กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 912

หลัวเจินอี้ที่หลายปีมานี้พักอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนมาโดยตลอด เวลานี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ข้างมือยังมีแท่นฝนหมึกอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็เป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งด้วย

บนแท่นฝนหมึกที่มีลายมังกรขุยหลงนี้แกะสลักเป็นคำว่า เมฆคล้อยน้ำตระหง่าน วาสนาอักษรลึกล้ำ

สวีหนิงกับฉางไท่ชิงดื่มเหล้าอยู่ในเรือนอีกแห่งหนึ่งของคฤหาสน์หลบร้อน

สหายรักทั้งสองไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยกันได้หมด แต่กลับจงใจเว้นเรื่องของอิ่นกวานหนุ่มไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา

ปีนั้นคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ไม่ใช่แม้กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ ทำไมถึงสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคง?

พูดถึงแค่เรื่องเดียวก็ทำให้สวีหนิงในทุกวันนี้อารมณ์ซับซ้อนทุกครั้งที่คิดถึง

ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต หรือแม้กระทั่งคนทุกคนในตรอกเล็กซอยใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ขอแค่มีบันทึกอยู่ในเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน อิ่นกวานผู้นั้นก็ล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน

หากว่าจำแค่ชื่อ ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ก็ยังไม่เท่าไร ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นเอาทุกคนมาร้อยเรียงต่อกันเป็นเส้นก็เพียงแค่เพื่อตามหาบุคคลที่อาจจะเป็นหมากลับที่เปลี่ยวร้างทิ้งไว้

เวลานี้ฉีโซ่วไม่ได้อยู่ที่นครบินทะยาน แต่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของนครทัวเยว่ สองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไกลไปยังม่านฟ้า ดวงดาวดารดาษเต็มท้องนภา

ในสายตาของเขา เซียนซือทำเนียบบางคนที่ไม่มีความกังวลใดๆ บนเส้นทางการฝึกตน หากจำนวนครั้งในการลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์มีไม่มากพอ บางทีก็อาจมีอายุร้อยปีอย่างเสียเปล่า เป็นได้แค่ตัวอ่อนการฝึกตนเท่านั้น หากจะพูดถึงสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ร่วมกับสังคม คาดว่าคงมิอาจเทียบบุรุษอายุยี่สิบหลายคนของล่างภูเขาได้ด้วยซ้ำ

โชคดีที่พวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของนครบินทะยานกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างรวดเร็ว

ทุกคนต่างก็แสวงหาความก้าวหน้ามีปณิธานแน่วแน่ พยายามบุกเบิกที่ดินอย่างเต็มกำลัง

พวกผู้ฝึกกระบี่ฉายประกายคมกริบ ขณะเดียวกันก็ทำความผิดและแก้ไขความผิดอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่ที่นี่คือใต้หล้าใหม่เอี่ยม ไม่ว่าจะสถานที่หรือเวลาก็ล้วนอนุญาตให้ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานทำความผิดได้

บวกกับที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานที่มาจากใต้หล้าไพศาลอย่างเติ้งเหลียงมีประโยชน์ในการเป็นสะพานสานสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม

ทุกวันนี้ได้บุกเบิกภูเขาแล้วแปดลูก ทั้งยังสร้างนครอีกสี่แห่ง โดยมีนครบินทะยานเป็นจุดศูนย์กลาง วาดวงกลมออกไปเป็นอาณาเขตในรัศมีพันลี้

นอกจากนี้ยังมีแดนบินสี่แห่งที่อยู่ห่างจากนครบินทะยานไปไกลมากซึ่งต่างก็หยัดยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นั่นไม่ได้ปล่อยกระบี่ใส่คนต่างถิ่นมานานถึงสองปีเต็มแล้ว

ฉีโซ่วพลันตบหัวกำแพงใหม่เอี่ยม ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ในที่สุดทุกอย่างก็ล้วนใหม่ทั้งหมด”

จวนตระกูลเฉินบนถนนไท่เซี่ยง

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเฉินจีอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงอ่านบันทึกส่วนตัวของปัญญาชนเล่มหนึ่ง เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไกลคนหนึ่งซื้อมาจากผู้ลี้ภัยของใบถงทวีปในราคาต่ำ

