลิงเดินเลียบเส้นทางบนสันเขาเดินเที่ยวไปบนยอดเขาเซียนตู
ระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาผูซาน การถามหมัดของปรมาจารย์สองครั้งทำให้หญิงชราได้เปิดโลกกว้าง
ประเด็นสำคัญคือคนที่ชนะหมัดไม่ลำพองใจ คนที่แพ้หมัดไม่หมดอาลัยตายอยาก ทำให้หญิงชรารู้สึกว่าล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง
ผ่านประสบการณ์ที่อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้านที่วังมังกรลำน้ำใหญ่มา แล้วได้มาเห็นมาดยามออกหมัดของเฉินผิงอันกับตาตัวเอง ทำให้หญิงชรามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อภูเขาเซียนตูลูกนี้
แหงนหน้ามองภูเขาสูง
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนชุดเขียวยังเป็นเซียนกระบี่อีกด้วย
หญิงชราทอดสายตามองไปยังทิศไกล อยู่ดีๆ ก็อดรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ ขุนเขาสายน้ำมีหรือที่คนธรรมดาจะวาดมันขึ้นมาได้ ฟ้าและดินยังคงเป็นอริยะที่แบ่งแยกความแตกต่าง
หญิงชราใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ชู่ชู่ อาจารย์จะพยายามช่วยให้เจ้าได้สถานะบนทำเนียบของภูเขาเซียนตูแห่งนี้มา แต่เรื่องนี้ไม่แน่เสมอไปว่าจะสำเร็จ”
หูฉู่หลิงพยักหน้า ไม่ถามด้วยซ้ำว่าทำไมอาจารย์ถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน
หญิงชราลังเลเล็กน้อย เอ่ยเตือนว่า “ชู่ชู่ หากได้กลายเป็นผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ที่แห่งนี้จริงๆ วันหน้าอย่าได้ทำอะไรเอาแต่ใจอีก เชื่อว่าเจ้าคงมองออกแล้วว่าเซียนกระบี่เฉินที่อายุน้อยท่านนั้น แม้ว่าจะเป็นคนดีมาก แต่เจ้าลองดูแม่นางเผยสิ ขอบเขตวิถีวรยุทธสูงถึงเพียงนั้น ตอนอยู่กับอาจารย์พ่อของนางกลับยังเคารพกฎเกณฑ์มากขนาดนั้น มีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่อง ชุยเซียนซืออีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งแล้ว อยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาก็ยังเคารพนอบน้อมเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
แต่สิ่งที่ทำให้หญิงชราวางใจและเชื่อมั่นในภูเขาเซียนตูได้อย่างแท้จริงล้วนไม่ใช่คำว่าเซียนกระบี่ เจ้าสำนัก หรือขอบเขตบินทะยานอะไรทั้งนั้น แต่เป็น…รอยยิ้มที่มาจากใจจริง
ยามที่เฉินผิงอันปฏิบัติต่อทุกคน และยามที่ทุกคนปฏิบัติต่อเฉินผิงอัน
ก็เหมือนอย่างเด็กสองคนที่ฉิวตู๋ยังไม่รู้ชื่อและสถานะ ดูเหมือนพวกเขาจะเคารพนับถือ พึ่งพาและใกล้ชิดสนิทสนมกับเซียนกระบี่เฉินอย่างที่มิอาจหาเหตุผลมาอธิบายได้
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก ในพรรคในสำนักอักษรจงของไพศาล ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ขอบเขตและความอาวุโสต่างจากพวกผู้เฒ่า หลายคนเวลาเจอผู้คุมกฎหรือผู้ถวายงานในศาลบรรพจารย์ระหว่างทาง บางทีแม้แต่จะทักทายก็ยังไม่กล้า ระมัดระวัง เคารพยำเกรง เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามพบเจอกับบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ก่อสำนักตั้งพรรคกลางทางเลย
ดวงตาคลอประกายน้ำเฉลียวฉลาดคู่นั้นของหูฉู่หลิงยิ้มหยีจนเป็นจันทร์เสี้ยว น้ำเสียงที่พูดก็อ่อนนุ่ม “ล้วนเชื่อฟังอาโผ (ท่านยาย)”
ยามอยู่กับฉิวตู๋ เด็กสาวยังคงชอบใช้ภาษาบ้านเกิดเรียกอาจารย์ของตัวเองว่าอาโผ
หญิงชราลูบศีรษะของเด็กสาว “ไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะโชคดีได้แต่งชู่ชู่ของพวกเราไปเป็นภรรยานะ”
อืม เด็กรุ่นหลังที่ชื่อเฉาฉิงหล่างผู้นั้น มองดูแล้วก็ดีมาก
อีกทั้งเฉาฉิงหล่างยังเป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเซียนกระบี่เฉิน
หญิงชรามองชู่ชู่ หากว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมกันได้ ทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกัน นั่นก็ยิ่งดีเลย
คู่รักเทพเซียนอยู่เคียงข้างกันจนผมขาว มีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง…
หญิงชราหัวเราะกับตัวเอง
ทางฝั่งของหอซ่าวฮวา ชุยตงซานเอ่ยเตือนเด็กสองคนว่า “การถามหมัดสองครั้งในวันนี้ พวกเจ้าต้องเก็บเป็นความลับไว้นะ ห้ามบอกให้คนนอกรู้แม้แต่คำเดียว”
เฉิงเฉาลู่พยักหน้าตอบตกลง ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะเหตุใด จะต้องสิ้นเปลืองสมองคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นไปทำไมกัน หากตนมีเวลาว่างเช่นนั้นก็สามารถเอามาฝึกหมัดเพิ่มได้อีกหนึ่งรอบแล้วยังทำอาหารได้อีกหนึ่งโต๊ะแล้ว
แต่อวี๋เสียหุยกลับเป็นพวกที่ชอบซักไซ้ให้รู้ถึงสาเหตุ จึงถามอย่างสงสัยว่า “นี่เป็นเรื่องดีนี่นา มีอะไรให้บอกคนอื่นไม่ได้กันเล่า?”
