อ่านสรุป บทที่ 915.3 โต๊ะตัวหนึ่ง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 915.3 โต๊ะตัวหนึ่ง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
แน่นอนว่าเฉินผิงอันก็อยากรู้มาก ดังนั้นมีครั้งหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาเป็นแขกที่คฤหาสน์หลบร้อน เขาจึงถามคำถามข้อนี้ เดิมทีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่เคยเข้าร่วมกับการจัดอันดับรายชื่อที่ไม่สลักสำคัญอะไรพวกนี้ คงเพราะรู้สึกว่าอิ่นกวานคนใหม่ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก จึงยอมแหกกฎให้คำตอบที่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบ พลังพิฆาตคือต่งซานเกิงที่ใหญ่ที่สุด กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือเซียวสวิ้นที่มีมากสุดดีสุด เวทกระบี่คือฉีถิงจี้ที่สูงที่สุด คุณสมบัติบนวิถีกระบี่คือเฉินซีที่เป็นอันดับหนึ่ง ต่งซานเกิงแพ้ที่ตอนเป็นหนุ่มเคยบาดเจ็บสาหัสเกินไป เซียวสวิ้นแพ้ที่จิตใจไม่มั่นคง ฉีถิงจี้แพ้ที่ไม่บริสุทธิ์มากพอ เฉินซีแพ้ที่เรือนกายอ่อนแอทั้งจิตใจยังสูงส่งเกินไป
เฉินจีที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม
ไม่รอให้เฉินผิงอันคารวะ เฉินจีก็โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องพิพักพิพ่วนกัน”
สาวใช้คนนั้นกุมหมัดเอ่ย “เฉินฮุ่ยคารวะใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ้มกุมหมัดกลับคืน “ยินดีกับแม่นางเฉินด้วยที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ”
หากไม่เป็นเพราะสถานะและขอบเขตของเฉินฮุ่ยในทุกวันนี้ไม่สะดวกจะแพร่งพรายออกไป สวนดอกเหมยที่อยู่นอกนครบินทะยานแห่งนั้นก็จะต้องตกเป็นเรือนส่วนตัวเซียนกระบี่ของนางแล้ว
ในห้องมีสองคนนั่งสองคนยืน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนำ “โม่เซิง ฉายาสี่จู๋ เรียกเขาว่าเสี่ยวโม่ก็แล้วกัน คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลับสนิทอยู่ในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่มานานหลายปี เคยถามกระบี่กับหยวนเซียง แล้วก็เคยฟันหย่างจื่อและจูเยี่ยน”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ โม่เซิงเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ต่อให้เฉินฮุ่ยจะมีจิตแห่งมรรคามั่นคงหนักแน่น เวลานี้ก็ยังยากจะปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้ได้
แล้วก็เพราะว่าเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของอิ่นกวานหนุ่ม ไม่อย่างนั้นนางจะคิดแค่ว่าเป็นเรื่องขบขันเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลคนหนึ่งที่มีอายุยาวนานถึงหมื่นปีแล้ว? เป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกหลงจวิน กวานจ้าว หยวนเซียง?
เสี่ยวโม่ประสานมือคารวะ “เสี่ยวโม่คารวะเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเฉิน”
เฉินจีเองก็ตกตะลึงไม่น้อย ลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้ฝึกกระบี่เฉินซีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเกียรติที่ได้พบ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นพร้อมกับเฉินจีก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
เฉินจีถาม “ต้องการให้ข้าช่วยหาวิธีให้เจ้าเข้าประชุมในศาลบรรพจารย์หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ครั้งนี้ช่างเถิด”
เฉินจีเองก็ไม่บังคับ เพียงยิ้มถามว่า “ไม่จัดงานเลี้ยงสุราหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ฉุกละหุกไปหน่อย คราวหน้ากลับมาที่นี่ต้องจัดงานเลี้ยงสุราแน่นอน”
เฉินจีไม่เห็นเป็นสำคัญ “ฉุกละหุก? ฉุกละหุกอะไร เรื่องแบบนี้คงไม่ควรให้หนิงเหยาเปิดปากพูดเองกระมัง ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ข้าล่ะแปลกใจนัก เจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นคนขี้ขลาดนี่นา ทำไมถึงเว้นเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่อืดอาดชักช้าเช่นนี้ อีกอย่าง ต่อให้ไม่จัดงานเลี้ยงสุราก็ไม่รู้จักทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันฟังด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสจึงไม่สะดวกจะเอ่ยอะไร
เฉินจีส่ายหน้า เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก คำพูดที่อาศัยความอาวุโส พูดมากไปก็ง่ายที่จะทำให้คนรังเกียจ เพียงแค่ถามเฉินผิงอันถึงสถานการณ์ล่าสุดของเฉินซานชิว ฟังขั้นตอนการออกหาประสบการณ์คร่าวๆ ของเฉินซานชิว เห็นได้ชัดว่าเฉินจีไม่ค่อยพึงพอใจนัก ให้คำวิจารณ์ประโยคหนึ่งว่าเหยียบเปลือกแตงโม จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์การฝึกตนของพวกเด็กรุ่นเยาว์สองรุ่นที่ออกไปจากบ้านเกิดอย่างต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋วและเฉินหลี่ เกาโย่วชิง กลับเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้เฉินจีพอใจอย่างมาก