ในห้องมีสาวใช้ประจำตัวคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ นางได้เลื่อนจากขอบเขตก่อกำเนิดของเมื่อปีนั้นมาเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไม่นานมานี้

ดังนั้นเฉินจีที่หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมาโดยตลอดจึงรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของตนในชาตินี้

แซ่ที่ยกให้คือแซ่เฉิน นามฮุ่ย

ฮุ่ย วันสุดท้ายของทุกเดือน

ความหมายแฝงคือนางสามารถเดินได้สูงได้ไกลบนมหามรรคา ได้มีชีวิตเป็นอมตะคอยมองเรื่องทุกอย่างไปอีกยาวนานอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงสามารถอยู่ต่อที่นครบินทะยาน กลายมาเป็นทางหนีทีไล่ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญ

เฉินจี หรือควรจะพูดว่าเฉินซีในชาติก่อน หลังจากที่สละร่างใต้คมอาวุธก็อาศัยเวทลับเสริมหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ ทั้งมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ นิสัยใจคอจึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนอยากจะเป็นเจ้าเมืองคนแรกของนครบินทะยาน หวังเพียงว่าฉีโซ่วหรือใครบางคนจะสามารถแบกรับหน้าที่นี้ได้

ส่วนหนิงเหยานั้นช่างเถิด นางต้องไม่ยอมเป็นเจ้าเมืองอะไรแน่

อันที่จริงนครบินทะยานในทุกวันนี้มีผู้ฝึกกระบี่ไม่น้อยที่พากันเอ่ยทวงความเป็นธรรมแทนเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินซี หากไม่เป็นเพราะสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งแล้วเฉินซีตกอยู่ในวงล้อมหนาหนัก ถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่าสองตนนำพาผู้ฝึกตนเปลี่ยวร้างกลุ่มใหญ่มาดักทางเอาไว้ สุดท้ายเมื่อสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบไปได้อีกตนก็จำต้องสละร่างใต้คมอาวุธ ถ้าอย่างนั้นเฉินซีก็จะสามารถเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้แกะสลักตัวอักษรสองตัวเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว

แน่นอนว่าเฉินจีไม่สนใจเรื่องพวกนี้

หนึ่งในแปดภูเขาใต้อาณัตินอกนครบินทะยาน ภูเขาจื่อฝู่

เติ้งเหลียงยืนอยู่หน้าป้ายศิลาเก่าแก่ มองตัวอักษรเก่าแก่สองบรรทัด ‘หกถ้ำแสงแดงตำราดำ ซานชิงจื่อฝู่คำเขียว’

หยิบเอากล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ไม่นานก็หลอมมันได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะคลำเจอธรณีประตูคอขวดขอบเขตหยกดิบแล้ว

นี่ก็คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์

ราวกับว่าภูเขาลูกนี้ได้รอคอยเติ้งเหลียงเงียบๆ มานานหมื่นปีแล้ว

เป็นเหตุให้หลายปีมานี้เติ้งเหลียงมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่

สตรีที่รักบางคนที่มีชื่อว่า ‘ปู้เต๋อ’ (ไม่ได้รับมา) ในเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้มาครองก็ไม่หวังอีกต่อไปแล้ว

เติ้งเหลียงจึงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานในรัชศกเจียชุนที่เจ็ดของใต้หล้าห้าสี

เวลานั้นฉีโซ่วเพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบพอดี แต่เกาเหย่โหวยังเป็นขอบเขตก่อกำเนิด

เติ้งเหลียงหมุนตัวจากไป ไปเดินเล่นอยู่ในภูเขาจื่อฝู่

ใต้หล้าแห่งที่ห้ากว้างใหญ่เกินไปจริงๆ คนที่เข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยมก็มีน้อยเกินไป ก็เหมือนกับโยนปลาสองสามข้องลงไปในทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

เดินไปถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งก็ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบใบไม้ร่วงใบหนึ่งขึ้นมา

ใบไม้ร่วงของต้นไม้ต่างบ้านต่างเมือง

ความคิดถึงเหมือนใบไม้ร่วงที่เกลื่อนเต็มพื้น มองไปแล้วก็เหมือนกันทุกใบ แต่อันที่จริงกลับไม่เหมือนกัน

