เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “พวกเราใช้เหตุผลกับคนอื่นไม่ใช่เพื่อปฏิเสธคนอื่นเขา นอกจากนี้การมอบความปรารถนาดีให้กับคนอื่น นอกจากจะเพื่อให้ตัวเราเองรู้สึกไม่ละอายใจแล้วก็ยังต้องพิถีพิถันในเรื่องความเหมาะสม นี่ก็คือความต่างของมรรคาและเวทคาถา มหามรรคามีเพียงหนึ่งเดียว ทว่าเวทคาถากลับมีนับร้อยนับพันชนิด แตกต่างกันไปตามบุคคล แตกต่างกันไปตามสถานที่ ดังนั้นถึงได้บอกว่าการเป็นคนดีนั้นยากมาก”
ยื่นมือไปตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ เฉินผิงอันสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาว่า “วันนี้เจ้าสามารถคิดได้เช่นนี้ อาจารย์พ่อก็สามารถวางใจสอนกระบวนท่าหมัดสองท่าที่คิดค้นขึ้นเอง รวมไปถึง ‘ครึ่งหมัด’ บางอย่างแก่เจ้าได้แล้ว”
อันที่จริงหมัดสองอย่างที่เฉินผิงอันคิดค้นขึ้นเองเป็นทั้งวิชาหมัดแล้วก็เป็นทั้งกระบวนท่ากระบี่ หนึ่งเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด หนึ่งซับซ้อนถึงขีดสุด ก็คือสองทางที่สุดขั้ว หมัดหนึ่งในนั้น หรือควรจะพูดว่าเวทกระบี่ ตั้งชื่อให้ว่า ‘เศษจันทร์’ พลานุภาพไม่น้อย พลังพิฆาตไม่ต่ำ เหมาะที่จะออกหมัดอย่างเฉียบคมขณะที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมหนาหนักในสนามรบ
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมไปหนึ่งประโยค “แต่เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน อีกเดี๋ยวข้าจะต้องกลับไปปิดด่านในถ้ำสวรรค์เล็กแล้ว รอให้งานเฉลิมฉลองสิ้นสุดลง ข้าจะหาเวลาว่างมาสอนหมัดแก่เจ้าดีๆ สักครั้ง”
ทุกวันนี้ลูกศิษย์เป็นขอบเขตปลายทางขั้นปราณโชติช่วงแล้ว เรื่องของการสอนหมัดให้กับเผยเฉียน เฉินผิงอันรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้างจริงๆ
เผยเฉียนโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เฉินผิงอันมองทัศนียภาพนอกภูเขาด้วยสภาพจิตใจที่สงบนิ่งปลอดโปร่ง
ภูเขาห่างไกลไร้ที่สิ้นสุด เมฆหรือน้ำยากจะแยกแยะ
วันนี้การที่เฉาฉิงหล่างไม่ได้เผยตัวมาชมศึกที่หอซ่าวฮวาก็เพราะว่าที่เจ้าสำนักคนถัดไปที่มีการ ‘เลือกกันเป็นการภายใน’ ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนนี้ได้เริ่มปิดด่านสร้างโอสถทองอย่างเป็นทางการแล้ว
ทั้งศึกษาวิชาความรู้ทั้งฝึกตนไปพร้อมๆ กัน
ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจเช่นนี้ ต่อให้ถือโคมตามหาก็ยังหาไม่เจอ
แต่สถานที่ที่เฉาฉิงหล่างใช้ปิดด่านในเวลานี้กลับไม่ใช่ยอดเขาชิงผิงหรือยอดเขามี่เซวี่ยของภูเขาเซียนตู แต่เป็นภูเขาใหม่ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เผยตัว ถูกชุยตงซานใช้ค่ายกลร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ แม้แต่เย่อวิ๋นอวิ๋นกับฉิวตู๋ก็ยังมองความจริงไม่ออก
