นอกจากนี้กังวลว่าจะถูกถามกระบี่ ตัดขาดเส้นทางการเงิน พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลบางแห่งที่อาณาบริเวณดีที่สุดและเหมาะแก่การฝึกตนที่สุดต่างก็ถูกสำนักฉงหลินนำไปมอบให้กับเซียนซือเฒ่าบางส่วนเปล่าๆ ดังนั้นบนภูเขาจึงมักจะมีเทพเซียนผู้เฒ่าหลายคนที่ไปนั่งพิทักษ์จวนแห่งต่างๆ เป็นประจำ แค่ว่าระหว่างการฝึกตน บางทีอาจจะสิบปี หรืออย่างมากสุดยี่สิบปี พวกเขาแค่ต้องคอยช่วยสกัดขวางการถามกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุก็พอ
โหลวเหมี่ยวแห่งสำนักฉงหลิน หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน หยวนยางแห่งศาลเอ้อหลาง ขอบเขตหยกดิบทั้งสามคนนี้ของอุตรกุรุทวีป สามารถต่อสู้กับเซียนเหรินแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้อย่างสบายๆ
นี่คือเรื่องที่ ‘คนทั้งทวีปเห็นพ้องต้องกัน’
ว่ากันว่าแรกเริ่มสุดเป็นเจียงซ่างเจินที่เสนอมา เพียงไม่นานก็แพร่ไปทั่วทั้งอุตรกุรุทวีป หาได้ยากที่เจ้าโจรสุนัขเจียงจะพูดภาษาคน
หลิวจิ่งหลงเอ่ย “เรื่องของการถามกระบี่ คนไม่ต้องมาก จื้อชิง เซียนกระบี่หรง บวกกับข้าก็พอแล้ว พวกเจ้าที่เหลือก็อยู่ที่ท่าเรือถงเฉียนของสำนักฉงหลินนี่แล้วกัน ไม่ต้องติดตามข้าขึ้นเขา”
ป๋ายโส่วกลอกตามองบน “รังเกียจที่พวกเราขอบเขตต่ำจะเป็นตัวถ่วงก็พูดมาตามตรงเถอะ”
หลิ่วจื้อชิงเริ่มดื่มเหล้ากับหรงช่างแล้ว หลิวจิ่งหลงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น คงเป็นเพราะดูแคลนความสามารถในการดื่มของพวกเขาสองคนกระมัง
ถึงอย่างไรความสามารถในการดื่มของเจ้าสำนักหลิวก็ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง อย่าว่าแต่อุตรกุรุทวีปในทุกวันนี้เลย ต่อให้เป็นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้
สำหรับเรื่องนี้หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ผู้เฒ่าหวังฟู่ซู่ และยังมีสวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ ทุกคนล้วนมีส่วน ล้วนมีคุณความชอบ
ส่วนตัวการสำคัญผู้นั้น ทุกวันนี้ยังง่วนอยู่กับการก่อตั้งสำนักที่ใบถงทวีปอยู่เลยนะ
เฉินหลี่ลังเลอยู่เล็กน้อย
หลิวจิ่งหลงยิ้มถาม “เฉินหลี่ มีข้อเสนออะไรหรือ?”
เฉินหลี่ยิ้มอย่างเขินอาย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอพูดสักสองสามประโยคแล้วกัน”
เฉินหลี่โบกชายแขนเสื้อ ไอน้ำแผ่อวลขมุกขมัว สุดท้ายก็มีภาพแผนที่อาณาเขตของสำนักฉงหลินปรากฏขึ้นมา เขาชี้ไปที่กึ่งกลางภูเขาของภูเขาบรรพบุรุษ “เจ้าสำนักหลิว ข้ามีการคาดเดาอย่างหนึ่ง ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักฉงหลินลูกนี้ นับตั้งแต่ศาลาเฉวียนหย่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาเป็นต้นไป ข้าคิดว่าน่าจะเป็นค่ายกลลวงตาแห่งหนึ่ง เส้นทางงูขาวที่อยู่ใกล้กับศาลบรรพจารย์เส้นนี้ก็คือค่ายกลขุนเขาสายน้ำอีกแห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้การถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นในแต่ละรุ่น มองดูเหมือนสามารถฝ่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำไปได้ ทว่าต่อให้แสงกระบี่หล่นลงบนศาลบรรพจารย์ได้สำเร็จ สุดท้ายหนึ่งกระบี่ปั่นทำลายศาลบรรพจารย์ แต่แท้จริงแล้วกลับตกลงบนความว่างเปล่าทั้งสิ้น”
“สำนักฉงหลินถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ‘ค่ายกลกระดาษเปียก ศาลบรรพจารย์น้ำไหล’ อย่างไรล่ะ ส่วนใหญ่ไม่ถึงสองเดือน สำนักฉงหลินก็สามารถสร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นมาได้ใหม่ ตามความเห็นข้า ไม่ใช่เป็นเพราะสำนักฉงหลินมีมาดของคนรวย ฝีมือเชี่ยวชาญอะไรอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกัน แน่นอนว่าสำนักฉงหลินต้องไม่ขาดเงินส่วนนี้ ทำได้น่ะได้อยู่ แต่การทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับนิสัยใจคอของผู้ฝึกตนสำนักฉงหลินเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าศาลบรรพจารย์ในสายตาคนนอกก็คือเวทอำพรางตาที่สูงส่งอย่างหนึ่ง ร่างจริงคือสถานที่ประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอย เป็นเหตุให้สิ่งที่ถูกแสงกระบี่ทำลายไปเป็นแค่เปลือกที่ว่างเปล่าเท่านั้น”
“ดังนั้นการถามกระบี่ของพวกเจ้าสำนักหลิว หากแค่ต้องการหน้าตา อย่างมากก็แค่ทำเหมือนในอดีต ไปยืนอยู่บนยอดเขาใกล้เคียงแล้วปล่อยกระบี่ไปทางภูเขาบรรพบุรุษสำนักฉงหลิน ส่งกระบี่ไกลๆ สักสี่ห้าที ก็ถือว่าทำให้สำนักฉงหลินขายหน้าหมดสิ้นได้แล้ว แต่หากอยากถามกระบี่ให้ได้ประโยชน์จริง ไม่เพียงแต่ต้องขึ้นเขา เดินผ่านศาลาเฉวียนหย่ง ยังต้องระวังตราผนึกขุนเขาสายน้ำ หลังจากนั้นเดินไปบนเส้นทางงูขาว ก็คือหลักการเดียวกัน เหมือนอย่างที่อาจารย์ของข้าบอกไว้ แฝงตัวเข้าไปใกล้กับศาลบรรพจารย์ หากจะทำให้ได้ถึงระดับที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น อันที่จริงก็ยากมาก”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ ไม่เสียแรงที่เป็นอิ่นกวานน้อยแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินหลี่พูดถูกถึงเจ็ดแปดส่วน
ลำพังแค่อาศัยแผนที่ที่เอามาประติดประต่อกัน อนุมานได้ข้อสรุปเช่นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว
พอหันไปมองลูกศิษย์ใหญ่ของตนที่กำลังแอบดื่มเหล้า หลิวจิ่งหลงก็รู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ชอบดื่มเหล้าขนาดนี้ พอไปถึงภูเขาเซียนตูก็ควรจะเรียกใครบางคนเป็นพี่เป็นน้องแล้วดื่มร่วมกันดีๆ สักรอบ
เกาโย่วชิงตั้งใจฟังอย่างมาก แม้ว่าเฉินหลี่จะไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้นางเห็น แต่ขอแค่ชินไปแล้วก็ดีเอง อาจารย์บอกแล้วว่าเฉินหลี่เป็นคนหน้าเย็นใจร้อน
ตู้อวี๋ฟังแล้วทอดถอนใจอย่างนับถือ เซียนกระบี่น้อยผู้นี้ มองดูแล้วอายุไม่มาก แต่ประสบการณ์ในยุทธภพกลับโชกโชนนัก
เฉินหลี่ถามหยั่งเชิง “เจ้าสำนักหลิว ข้าขอแอบถามกระบี่กับฟ่านเชี่ยวสักครั้งโดยที่ไม่บอกกล่าวชื่อแซ่ได้หรือไม่?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้า “หลังจากเจ้าถามกระบี่กับฟ่านเชี่ยวแล้ว ข้าสามารถทำให้ข่าวนี้ยังไม่แพร่ไปถึงสำนักฉงหลินในระยะเวลาอันใกล้ หากใช้คำพูดของคนบางคนก็คือเป็นกระบี่ที่จะถามหรือไม่ถามก็ได้…”
เฉินหลี่กระจ่างแจ้งอยู่ในใจทันใด ยิ้มเอ่ยต่อคำว่า “ผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ ถามกระบี่ไปก่อนค่อยว่ากัน!”
หลิวจิ่งหลงเอ่ยเตือน “เงื่อนไขคือตีเสร็จแล้วต้องเผ่นหนีได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือต้องไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ใช่แล้ว อย่าฆ่าคน วันหน้ายังมีโอกาส”
เฉินหลี่เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เข้าใจแล้ว”
หลิวจิ่งหลงพลันยิ้มถาม “เฉินหลี่ หากข้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าถามกระบี่ในใต้หล้าไพศาลกระมัง เลือกถามกระบี่กับฟ่านเชี่ยว ไม่รู้สึกแปลกๆ หรือ?”