ตัวแทนเถ้าแก่ผู้นั้นพูดได้ดี ความคิดถึงเพียงฝ่ายเดียวก็เหมือนการแขวนคอตาย เชือกที่รัดคอก็คือความคิดถึง คานขื่อเหนือศีรษะก็คือคนในใจที่ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครอบครอง

คนที่รักเขาข้างเดียวซึ่งไม่สมหวังทุกคนล้วนคือผีที่ผูกคอตายซึ่งดวงวิญญาณไม่ยอมไปไหน

ไม่ทำให้คนตกใจ ไม่ทำร้ายคน แค่ทำให้คนหงุดหงิด ทำให้คนกลุ้มใจ

ทุกวันนี้เกาเหย่โหวคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ควบดูแลหอกระบี่ หอภูษาและหอโอสถของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต เกาเหย่โหวจึงกลายเป็นท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างสมชื่อของนครบินทะยาน

แต่เกาเหย่โหวจะไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระมากเกินไป ผู้ฝึกตนสายเฉวียนฝู่ ทุกวันนี้คนที่ดูแลเงินอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเยาว์ที่คัดเลือกมาจากตระกูลเยี่ยนกับตระกูลน่าหลันมากกว่า จำนวนผู้ฝึกกระบี่ในบรรดาคนกลุ่มนี้มีไม่มาก คุณสมบัติธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็ไม่ถึงขั้นมาดีดลูกคิดอยู่ในจวนเฉวียนฝู่ คงเป็นเพราะเปลี่ยนความโศกเศร้าและความโกรธให้เป็นพลัง เมื่อเทียบกับสมาชิกทั่วไปของจวนเฉวียนฝู่แล้วจึงทุ่มเทความคิดจิตใจไว้ที่สมุดบัญชีมากกว่า

ในจวนเฉวียนฟู่ แสงไฟสว่างไสว เกาเหย่โหวนั่งอยู่ในห้องบัญชีของตัวเอง เริ่มคิดถึงน้องสาวของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงอุตรกุรุทวีป การฝึกตนของนางราบรื่นหรือไม่ หาบุรุษที่ตรงใจเจอแล้วหรือยัง

เพียงแต่พอคิดถึงเรื่องที่นครบินทะยานจะสร้างสำนักศึกษาขึ้นมา เกาเหย่โหวก็เริ่มหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เรื่องของเงินเลยสักนิด นี่แหละถึงเป็นปัญหา

ท่ามกลางม่านราตรี ในนครใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้สุดมีผู้ฝึกตนต่างถิ่นสองคน ผู้หนึ่งคือบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดกว้าตัวยาวสวมรองเท้าผ้า อีกคนหนึ่งคือคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ถือไม้เท้าเดินป่า

หน้าประตูเมืองมีแผงลอยอยู่แผงหนึ่ง ใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ไม่มีเอกสารผ่านด่านอะไรให้เอ่ยถึง แต่อิงตามกฎที่นครบินทะยานกำหนดไว้ แขกที่มาเยือนจากทุกฝ่ายล้วนต้องเข้าพักที่นี่แต่โดยดี เขียนประวัติความเป็นมา ชื่อและฉายา บ้านเกิดสำมะโนครัว สำนักภูเขาของตัวเองให้ชัดเจน ยิ่งละเอียดยิ่งดี สรุปก็คือห้ามน้อยกว่าสามร้อยตัวอักษร ยิ่งมากก็ยิ่งดี ต่อให้เขียนนานเป็นชั่วยามก็ถือว่าเป็นความสามารถ เมื่อตัวอักษรมากยังจะได้ดื่มเหล้าที่เตรียมไว้ให้ก่อนแล้วกาหนึ่งด้วย เหมือนอย่างที่นครปี้สู่ทางเหนือก็มีเหล้าทะเลสาบคนใบ้หนึ่งกา ที่นี่ก็มีเหล้าที่ตระกูลเยี่ยนหมักขึ้นเองเหมือนกัน

ด้านหลังแผงลอยมีม้านั่งยาวหนึ่งตัว มีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองคนนั่งอยู่ หนึ่งชายหนึ่งหญิง ขอบเขตล้วนไม่สูง คนหนึ่งในนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางด้วยซ้ำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!