เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้นรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินเป็นลูกกลมลูกหนึ่ง ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งมาทำเป็นเชือก ยกขึ้นสูง จากนั้นใช้มือซ้ายผลักลูกกลมเบาๆ
ลูกกลมส่ายโยนไปตามแรงผลัก เฉินผิงอันมองไปยังสองทิศทางที่ลูกกลมโยกไปครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ศิษย์พี่ชุยฉานผู้นั้นของข้าเคยเป็นอาจารย์ของโอรสสวรรค์ในทุกวันนี้ ได้ยินมาว่าปีนั้นเขาเคยให้ซ่งเหอที่ตอนนั้นยังเป็นองค์ชาย ได้เห็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่องสองเรื่อง”
“หนึ่งคือเขตการปกครองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายแดน หนึ่งคือสถานที่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง เกิดเรื่องน่าอายที่ไม่เล็กเหมือนกันทั้งสองสถานที่ วิธีจัดการของฝ่ายแรก อำมหิตอย่างถึงที่สุด ชาวประชาแค้นเคือง แค่ใช้กำลังสยบกำราบเอาไว้เท่านั้น สุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่ราชการไม่ถามหาประชาชนไม่กล่าวถึง ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงจัดการได้อย่าง…งดงามมาก ไม่มีการปิดบังในส่วนที่ควรบอกกล่าวจริงๆ ทั้งฎีกาลับ เอกสารราชการ รายงานข่าว พอเรื่องนี้เกิดขึ้นก็มีการจัดการอย่างเหมาะสม มองดูเหมือนรอบคอบจนน้ำสักหยดก็เล็ดลอดออกมาไม่ได้ ทั้งไม่ได้ปิดบัง แล้วก็ไม่ได้กดเอาไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนว่าจะบอกกล่าวความจริงให้ผู้คนรับรู้ ดูเหมือนจะกระจ่างชัดเจนทุกอย่าง”
“แต่อันที่จริงแล้วในเรื่องนี้เป็นเพราะที่ว่าการในท้องถิ่นรู้กัน จึงสามารถจัดการกันเองให้เรียบร้อยได้ในเบื้องหลัง ต่อให้กรมอาญาของราชสำนักต้าหลีสืบสาวราวเรื่องก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความผิดอะไรให้คิดบัญชีย้อนหลัง เนื่องจากไม่มีใครที่ละโมบติดสินบน แล้วก็ไม่มีใครบกพร่องต่อหน้าที่ อีกทั้งสำหรับชาวบ้านในเขตการปกครองแห่งนั้นแล้ว สภาพจิตใจของชาวบ้านดีมาก รู้สึกแค่ว่าทางการจัดการได้อย่างเหมาะสม ทำอะไรรวดเร็วฉับไว ทำให้คนรู้สึกสาแก่ใจ แต่ใต้หล้านี้ไม่มีกระดาษที่ห่อไฟได้มิด ขอแค่เรื่องราวถูกเปิดโปงก็มีแต่จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คิดอยากจะทำให้เรื่องราวนี้ไม่ถึงขั้นเละเทะจนแก้ไขไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการที่ใหญ่ยิ่งกว่าสยบกำราบลงไป จำเป็นต้องปิดบังให้ได้ดียิ่งกว่าเดิม”
เกาเหย่โหวถาม “กังวลว่าการกระทำของผู้ฝึกกระบี่มากมายของนครบินทะยานในอนาคตจะเปลี่ยนจากสุดโต่งด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ค่อยๆ กลายมาเป็นเหมือนขุนนางในเมืองหลวงต้าหลี ชำนาญในการทำเรื่องต่างๆ รอบคอบรัดกุม ฝึกกระบี่วางตัวอยู่ร่วมสังคม แต่ทำเรื่องต่างๆ เหมือนคนเป็นขุนนาง…ยิ่งนานวันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก?”
“ไม่ต้องให้ข้าเป็นกังวล”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เพราะต้องเกิดขึ้นแน่นอน”
เกาเหย่โหวบื้อใบ้ไปทันที
เฉินผิงอันสลายลูกกลมลูกนั้นทิ้ง เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างเจอกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลาง ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเจอกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน ผู้ฝึกกระบี่สองขอบเขตอย่างหยกดิบและเซียนเหรินเจอกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน แน่นอนว่าก็ยังมีคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เจอกับผู้ฝึกกระบี่”
“รอกระทั่งที่ว่าการทั้งสามแห่งรวมถึงคฤหาสน์หลบร้อนเป็นหนึ่งในนั้น พวกผู้ฝึกกระบี่มีตำแหน่งขุนนางแล้ว ยิ่งนานวันการแบ่งแยกระดับขั้นจะยิ่งชัดเจน เดินอยู่บนถนนยังจะกล้าทำเหมือนเมื่อก่อนที่เรียกต่งซานเกิง เรียกเฉินซีด้วยการเรียกเจ้าตรงๆ ว่าเกาเหย่โหว เรียกฉีโซ่วอย่างนั้นหรือ?”
“ศัตรูใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายของผู้ฝึกตนก็คือตัวเอง สร้างโอสถทอง บ่มเพาะทารกก่อกำเนิด เผชิญหน้ากับจิตมาร รอกระทั่งเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้วก็ต้อง ‘กลับสู่ธรรมชาติแสวงหาความจริง’ เหน็ดเหนื่อยยากลำบากไปตลอดทาง”
“ศัตรูของนครบินทะยานก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
“แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก ในเมื่อหลบเลี่ยงไม่พ้นก็ต้องเตรียมการไว้เสียแต่เนิ่นๆ อันที่จริงสถานการณ์ของนครบินทะยานดีมาก ปีนั้นข้ากับเซียนกระบี่โฉวเหมียวสองคนเคยทำการอนุมานร่วมกันเป็นการส่วนตัวอย่างคร่าวๆ ตอนนั้นข้าค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย ส่วนเซียนกระบี่โฉวเหมียวกลับมองโลกในแง่ดีมากกว่าหลายส่วน ไม่ต้องพูดถึงข้า หลายปีมานี้การพัฒนาของนครบินทะยานรุดหน้าไปมาก อีกทั้งยังมีระเบียบมีขั้นตอน เหนือเกินกว่าที่เซียนกระบี่โฉวเหมียวคาดการณ์ไว้มาก นี่แสดงให้เห็นว่าฉีโซ่วและเกาเหย่โหวทำได้ดีเพียงใด”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยิ้ม ยิ้มเอ่ย “มีโอกาสพัฒนาได้มาก แล้วก็มีภาระหนักหน่วงต้องฝ่าฟันบนเส้นทางที่ยาวนาน”
แต่เกาเหย่โหวกลับไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงนั่งอยู่บนธรณีประตู เอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวนครบินทะยานจะต้องสร้างสำนักศึกษาแล้ว เจ้าเห็นว่าอย่างไร มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษหรือไม่ ทุกวันนี้สายสิงกวานดูแลเรื่องนี้จึงไม่ค่อยยินดีให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยวด้วยมากนัก ดังนั้นหากเจ้ามีความคิดอะไร ข้าฟังแล้วก็จะได้ไปบอกกล่าวกับทางคฤหาสน์หลบร้อนก่อน รอให้มีการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งหน้า อะไรที่ควรเสนอก็จะเสนอ อะไรที่ควรโต้แย้งก็จะโต้แย้ง ไม่ต้องให้เจ้าออกหน้าเป็นคนเลว”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ย “อันที่จริงข้าไม่มีความคิดอะไรหรอก ฉีโซ่วคนนี้ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวที่เล็กน้อยอะไร ทั้งสายตาและความใจกว้างเขาล้วนมีครบถ้วน”
คนผู้หนึ่งที่สายตายาวไกลย่อมไม่ง่ายที่จะกระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้า
มีความทะเยอทะยาน ปณิธานสูงส่งยาวไกล เดิมทีก็คือคำศัพท์คู่หนึ่งที่มีความหมายใกล้เคียงกันอยู่แล้ว
ดูเหมือนเกาเหย่โหวจะไม่คิดปล่อยเฉินผิงอันไปง่ายๆ จึงถามว่า “เกี่ยวกับคำเรียกขานของสำนักศึกษา และยังมีกรอบป้าย กลอนคู่ จะให้ใครเป็นคนเขียน?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ “ในบรรดาชาวบ้านลี้ภัยของฝูเหยาทวีปไม่ขาดแคลนผู้รอบรู้ด้านการประพันธ์ที่มีความรู้เต็มเปี่ยม น้ำหมึกน้อยนิดในท้องของข้านั้นนำมอบให้กับตราประทับสองเล่มหมดไปนานแล้ว”