หากว่าอยู่ที่บ้านเกิดของตน ข้าผู้อาวุโสอาศัยความสามารถที่แท้จริงถามกระบี่ชนะใคร หากจะตีฆ้องร้องป่าวแล้วจะทำไม จะคุยโวบนโต๊ะเหล้า ใครจะมายุ่งกับข้าได้?
ชุยตงซานขมวดคิ้ว วางชายแขนเสื้อสีขาวหิมะข้างหนึ่งลงบนหัวไหล่ของอวี๋เสียหุย “หืม?!”
อวี๋เสียหุยถอนหายใจทันใด “จะทำตามที่เจ้าสำนักชุยบอก”
คราวก่อนพวกเขาเก้าคนได้ถูกห่านขาวใหญ่ผู้นี้ใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บพวกเขาเข้าไปไว้ข้างใน นอกจากซุนชุนหวังแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็กล้ำกลืนความยากลำบากจนเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเสวียนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ทุกวันนี้เห็นชุยตงซานก็ราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น อวี๋เสียหุยเองก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจน ไม่เป็นไร รอให้ข้าถามกระบี่ชนะชุยเหวยเมื่อไหร่ คนถัดไปก็คือห่านขาวใหญ่อย่างเจ้าแล้ว
ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อยู่ดีๆ ก็กอดคออวี๋เสียหุย เอาหัวมาชนกัน จากนั้นกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ในอนาคตคิดอยากจะถามกระบี่ชนะผู้คุมกฎชุยที่เป็นอาจารย์ของเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยังอยากจะถามหมัดเจ้าสำนักเบื้องล่างอย่างข้าด้วย? ช่างใจกล้ายิ่งนัก มีปณิธาน นับถือๆ ทำไม ทุกวันนี้เจ้ามีจิตใจทะเยอทะยาน เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งจะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักไปจากข้าอย่างนั้นหรือ? ใครมอบดีหมีหัวใจเสือให้เจ้ากัน รีบเล่าให้ข้าฟังสิ?”
อวี๋เสียหุยร่างแข็งค้างในทันที รีบหันไปมองเฉินผิงอัน ตะโกนว่า “เจ้าสำนักชุยหากท่านยังใส่ร้ายคนอื่นส่งเดชแบบนี้ ข้าจะฟ้องใต้เท้าอิ่นกวานแล้วนะ!”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ในเมื่อสำนักเบื้องล่างของพวกเราคือสำนักกระบี่ อีกทั้งเจ้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ คิดอยากจะถามกระบี่กับพวกผู้อาวุโสอย่างเจ้าสำนักชุยก็ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในการฝึกตนบนภูเขาอยู่แล้ว เป็นวัตถุประสงค์ในการหลอมกระบี่ของพวกเจ้าพอดี มีอะไรให้กล้าหรือไม่กล้ากัน ข้าขอบอกไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าวันหน้าไม่ว่าเจ้าจะเอาชนะอาจารย์ของเจ้า หรือเอาชนะเจ้าสำนักชุยได้ ข้าก็จะเลี้ยงเหล้าเจ้า”
อวี๋เสียหุยมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมทันที ต่อให้จะยังถูกห่านขาวใหญ่รัดคอ ก็ยังหัวเราะหึหึ “ใต้เท้าอิ่นกวาน งั้นเดี๋ยวข้าจะไปฝึกดื่มเหล้าให้คอแข็งก่อนนะ”
ได้ยินมาว่าร้านสุราขนาดเล็กที่บ้านเกิดมีการดื่มสุราร่วมโต๊ะกันหลายครั้ง ทว่าใต้เท้าอิ่นกวานกลับไม่เคยเมามาก่อน
แน่นอนว่าเถ้าแก่รองเป็นเจ้ามือก็ไม่เคยต้องขาดทุนมาก่อน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้คอแข็งหรอก แค่ว่าพวกผีขี้เหล้าที่ร้านคออ่อน ล้วนได้เพื่อนร่วมอาชีพคอยช่วยเหลือทั้งนั้น”
เฉิงเฉาลู่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย หากว่าน่าหลันอวี้เตี๋ยอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องจดถ้อยคำล้ำค่าดุจทองดุจหยกประโยคนี้ลงไปในสมุดบันทึกอีกเป็นแน่
ชุยตงซานทะยานลมออกไปจากหอซ่าวฮวา ยังมีกิจธุระยิบย่อยอีกมากมายที่รอให้เขาไปจัดการ
ระหว่างที่ทะยานลมไปแอบเหลือบไปเห็นหวงอีอวิ๋นกับอาจารย์เซวียที่เดินเท้าไปทางยอดเขามี่เซวี่ย
สังเกตเห็นเมฆขาวก้อนนั้น เย่อวิ๋นอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นโบกมือให้ชุยตงซาน
ชุยตงซานจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เพิ่งเลื่อนสู่ขั้นคืนความจริง
นอกจากนี้สภาพจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นก็เข้ากับภูเขาเซียนตูบ้านตนได้เป็นอย่างดี ใจกว้าง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!