มหาบรรพตเก่าอีกสองลูก ชุยตงซานแยกกันตั้งชื่อให้ว่าภูเขาอวิ๋นเจิง (ไอเมฆ) กับภูเขาโฉวโหมว (เตรียมการหรืออาลัยอาวรณ์)
ยอดเขาหลักแบ่งออกเป็นชื่อยอดเขาอู๋เฉากับยอดเขาจิ่งซิง ภูเขาทั้งสองแห่งต่างก็ตั้งป้ายศิลาเอาไว้ ชุยตงซานแกะสลักคำว่า ‘อู๋เฉาปู้ชู’ (หากคนอย่างพวกเราไม่ออกแรง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านจะทำอย่างไร) และ ‘เทียนตี้จื่อชี่’ (ปราณม่วงในฟ้าดิน)
ชุยตงซานจะป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ทุกคนในการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรก ในบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ในอนาคตจะถูกรับเข้ามาอยู่ในทำเนียบของสำนักเบื้องล่าง ผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบจะสามารถเข้าไปอยู่ในยอดเขาอู๋เฉาได้
และเฉาฉิงหล่างก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนคนแรกที่ได้อยู่บนยอดเขาจิ่งซิงภูเขาโฉวเหมียว
เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานคิดจะสร้างระบบสืบทอดของสำนักเบื้องล่างขึ้นมา เจ้าสำนักรุ่นถัดไปทุกคนของสำนักกระบี่ชิงผิงล้วนจะต้องพักอยู่ที่ยอดเขาหลักอย่างยอดเขาจิ่งซิง
ดังนั้นในอาณาเขตของสำนักกระบี่ชิงผิงทุกวันนี้ อันที่จริงก็ได้มีเค้าโครงคร่าวๆ แล้ว เซียนตู อวิ๋นเจิง โฉวโหมว สามภูเขาเคียงข้างกัน หนึ่งหลักสองรอง
แม้ว่าเสี่ยวโม่จะสร้างกระท่อมอยู่ที่หาดลั่วเป่า อันที่จริงกลับคอยจับตามองการปิดด่านของเฉาฉิงหล่าง รวมไปถึงการถามหมัดสองครั้งบนยอดเขาอยู่ตลอดเวลา
สำหรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง การแบ่งสมาธิออกไปเล็กน้อยไม่ได้ยากลำบากอะไร
ตอนนี้เสี่ยวโม่กำลังรอคอยให้อวี่จิ่นมาหาเรื่องตัวเอง
ถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายของตน แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักชุย
ใช่ เป็นข้านี่แหละที่ไปรื้อรังเก่าใต้ทะเลของเจ้า ขนเอาสมบัติของเจ้ามาจนเกลี้ยง เรื่องนี้เจ้าก็ทนได้ด้วยหรือ?
ขอแค่เจ้าอ้วนผู้นั้นยอมผงกศีรษะแม้สักเล็กน้อย เสี่ยวโม่ก็จะใช้ขอบเขตหยกดิบ ‘ฝึกปรือฝีมือ’ กับอีกฝ่าย
หอซ่าวฮวา มีแค่เฉิงเฉาลู่กับอวี๋เสียหุยที่ยังอยู่ต่อ คนบ้านเดียวกันสองคนที่ตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแต่กลับไม่รู้สึกทุกข์ทรมานแม้แต่น้อยนั่งคุยเล่นกันอยู่บนราวรั้ว
“พ่อครัวน้อย หากให้เวลาเจ้าอีกหลายร้อยปี เจ้าก็ไม่อาจได้ครอบครองขอบเขตวิชาหมัดอย่างทุกวันนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเราใช่หรือไม่?”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว พันปีก็ยังทำไม่ได้”
“ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าอวดดีมากเลยนะ?”
“ฮ่า”
“วันหน้าเจ้าจะดื่มเหล้าร่วมกับข้าหรือไม่?”