เกาเหย่โหวมีชาติกำเนิดจากตลาดระดับล่างสุด นับแต่เด็กมาก็มีชีวิตพึ่งพากันและกันกับน้องสาว เคยทำงานระยะสั้นมามากมาย ไม่ว่าเงินอะไรก็พยายามหามา ครั้งแรกในชีวิตที่ไปถนนไท่เซี่ยงก็คือหลังจากที่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้วไปที่สนามรบ ได้รับความโปรดปรานจากเซียนกระบี่ผู้อาวุโสน่าหลันเซาเหว่ย จากนั้นถูกตระกูลน่าหลันรับตัวเป็นอาจารย์กระบี่ประจำตระกูล ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เกาเหย่โหวก็ได้กลายเป็นลูกเขยของตระกูลน่าหลัน แต่งงานกับสตรีวัยเดียวกันผู้เพียบพร้อมด้วยศีลธรรมอันงาม นางเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทั้งรูปโฉมและคุณสมบัติของสตรีล้วนธรรมดาอย่างมาก อันที่จริงแรกเริ่มน่าหลันเซาเหว่ยอยากจะให้เกาเหย่โหวแต่งงานกับคนอีกผู้หนึ่ง แต่เกาเหย่โหวกลับไม่ตอบตกลง
นครบินทะยานและนครใต้อาณัติสี่แห่งที่อยู่รอบด้านต่างก็สร้างโรงเรียนขึ้นมา ช่วงเวลาอันใกล้นี้ก็มีการเตรียมการสร้างสำนักศึกษา
การเล่าเรียนรู้จักตัวอักษรของพวกเด็กๆ นอกจากตำรา ‘พจนานุกรมอธิบายตัวอักษร’ ที่คฤหาสน์หลบร้อนแนะนำอย่างเต็มที่ในช่วงแรกเริ่มสุดแล้ว แหล่งที่มาของตัวอักษรส่วนใหญ่ล้วนมาจากป้ายศิลาที่กระจายอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ของนครบินทะยาน ไม่ได้มาจากตำราชั้นประถมที่ใช้กันทั่วเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล
ป้ายหินเก่าแก่ที่ในอดีตใครก็ไม่เห็นเป็นสำคัญ ทุกวันนี้ต่างก็ถูกรวบรวมและย้ายมาไว้ในโรงเรียนทั้งหลาย ราวกับมีป่าป้ายศิลาขนาดเล็กปรากฎขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่า
ป้ายศิลาและหินแกะสลักบันทึกเรื่องราวหลายแห่งตัวอักษรหลุดลอกเซาะกร่อน ยากจะแยกแยะ บ้างก็เป็นอักษรแบบหวัดบ้างก็เป็นอักษรแบบบรรจง ตัวอักษรล้วนแข็งแกร่ง แสดงให้เห็นถึงพละกำลังยามตวัดพู่กัน เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากตัวอักษรในโลกยุคหลังอย่างสิ้นเชิง
หินหลายก้อนหร็อมแหร็มบางตา ตัวอักษรโบราณเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หากไม่เป็นคนที่ว่างงาน ใครเล่าจะยินดีมาอ่านมัน
ในโรงเรียนเด็กเล็กนอกจากพวกอาจารย์ที่รู้จักตัวอักษรแล้ว ยังมีวิชาคำนวณและวิชาภูมิศาสตร์อีกสองวิชาที่พวกเด็กๆ ต้องเรียนและต้องสอบ อย่างหลังมีคฤหาสน์หลบร้อนและสายสิงกวานร่วมแรงกันเรียบเรียงเป็นรูปเล่ม แนะนำขุนเขาสายน้ำและผลผลิตในแต่ละพื้นที่ของใต้หล้าสี
ส่วน ‘พจนานุกรมอธิบายตัวอักษร’ เล่มนั้น ผู้ที่เรียบเรียงคืออาจารย์สวี่ที่ถูกใต้หล้าไพศาลขนานนามให้เป็น ‘จื้อเซิ่ง (อริยะด้านตัวอักษร) แห่งเส้าหลิง’
นอกจากนี้ตำราของสามลัทธิก็เห็นได้ชัดว่าคฤหาสน์หลบร้อนคัดเลือกมาอย่างรอบคอบระมัดระวังยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นตำราของลัทธิขงจื๊อมีแค่เล่มเดียวคือ ‘หลี่จี้’
ส่วน ‘เชวี่ยนเซวี๋ย’ ที่ถือว่าเลือกมาโดยเฉพาะก็ไม่ใช่เพราะเป็นหนังสือของซิ่วไฉเฒ่าอาจารย์ของอิ่นกวาน คฤหาสน์หลบร้อนถึงได้ทำการแนะนำความรู้ตำราของสายเหวินเซิ่งอย่างกว้างขวาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!