กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 913

สรุปบท บทที่ 913.1 ถามกระบี่เช่นนี้: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 913.1 ถามกระบี่เช่นนี้ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 913.1 ถามกระบี่เช่นนี้ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

คนทั้งสามออกไปจากนครอู่ขุยด้วยกัน บนหัวกำแพงพลันมีแต่เสียงเป่าปากดังระงม

มีหนิงเหยาอยู่แล้วอย่างไร ก็ยังมีเถ้าแก่รองอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ

ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครบ้างไม่รู้ว่าอยู่นอกจวนหนิง หนิงเหยาไว้หน้าเถ้าแก่รองอย่างมาก ส่วนพอกลับไปจวนหนิงแล้วเถ้าแก่รองจะต้องนั่งคุกเข่าบนกระดานซักผ้าหรือไม่ เกี่ยวผายลมอะไรกับพวกเราด้วย

ระหว่างที่ทะยานลม เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไปดูที่ทะเลสาบฝูเซียนก่อนเถอะ”

ทุกวันนี้นครบินทะยานได้ครอบครองท่าเรือตระกูลเซียนสองแห่ง ท่าเรือปี้สู่ที่อยู่ในนครปี้สู่ทางเหนือสุด และยังมีตรงตีนเขาภูเขาจื่อฝู่สถานที่ฝึกตนของเติ้งเหลียงก็ได้สร้างท่าเรือไว้บนทะเลสาบฝูเซียน ตั้งชื่อว่าท่าเรือหมีหุน หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ เป็นการค้าที่ทำได้สองทิศทางพอดี

คฤหาสน์หลบร้อน นครปี้สู่ ท่าเรือปี้สู่…

เรื่องของการตั้งชื่อนี่ค่อนข้างจะประหยัดแรงกายแรงใจแล้ว

หนิงเหยาตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ก็คิดชื่อที่ดีกว่านี้ไม่ออก”

เฉินผิงอันพยักหน้า “หากมีชื่อดีมากเกินไป ก็เลือกได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

หนิงเหยาเหลือบตามองเสี่ยวโม่

เสี่ยวโม่รีบอธิบายทันที “ฮูหยิน การที่คุณชายไม่ได้ไปที่นครบินทะยานทันทีเพราะคุณชายแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้ อีกทั้งยังผสานมรรคากับกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งนั้น อยู่ห่างกันหนึ่งใต้หล้า เป็นเหตุให้ถูกท่วงทำนองที่มองไม่เห็นของอาณาเขตนครบินทะยานผลักไสตามธรรมชาติ ถึงขั้นที่ว่ามองเป็นภัยแฝงที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู หากคุณชายบุ่มบ่ามเข้าไปในนครบินทะยานจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการถามกระบี่”

เสี่ยวโม่กดหมวกบนศีรษะ เอ่ยอย่างละอายใจว่า “เรื่องนี้ก็ต้องโทษที่ชาติกำเนิดของเสี่ยวโม่ มาที่นี่เป็นเพื่อนคุณชายก็เหมือนกับยืนยันสถานะปีศาจใหญ่ของคุณชาย”

หนิงเหยาฟังด้วยความมึนงง

นครบินทะยานจะมีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งเลยหรือ?

เหมือนวิญญาณกระบี่ ‘เทียนเจิน’ กระบี่เซียนที่นางสะพายไว้ในกล่องด้านหลัง?

เพียงแต่ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ทำไมนางถึงไม่รู้เรื่องนี้?

เฉินผิงอันจึงอธิบายด้วยอีกคน ก็เหมือนถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเขาที่เคยฟูมฟักคนจิ๋วควันธูปสีทองคนหนึ่ง ปีนั้นซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวที่เฉินผิงอันสะพายไว้ข้างหลัง สุดท้ายเขานำไปมอบให้กับหยางเหล่าโถว เรื่องประหลาดประเภทนี้ก็เหมือนทารกก่อกำเนิดของผู้ฝึกตน ช่วงเริ่มต้นของการฟักตัว สติปัญญายังไม่เปิดออก ยังไม่เข้าใจอะไร แต่กลับเจ้าอารมณ์ไม่เบา ยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู ดินน้ำของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนของพื้นที่หนึ่ง คนจิ๋วควันธูปของนครบินทะยานผู้นี้ แน่นอนว่ามีแต่จะเจ้าอารมณ์มากยิ่งกว่า

