เหนือมหาสมุทรใหญ่ หลังจากที่เรื่องเซียนกระบี่ร่วมมือกันลากดวงจันทร์ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไร เรือข้ามฟากขุนเขาลำหนึ่งก็พุ่งทะยานไปกลางอากาศ ใกล้กันยังมีเรือกระบี่ของต้าหลีอีกสองลำคอยให้การคุ้มกัน
ตัวเรือใหญ่โตมโหฬาร มืดฟ้าบังดิน ลอยผ่านกลางอากาศเหนือเกาะกุ้ยฮวาพอดี
เรือข้ามฟากตระกูลเซียนทุกลำของแจกันสมบัติทวีปที่สามารถเดินทางไกลข้ามทวีปได้ได้ถูกศาลบุ๋นและราชสำนักต้าหลียืมไปใช้นานแล้ว เกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพียงแต่ว่าหลังจากที่การประชุมศาลบุ๋นสิ้นสุดลงได้ไม่นาน ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าก็ได้ยืมเรือข้ามฟากที่สร้างใหม่มาจากธวัลทวีปและหลิวเสียทวีปอย่างละลำ เพื่อนำมาใช้ประคับประคองเส้นทางการทำการค้า
เรื่องแบบนี้แม้จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าฉวยโอกาสไขว่คว้าหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่กลับได้รับการอนุญาตจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ไม่ถือว่าละมิดกฎ นี่จึงเป็นเหตุให้ตระกูลเซียนอักษรจงหลายแห่งที่สามารถสร้างเรือข้ามทวีปได้ด้วยกองกำลังของตัวเองถกเถียงกันไม่น้อย
บนเกาะกุ้ยฮวา เรือนพักส่วนตัวขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเรือนกุยม่าย
กุ้ยฮูหยินนวดคลึงหว่างคิ้ว ช่วงนี้นางถูกเจ้าเซียนฉาผู้นั้นก่อกวนจนรำคาญใจอย่างยิ่ง
จินซู่กลั้นขำอย่างยากลำบาก
ที่แท้การพบเจอกันอีกครั้งที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก่อนหน้านี้ เซียนฉาได้เอ่ยความในใจให้ฟัง กุ้ยฮูหยินเห็นว่าเขาจริงใจจึงยอมถอยให้เล็กน้อย เอ่ยถ้อยคำเกรงใจตามมารยาทบอกว่าเขาจะไปนั่งเล่นที่เกาะกุ้ยฮวาบ้างก็ได้
ตอนนั้นนางมีการพิจารณาเป็นของตัวเอง ฟ่านจวิ้นเม่าที่เป็นถึงซานจวินใหญ่ของมหาบรรพตทักษิณ ขอบเขตถดถอยจากหยกดิบไปถึงประตูมังกร ดังนั้นตระกูลฟ่านจึงต้องการผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนอย่างเร่งด่วน และคนพายเรือเฒ่าที่คอยคุ้มกันให้เรือข้ามทวีปลำนี้ล่องผ่านร่องเจียวหลงอย่างปลอดภัยมานานหลายปีก็เป็นลูกศิษย์ของเซียนฉาพอดี กุ้ยฮูหยินจึงหวังว่าเซียนฉาจะช่วยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับลูกศิษย์มากหน่อย
แต่กุ้ยฮูหยินคิดไม่ถึงเลยว่า คำว่า ‘บ้าง’ ที่นางเอ่ยออกไป กับคำว่าบ้างที่เซียนฉาเข้าใจจะเป็นคนละเรื่องกันเลย
ก่อนหน้านี้นางได้รับจดหมายขออภัยฉบับหนึ่งที่เขียนด้วยลายมือของอิ่นกวานหนุ่มซึ่งอยู่ในการคาดการณ์ของนางอยู่แล้ว
แรกเริ่มกุ้ยฮูหยินยังรู้สึกว่าเฉินผิงอันคิดมากไป แต่ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่าหากเฉินผิงอันกล้ามาที่เกาะกุ้ยฮวา นางก็กล้าไล่คนโดยตรง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่เรือนเล็ก ไม่มากไม่น้อย เคาะสามครั้งพอดี
กุ้ยฮูหยินขมวดคิ้วน้อยๆ มีคนขยับเข้าใกล้ประตูเรือน แต่ตนกลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
จินซู่ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปเปิดประตู กุ้ยฮูหยินกลับโบกมือ บอกให้ลูกศิษย์นั่งอยู่ที่เดิม ตัวเองโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งเปิดประตูเรือนออก
ตรงหน้าประตูมีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ อีกฝ่ายคลี่ยิ้มเจิดจ้า โบกมือเหวี่ยงแขนมาทางอาจารย์และศิษย์สองคนที่อยู่ในลานบ้าน
เรือข้ามฟากตระกูลฟ่านลำนี้ไม่รับผู้โดยสารระหว่างทาง จินซู่มองกวานเต๋าของนักพรตหนุ่มเห็นว่าเป็นกวานดอกบัว นางจึงคิดไปว่าอีกฝ่ายเป็นนักพรตของสำนักโองการเทพที่ออกเดินทางหาประสบการณ์
แจกันสมบัติทวีปมีเพียงนักพรตของสำนักโองการเทพเท่านั้นที่กวานเต๋าซึ่งสวมบนศีรษะจะมีทั้งกวานหางปลาและกวานดอกบัว
แต่ตามหลักแล้ว ครั้งนี้เกาะกุ้ยฮวาเดินทางผ่านกุยซวีเส้นนั้นกลับจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมายังแจกันสมบัติทวีป บนเกาะไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ยิ่งไม่ควรมีนักพรตถึงจะถูก
กุ้ยฮูหยินไม่เอ่ยอะไร หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็เพียงแค่ยอบกายคารวะ