“อย่าดีกว่า อาจารย์ต้องโกรธแน่”
“ไม่ได้เรื่อง! กลัวอาจารย์ จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างไร”
ในบรรดาเด็กวัยเดียวกันทั้งเก้าคน ป๋ายเสวียน อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิง คนทั้งสามมาจากตรอกเก่าโทรม ต่อให้เป็นอาจารย์ของป๋ายเสวียนก็ยังไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับถนนไท่เซี่ยง ถนนอวี้ฮู่ที่กำแพงสูงใหญ่ ประตูบานโตพวกนั้นเลยสักนิด
ส่วนน่าหลันอวี้เตี๋ย เหอกู เหยาเสี่ยวเหยียน พวกเขาสามคนต่างก็เป็นเด็กที่เกิดในตระกูลชั้นสูง
ซุนชุนหวัง อันที่จริงก็ไม่แย่ ถือว่าเป็นญาติห่างๆ ของซุนจวี้เฉวียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
เขาอวี๋เสียหุยกับเฉิงเฉาลู่ถือว่าไม่ดีและไม่เลว ที่บ้านไม่ขาดเงิน แต่ก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร
ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนทั้งกลุ่มหากจะพูดถึงชาติกำเนิด พูดถึงวิชาความรู้ พูดถึงการสืบทอด ต่างคนต่างก็มีชะตาเป็นของตัวเอง
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงผู้คนไม่ค่อยชอบเปรียบเทียบเรื่องนี้กันสักเท่าไร เลือกครรภ์มาเกิดก็ต้องอาศัยความสามารถเหมือนกัน หากไม่ยินยอมก็ต้องอาศัยเวทกระบี่และคุณความชอบทางการสู้รบ ย้ายจากตรอกเก่าโทรมไปอยู่ถนนห้าเส้นนั้น
เนื่องจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยตั้งกฎที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนไว้ข้อหนึ่ง ตระกูลชั้นสูงตระกูลใหญ่ที่บ้านตั้งอยู่บนถนนทั้งห้าเส้น เว้นเสียจากว่าในบ้านไม่มีผู้ฝึกกระบี่แม้แต่คนเดียว ไม่อย่างนั้นต่อให้เหลือแค่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนเดียว ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ล้วนต้องไปส่งกระบี่ที่สนามรบ หากรู้สึกว่าไปแล้วจะต้องตาย ถ้าอย่างนั้นก่อนที่สงครามใหญ่จะมาเยือนก็รีบย้ายบ้านซะ รีบๆ ย้ายออกไปจากตรอกจากถนนห้าเส้นนั้น
ดังนั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากจะไม่มีสุสานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าไม่มีบ้านบรรพบุรุษด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสหลายท่านที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง บรรพบุรุษในประวัติศาสตร์ต่างก็เคยย้ายบ้านกันมาแล้วทั้งนั้น อย่างเช่นตระกูลต่ง ในช่วงเวลาร้อยปีที่ต่งซานเกิงออกเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพังก็เกือบจะไม่อาจรักษาบ้านบรรพบุรุษเอาไว้ได้แล้ว
ถนนห้าเส้นที่ตีจากเหล็ก ผู้ฝึกกระบี่ที่ไหลหายไปดั่งสายน้ำ
เนื่องจากความสัมพันธ์ที่มีกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เหล้าภูเขาชิงเสินที่เป็นของดีป้ายอักษรทองของร้านเหล้าที่บ้านเกิด เหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่ถูกแนะนำในช่วงหลัง และยังมีป้ายสงบสุขปลอดภัยทั้งหลาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเด็กๆ อย่างพวกเขา
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ภูเขาลั่วพั่ว เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ก็คือคนเสเพลที่เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ทุกครั้งที่ไปถึงหอบูชากระบี่จะชอบพูดคุยกับป๋ายเสวียนเป็นที่สุด เล่าให้ฟังถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเรือนชุนฟานและคฤหาสน์หลบร้อน
พวกอวี๋เสียหุยที่ว่างจากการฝึกกระบี่มักจะยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งด้านข้าง คิดเสียว่าได้ฟังนักเล่านิทาน
หมี่อวี้เล่าให้ฟังว่า ร้านเหล้าที่ใต้เท้าอิ่นกวานเปิดร่วมกับเถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างเคยมีผู้ฝึกตนโอสถทองเฒ่าคนหนึ่ง มีวันหนึ่งดื่มเหล้าเมาก็เลยเอาป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งไปแขวน
‘พูดถึงเวทกระบี่ ข้าเอาชนะเสี่ยวต่งไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงความคอแข็ง ต่อให้ข้าผู้อาวุโสเอาสามขาวางลงบนโต๊ะเหล้า ก็ยังสามารถเอาชนะเสี่ยวต่งได้สบายๆ ไม่ยอมแพ้ก็จงมาหาข้า’
หลังจากโดนซ้อมไปรอบหนึ่ง วันที่สองเขาที่หน้าเขียวจมูกบวม ฉวยโอกาสตอนที่ฟ้าเพิ่งสว่างร้านเหล้าเพิ่งเปิดวิ่งไปที่ร้านอีกรอบ เพียงแต่ว่าพลิกป้ายสงบสุขปลอดภัยอีกด้านแล้วเขียนอีกประโยคหนึ่งเพิ่มลงไป เมื่อวานดื่มเหล้าเมาไปหน่อย คำพูดของคนเมาเชื่อถือไม่ได้
ผลคือระหว่างที่แอบเดินกลับบ้าน ต่อให้จะเดินลับๆ ล่อๆ แค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ โดนกระบี่บินไปอีกหนึ่งที
อวี๋เสียหุยพลันเอ่ยว่า “พ่อครัวน้อย ในอนาคตพวกเราต้องสร้างโอสถทอง ได้เลี้ยงทารกก่อกำเนิด เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!