เฉินหลี่ส่ายหน้า “มีอะไรให้ต้องรู้สึกแปลกล่ะ ขอแค่ขอบเขตข้าไม่สูงกว่าอีกฝ่าย ถามกระบี่กับใครก็คือถามกระบี่ไม่ใช่หรือ”
ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรายังสวมชุดกระโปรงของสตรีไปเข่นฆ่าในสนามรบได้เลย เรือนกายอรชนอ้อนแอ้น กรีดนิ้วกรุยกราย ยามตวาดเสียงยังหวานแหลม ไม่เห็นเขาจะรู้สึกแปลกบ้างเลย
พอคิดถึงเรื่องนี้ เฉินหลี่ก็รู้สึกว่าใต้เท้าอิ่นกวานช่างสมกับเป็นภูเขาสูงที่ต้องให้คนแหงนหน้ามองจริงๆ ชั่วชีวิตนี้ยากที่เขาจะไล่ทัน หวังเพียงว่าระหว่างทางที่เดินขึ้นเขาตนจะพอมองเห็นแผ่นหลังชุดเขียวของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเลือนรางบ้างก็พอ
เฉินหลี่พลันหลับตาหลง เรียกกระบี่บินออกมา เพียงแต่ว่าแค่ให้มันว่ายวนอยู่ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่ใกล้เคียงแห่งหนึ่งเท่านั้น ดวงจิตเมล็ดงาของเฉินหลี่จมจ่อมอยู่ภายใน
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินหลี่ลืมตาขึ้น การถามกระบี่เสร็จสิ้น
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘อู้เม่ย’ ยามตื่นคืออู้ (ตื่นนอน) ยามฝันคือเม่ย (นอนหลับ)
เฉินหลี่ไม่ได้ลงมืออำมหิตทิ่มร่างของฟ่านเชี่ยวให้เป็นรูสี่ห้ารู เพราะการหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ของเขาอยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่า ‘สำเร็จ’ อีกมากนัก
คืนหนึ่งหลังจากนั้น ฟ่านเชี่ยวก็ถูกถามกระบี่อีกรอบ
ล้วนเป็นเหมือนกันคือแค่ตาพร่าไปทีเดียวก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งใบหน้าและเรือนกายล้วนล่องลอย อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ตรงหน้าตนอย่างไม่มีลางบอกกล่าว จากนั้นแทงกระบี่ใส่เขาสองสามทีโดยทีฟ่านเชี่ยวไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน
ส่วนผู้ปกป้องมรรคาที่เป็นก่อกำเนิดเฒ่าคนนั้นก็ถึงกับมองไม่เห็นผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเลยแม้แต่น้อย
ไม่พูดถึงฟ่านเชี่ยว แม้กระทั่งก่อกำเนิดเฒ่าก็ยังตกใจจนขวัญแทบกระเจิง
สรุปแล้วเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนใดที่เป็นศัตรูกับสำนักฉงหลินกันแน่ ถึงได้เป็นเหมือนวิญญาณร้ายตามติดคอยตามตอแยผู้เยาว์โอสถทองคนหนึ่งอย่างไม่ยอมเลิกราเช่นนี้?!
ส่วนกระบี่บินแจ้งข่าวสองเล่มที่พรรคโม่หลงทยอยส่งไปให้สำนักฉงหลินนั้น ต่างก็ผลุบหายเข้ามาในชายแขนเสื้อของหลิวจิ่งหลงอย่างเงียบเชียบ จะส่งไปถึงภูเขาบรรพบุรุษของสำนักฉงหลินช้าสักหน่อย
หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางไปที่สำนักฉงหลิน
พวกเฉินหลี่อยู่ต่อที่ท่าเรือถงเฉียน
หลิวจิ่งหลงสามคนไปที่ภูเขาบรรพบุรุษสำนักฉงหลิน คนต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยว จำเป็นต้องหยุดเท้าอยู่ที่ศาลาเฉวียนหย่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
แต่อันที่จริงการเดินขึ้นเขาก็คือความรู้อย่างหนึ่ง
เนื่องจากหลิ่วจื้อชิงและหรงช่างต่างก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำขมุกขมัวที่การมองเห็นพร่าเลือน ราวกับว่ามีคนอีกสามคนเดินอยู่บนเส้นทางด้านข้าง พวกเขาทั้งสามคนยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจาก ‘ตัวเอง’
สำนักฉงหลินตัวดี ถึงกับแทบจะทุ่มเงินจนสร้างภูเขาบรรพบุรุษสองแห่งที่เป็นภาพมายาซึ่งใกล้เคียงกันอย่างถึงที่สุดขึ้นมาได้เลย
บนเส้นทางเทพขึ้นเขาของภูเขาบรรพบุรุษที่แท้จริง หลิวจิ่งหลงที่ถือยันต์อยู่ในมือเปิดทางให้ก่อน อีกทั้งทุกก้าวที่เดินล้วนต้องวาดยันต์ หลิ่วจื้อชิงและหรงช่างจึงคล้ายว่าเดินอยู่ท่ามกลางค่ายกลยันต์แห่งหนึ่ง
หลิวจิ่งหลงเพียงแค่หยุดเท้าอยู่ที่ศาลาเฉวียนหย่งและเส้นทางงูขาวแค่ครู่เดียว เพียงไม่นานก็พาคนทั้งสอง ‘เดินเล่น’ กันไปต่อ
เพียงครู่เดียวคนทั้งกลุ่มก็ไปถึงด้านนอกศาลบรรพจารย์แห่งนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!