จินซู่รีบลุกขึ้นตามอาจารย์
นักพรตหนุ่มรับค้อมเอวคารวะกลับคืน ยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “จากลากันพันปีแล้วพันปีเล่า โชคดีที่ความงามของกุ้ยฮูหยินยังคงเดิม ทำให้คนเห็นแล้วลืมความสามัญ”
กุ้ยฮูหยินยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
นักพรตหนุ่มเดินอาดๆ เข้ามาในลานบ้าน “นี่คงเป็นแม่นางจินซู่กระมัง ซุนเจียซู่ได้แต่งแม่นางจินซู่เป็นภรรยา ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ”
ต้นกุ้ยในอารามจินกุ้ยของแจกันสมบัติทวีปถูกผู้ฝึกตนบนภูเขารุ่นหลังจำนวนมากมองเป็นเผ่าพันธุ์ตำหนักดวงจันทร์สายดั้งเดิม ก็เป็นนักพรตผู้นี้ที่ในอดีตล่องเรือออกทะเลได้เจอกับเกาะกุ้ยฮวากลางทางโดยบังเอิญ จึงมาขอกิ่งกุ้ยจากที่นี่ไปสองสามกิ่ง ภายหลังขึ้นฝั่งที่แจกันสมบัติทวีป เดินทางผ่านอารามจินกุ้ยจึงร่ายฝีมือของ ‘เซียนเหริน’ ไปรอบหนึ่ง แล้วยังเป็นยายหวังขายแตงที่ขายเองชมเองด้วย
ก็เขาว่างงานมากจริงๆ นี่นะ
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรกุ้ยฮูหยินก็คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินที่ไปยังใต้หล้ามืดสลัว ตอนนั้นจะว่างงานจนได้กลายเป็นลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋า เป็นเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิง
ในความเป็นจริงแล้วท่ามกลางการเดินทางหาประสบการณ์ครั้งนั้น ลู่เฉินยังได้เจอกับเจ้าสำนักของสำนักโองการเทพในเวลานั้น จึงได้ช่วยชี้แนะมรรคกถาบางส่วนให้กับนักพรตน้อยที่ปีนั้นเพิ่งจะขึ้นเขาฝึกตน
และนักพรตน้อยคนนั้นก็แซ่ฉีนามเจิน
จินซู่ย่อมไม่รู้ถึงตัวตนของนักพรตหนุ่มผู้นี้
ต่อให้อีกฝ่ายบอกกล่าวตัวตนอย่างชัดเจน คาดว่านางเองก็คงไม่กล้าเชื่อ
ก่อนที่นักพรตหนุ่มจะนั่งลงได้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบหนึ่ง แล้วยิ้มถามว่า “ไม่บังเอิญขนาดนี้เชียว เหล่ากู้ไม่ได้อยู่บนเรือลำนี้หรือ?”
ที่แท้ก็คือลู่เฉินที่หลังออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่ใต้หล้ามืดสลัว แต่ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเคร่งครัด นั่นคือจะต้องไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองของแจกันสมบัติทวีปรอบหนึ่ง
และความเร็วในการทะยานลมเดินทางของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงนั้นก็ต้องเรียกว่าเหมือนกับ…เต่าคลาน
กุ้ยฮูหยินเอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “เจ้าลัทธิลู่รู้อยู่แล้วไยต้องแกล้งถาม”
ก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยู่ เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงอย่างท่านถึงได้ยินดีปรากฏตัวหรือไร?
ลู่เฉินนั่งลงแล้วใช้นิ้วเคาะโต๊ะ ความหมายชัดเจนอย่างยิ่ง สุราล่ะ
จินซู่จึงใช้เสียงในใจสอบถามอาจารย์ว่าจะให้เอาเหล้ากุ้ยฮวามารับรองแขกสักสองสามไหดีหรือไม่ แน่นอนว่ากุ้ยฮูหยินไม่ตอบตกลง นางไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมกับเจ้าลัทธิสามผู้นี้บนเกาะกุ้ยฮวามากเกินควร
เซียนฉาผู้นั้น หรือกู้ชิงซงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลก็ไม่ใช่ว่าเป็นลู่เฉินที่พาขึ้นเกาะกุ้ยฮวามาในปีนั้นหรอกหรือ?
“มองภูเขาจากบนหอ มองหิมะจากบนภูเขา มองดวงจันทร์ท่ามกลางหิมะ ใต้แสงจันทร์เห็นสาวงาม ต่างก็เป็นคนละฉากคนละตอน”
ลู่เฉินใช้นิ้วทั้งห้าผลัดกันเวียนเคาะโต๊ะหินจนครบ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ขึ้นสิบห้าค่ำคืนวันที่ดวงจันทร์งามสุดบนฟ้า วลีของหลิ่วชีคือถ้อยคำที่งามที่สุดแห่งตัวอักษร เกาะกุ้ยฮวาคือสิ่งที่งามที่สุดในบรรดาขุนเขาสายน้ำ”
กุ้ยฮูหยินเอ่ยเตือนว่า “เจ้าลัทธิลู่ มีธุระอะไรก็พูดมาเถิด หากไม่มีธุระข้าคงไม่ไปส่งท่านแล้ว”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ “ผินเต้าไม่จนใครจะจน (ภาษาจีนคือผินเต้าปู้ผินเสยผิน คำว่าผินเต้า ตรงกับคำว่าผินที่แปลว่ายากจน ประโยคนี้จึงเป็นการเล่นคำ) กุ้ยฮูหยินโปรดอภัยให้ด้วย”
ในใจจินซู่เกิดข้อสงสัย อาจารย์เรียกนักพรตท่านนี้ว่าเจ้าลัทธิลู่อย่างนั้นหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!