เฉินผิงอันเอ่ย “เฉินจีน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เขาจงใจไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้าแสดงว่าต้องมีการพิจารณาเป็นของตัวเอง”

แรกเริ่มเฉินผิงอันยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี รู้สึกว่าต่อให้นครบินทะยานมีโชควาสนาเช่นนี้อยู่จริง แต่เวลาสั้นๆ แค่สิบปีก็ไม่น่าจะมีสติปัญญาก่อเกิดได้เร็วถึงเพียงนี้ น่าจะอยู่ในสภาวะเหมือนจำศีลมากกว่า อีกอย่างเฉินผิงอันยังพกป้ายหยกอิ่นกวานมาด้วย สามารถระบุตัวตนของเขาได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต่อให้ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหยิบเอาแผ่นหยกบอกสถานะตัวเองออกมาแขวนไว้ที่เอว ไม่อาจพูดได้ว่าไร้ผล แต่ผลลัพธ์กลับไม่มาก ก่อนหน้านี้เขากับเสี่ยวโม่แค่ขยับเข้าใกล้นครบินทะยานก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธในขอบเขตเทพมาเยือนท่านหนึ่งแล้ว และราวกับว่าเขากำลังอธิบายหลักการเหตุผลกับเฉินผิงอันอย่างที่มองไม่เห็น

โปรดหยุดเท้า กล้าเข้าใกล้ ก็คือการถามหมัด

นี่หมายความว่าหากเฉินผิงอันบุกเข้าไปในนครบินทะยานก็เท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว

มีเสี่ยวโม่อยู่ข้างกาย เข้าไปในนครบินทะยานย่อมไม่เป็นปัญหา แต่เฉินผิงอันจะตัดใจลดทอนสติปัญญาของ ‘นครบินทะยาน’ สักเศษเสี้ยวได้อย่างไร

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าจะ ‘อยู่ให้คุ้นเคย’ แถวๆ บริเวณโดยรอบนครบินทะยานไปก่อน แล้วค่อยไปหาหนิงเหยาที่นครบินทะยาน อีกทั้งยังต้องบอกกล่าวตั้งแต่อยู่นอกเมือง อธิบายให้ชัดเจน แล้วค่อยหาวิธีใหม่ที่รับประกันว่าจะไม่ทำให้คนจิ๋วควันธูปของนครบินทะยานที่ยังอยู่ในสภาวะภาพมายาล่องลอยได้รับบาดเจ็บ เฉินผิงอันถึงจะเข้าไปในนครบินทะยาน

พอดีกับที่สามารถอาศัยมุมมองของคนต่างถิ่นคนหนึ่งเลือกสถานที่สามแห่ง ดูว่าจะสามารถช่วยตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ให้กับนครบินทะยานในจุดที่เล็กละเอียดได้หรือไม่ มีทั้งนครอู่ขุยของสายสิงกวานเมื่อครู่นี้ แล้วก็มีทั้งนครปี้สู่ของสายอิ่นกวาน รวมไปถึงท่าเรือหมีหุนของสายเฉวียนฝู่ที่ต้องแวะไปดูสักหน่อย

หนิงเหยากระจ่างแจ้ง มิน่าเล่าก่อนหน้านี้จิตของนางถึงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถึงได้ขี่กระบี่ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ สำรวจไปทั่วทิศ และเพียงไม่นานก็สังเกตเห็นเงาร่างของเสี่ยวโม่

หนิงเหยาถามเสียงอ่อนโยน “ทำไมไม่บอกแต่แรก”

หากรู้แต่แรกว่าเป็นอย่างนี้ นางก็คงไม่ปรากฏตัวที่หน้าประตูนครอู่ขุยโดยตรงแล้ว ไม่แน่ว่าตัวเองอาจทำลายแผนการดีๆ บางอย่างของเขาไปแล้วด้วย

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “รอข้ากลับคืนสู่ขอบเขตหยกดิบใหม่อีกครั้ง สถานการณ์ก็จะดีกว่านี้มาก หากวันใดเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน แล้วค่อยมานครบินทะยานก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งยากมากที่จะสยบชื่อจริงของเผ่าปีศาจไว้ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ที่มีผู้ฝึกตนบรรพกาล ‘อายุ’ พอๆ กับเสี่ยวโม่ปรากฏตัวขึ้นมาหลายคน ในบรรดานั้นมีชื่อจริงของปีศาจใหญ่สามตนที่ปีนั้นคนเย็บผ้าเหนี่ยนซินช่วยปะชุนชื่อจริงให้กับเฉินผิงอัน

เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วันก็จะเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของใต้หล้าไพศาลแล้ว แล้วก็เหมาะกับการฟื้นคืนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดของคุณชายพอดี โดยทั่วไปแล้วควรจะอยู่ในลานประกอบพิธีบนภูเขาเซียนตูสร้างความมั่นคงให้ขอบเขตต่อไป ดังนั้นเดินทางมาใต้หล้าห้าสีครั้งนี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหันของคุณชาย เสี่ยวโม่ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่”

อาศัยบทขอฝนบนป้ายศิลาเก่าแก่ของลำคลองม่ายเหอ เรื่องของการสร้างโอสถทองและเลื่อนเป็นก่อกำเนิด สำหรับเฉินผิงอันแล้วเขาคุ้นเคยจนเกิดเป็นความชำนาญมานานแล้ว

หนิงเหยาเหลือบมองเฉินผิงอัน ร้องรับเข้าคู่กันดีไม่ขาดตอนเช่นนี้ ก่อนจะมาพวกเจ้าเคยตั้งใจซ้อมกันมาก่อนหรือไม่?

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างน้อยใจ “ฟ้าดินเป็นพยาน”

หนิงเหยาถาม “เป็นเรื่องดีใช่ไหม? มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษ หรือมีข้อเสียที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่?”

เฉินผิงอันใช้หมัดทุบฝ่ามือ สีหน้าสดใสแช่มชื่น พยักหน้ายิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดี ทั้งยังเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าด้วย ไม่มีภัยแฝงอะไรทิ้งไว้ ถึงขั้นที่ว่าไม่มีข้อเสียใหญ่อะไร มีแค่ข้อดีอย่างเดียวเลยจริงๆ เป็นโชควาสนายิ่งใหญ่บนมหามรรคาที่เหล่านักพรตของป๋ายอวี้จิงอ้อนวอนร้องขอก็ยังไม่ได้มาครอง!”

อันที่จริงถูกนครบินทะยานผลักไสเช่นนี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่สำหรับตลอดทั้งนครบินทะยานแล้วกลับเป็นเรื่องดีอย่างมากเรื่องหนึ่ง

เพราะนี่หมายความว่านครบินทะยานไม่เพียงแต่กลมกลืนกับใต้หล้าห้าสีอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ว่ายังได้รับการยอมรับจากมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้ ได้รับความโปรดปรานบางอย่างที่ ‘ฟ้าดินดูแลเป็นพิเศษ’

ไม่เหมือนกับป๋ายอวี้จิงและลัทธิพุทธแดนสุขาวดีที่มีเพียงผู้ฝึกตนที่ข้ามประตูใหญ่เข้ามาในใต้หล้าห้าสี พวกผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานกลับพานครทั้งแห่งแหวกแม่น้ำแห่งกาลเวลา ‘ขี่กระบี่บินทะยาน’ มาถึงที่แห่งนี้

พูดถึงแค่เรื่องนี้ก็รู้แล้วว่าการประทานพรจากวิถีสวรรค์นั้นหาได้ยากถึงเพียงใด

หากมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคิดอยากจะแอบเข้ามาในที่แห่งนี้ก็จะชักนำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่ผิดปกติระหว่างฟ้าดิน

ขอแค่ตอนนั้นหนิงเหยาอยู่ในเมืองพอดีก็จะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที

เฉินผิงอันยังคงพิศมองตัวอักษรบนป้ายศิลาอย่างละเอียด ตัวอักษรไม่มาก แต่กลับมากด้วยความหมาย อีกทั้งส่วนหัวและส่วนตัวของป้ายนี้ก็ล้วนเป็นความรู้ สามารถช่วยให้คนรุ่นหลังตรวจสอบระยะเวลาได้ ‘ถึงรุ่น’ ของมัน

คิดว่าก่อนจะออกไปจากนครบินทะยานจะต้องมาดูป้ายศิลานี้อีกสักรอบ กลับไปจะมอบให้หลิวจิ่งหลงเอาไปศึกษา ถึงอย่างไรในวัตถุจื่อชื่อก็ล้วนมีของครบถ้วน อย่างมากสุดใช้เวลาหนึ่งเค่อก็คัดลอกสำเร็จแล้ว

เฉินผิงอันยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งไปให้ คือเหล้าร้อยบุปผาที่เฟิงอี๋มอบให้เขา

เติ้งเหลียงดูของเป็น รับกาเหล้ามา “ใช่?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เดาถูกแล้ว”

เติ้งเหลียงกอดประคองไหเหล้า ยื่นมือออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล “ขออีกสักไหสิ ข้าดื่มไหหนึ่งจะเก็บไว้ไหหนึ่ง วันหน้าเจ้าค่อยช่วยข้านำไปมอบให้ศาลบรรพจารย์ภูเขาจิ่วตูแทนข้า จะมีประโยชน์มาก”

ใช้ศอกถองฝ่ามือของเติ้งเหลียง เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้ว หนังหน้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เอาล่ะ ได้ช่วยเจ้าจองเหล้าหมักร้อยบุปผาไว้สองกาแล้ว รอให้ในอนาคตข้าไปเยือนธวัลทวีปค่อยส่งไปให้ภูเขาจิ่วตูในนามของเจ้า”

เติ้งเหลียงเข้ามาอยู่ในนครบินทะยานในรัชศกเจียชุนที่หก ช้ากว่าเจิ้งต้าเฟิงประมาณหนึ่งปี

ของขวัญพบหน้าที่เติ้งเหลียงมอบให้นครบินทะยาน ไม่เบา เขานำทรัพยากรล้ำค่าที่มีเฉพาะของภูเขาจิ่วตูมามากมาย เหล้าสุ้ยตั้นที่หมักด้วยวิธีลับหกสิบไห ยันต์ไล่ผีสามร้อยแผ่นที่ถูกขนานนามว่าเป็นเอ็นเขียวหนังสือทอง รวมไปถึงข้าวตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าข้าวจ้งซือที่หนักแปดร้อยจิน ในสายตาของเฉินผิงอัน หากจะบอกว่าเหล้าหมักและยันต์ถือเป็นการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร ทว่าเมล็ดพันธ์ข้าวเหล่านั้นกลับเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ในอาณาเขตภูเขาจื่อฝู่และนครอู่ขุยก็เริ่มมีการปลูกข้าวตระกูลเซียนชนิดนี้อย่างแพร่หลายแล้ว

ความคิดมากมาย สอดคล้องตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือตอนนี้นครบินทะยานมุ่งมั่นในการขยับขยายอาณาเขตอย่างเดียว คำแนะนำบางอย่างของเติ้งเหลียงที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ใช่ว่าทางฝั่งศาลบรรพจารย์จะไม่รับฟัง ทว่าได้แต่วางพักไว้ก่อนชั่วคราว หรือควรจะพูดว่าไม่เห็นความสำคัญมากพอ

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องที่จำเป็นต้องทำ รวมไปถึงเรื่องข้างมือที่ทำได้มีมากเกินไปจริงๆ ซับซ้อนวุ่นวายไปหมด

อันที่จริงผู้ฝึกตนสามสายของนครบินทะยานถือว่าทำดีมากแล้ว

ปฏิเสธคำเชิญของเติ้งเหลียงอย่างละมุนละม่อม ไม่ได้ไปจิบเหล้าสักจอกสองจอกที่จวนของเขา ตอนนี้เติ้งเหลียงก็รับลูกศิษย์เข้าสำนักสองคนและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่ออีกกลุ่มหนึ่ง ถือว่าตั้งใจจะสร้างสำนักเบื้องล่างให้กับภูเขาจิ่วตูอยู่ที่นี่แล้ว

ทะยานลมออกไปจากภูเขาจื่อฝู่ ระหว่างทางหนิงเหยาใช้เสียงในใจพูดคุยกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็ให้เสี่ยวโม่ไปที่นครบินทะยานก่อนทันที จากนั้นเขาเรียกนกในกรงออกมา

หนิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างออก ปลดกล่องกระบี่ลง มอบให้เฉินผิงอันทั้งหมด คล้ายกับเป็นเอกสารผ่านด่านที่พิเศษอย่างหนึ่ง ช่วยให้เฉินผิงอันเข้าไปในนครบินทะยานได้

เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าตาลายไปวูบหนึ่ง หนิงเหยาก็สวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่หอภูษาในอดีตสร้างขึ้นลงบนร่างเรียบร้อยแล้ว

หนิงเหยาเอ่ย “อย่าได้ถ่วงเวลาการฝึกตน”

เฉินผิงอันยิ้มพลางสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ กอดกล่องกระบี่ไว้ในอ้อมอก

หนิงเหยาเอ่ย “ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้านะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!