เฉินจีถาม “สำนักกระบี่หลงเซี่ยงของฉีถิงจี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับผู้ฝึกกระบี่สิบกว่าคนมาเป็นลูกศิษย์ ทุกวันนี้เจ้าสำนักฉีรับหน้าที่เฝ้าท่าเรือแห่งหนึ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
“ลำบากเขาแล้ว”
เฉินจีเอ่ยเย้ยหยัน “ล้วนเปลี่ยนแปลงกันไปได้จริงๆ”
เฉินจีพลันเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าฉีโซ่วรับหน้าที่เป็นเจ้านคร เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “สามารถลองดูไปสักสองสามปีก่อนได้ จะดีจะชั่วฉีโซ่วก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินแล้ว อันที่จริงเหมาะหรือไม่เหมาะยังต้องเป็นฉีโซ่วที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เฉินจีพยักหน้า ถือว่ายอมรับคำกล่าวนี้ของอิ่นกวานหนุ่มแล้ว
ทว่าผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานในทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่า คนสองคนที่หวังอยากให้ฉีโซ่วรับตำแหน่งเจ้านครอีกทั้งยังเป็นเจ้านครที่ดีมากที่สุดก็คือคนสองคนในห้องนี้
เฉินผิงอันหวังให้ฉีโซ่วนั่งตำแหน่งเก้าอี้อันดับหนึ่งที่เว้นว่างไว้ชั่วคราวนั้นให้มั่นคง ขอแค่ฉีโซ่วสามารถสยบใจคนได้อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นหนิงเหยาก็ไม่ต้องเสียสมาธิอีก
เฉินจีนั้นเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ใคร่อยากจะเป็นเจ้านครอะไรนั่น ความคิดจิตใจที่มากกว่านั้นในทุกวันนี้ยังต้องอยู่ที่ว่าจะสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นจากขอบเขตการฝึกตนของชาติที่แล้วได้หรือไม่
แต่การที่เฉินจีรับหน้าที่เป็นเจ้านคร เคยเป็นการจัดการด้วยตัวเองของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส คนที่รู้เรื่องนี้นอกจากตัวของเฉินจีเองแล้วก็มีแค่อิ่นกวานหนุ่มเท่านั้น
เฉินจียังกลัวจริงๆ ว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันจะไร้คุณธรรม เพื่อให้หนิงเหยาสบายมากขึ้นสักหน่อย วันใดวันหนึ่งในศาลบรรพจารย์อาจจะยกเอา ‘โองการฉบับนี้’ ออกมาต่อหน้าทุกคน
เฉินจีถามอีก “ผู้ถวายงานและเค่อชิงของนครบินทะยานในวันหน้า จำเป็นต้องกำหนดจำนวนที่แน่นอนหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “หากตามความเห็นของข้า ทางที่ดีที่สุดจำนวนคนไม่ควรเกินสามส่วนของศาลบรรพจารย์”
เฉินจีถาม “วันหน้าเติ้งเหลียงหลุดพ้นไปจากนครบินทะยาน สำนักเบื้องล่างของภูเขาจิ่วตูที่เขาสร้างขึ้น นครบินทะยานของพวกเราควรจะต้องดีมาดีตอบ จัดหาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งให้สักคนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องจับตามอง จุดประสงค์ชัดเจนเกินไป จะกลายเป็นเส้นสายแฝงที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายรายล้อม หากแตกกิ่งก้านสาขาออกไปก็จะเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้สำนักเบื้องล่างของเติ้งเหลียงแตกแยกกับนครบินทะยาน”
เฉินจียิ้มเอ่ย “ข้ากลับรู้สึกว่าทำให้ชัดเจนน่าจะดีกว่าหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้โลภมากลาภหาย นครบินทะยานไม่มีเวลามาคอยปลอบใจคน ปัญหาบางอย่างก็ขาดแค่การตีกระทบจึงปรากฏขึ้นมา”
เฉินผิงอันยิ้มน้อยๆ “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สถานการณ์เร่งด่วน ถ้าอย่างนั้นก็เอาไว้ค่อยประชุมกันอีกทีดีไหม?”
เฉินจีพยักหน้า “ได้สิ”
เจิ้งต้าเฟิงวางกาเหล้าและห่อกระดาษน้ำมันในมือลง ยกฝ่ามือขึ้นโบก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ตบะยังห่างชั้นกันไกลนัก”
หันไปมองเสี่ยวโม่ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เสี่ยวโม่ พวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานหลายปี ไม่ดื่มสักหน่อยหรือ?”
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะเอ่ยสัพยอกสักสองสามคำ เพียงแต่พอคิดอีกที สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นปั้นยาก อดกลั้นคำพูดที่วิ่งมารอตรงปากเอาไว้ได้
เสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืน หยิบกาเหล้าขึ้นมา รินเหล้าให้เจิ้งต้าเฟิงและตัวเองคนละหนึ่งชาม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จากลากันนานหลายปีจริงๆ”
เพราะเมื่อครู่ตอนที่อยู่หน้าประตู เสี่ยวโม่มองแค่แวบเดียวก็จำสถานะสองอย่างของเจิ้งต้าเฟิงได้ นอกจากจะเป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ก่อนหน้านั้นเมื่อนานมากมาแล้วเขายังเป็นคนเฝ้าประตูของสถานที่บางแห่งด้วย
แต่ว่า ‘เจิ้งต้าเฟิง’ ในเวลานั้นรูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกองอาจสง่างาม บนร่างสวม ‘เกราะต้าซวง’
เจิ้งต้าเฟิงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่งยาว ถามว่า “ไปเยือนคฤหาสน์หลบหนาวมาแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีใครขี้เกียจ”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที “ไม่เลวก็คือไม่เลว แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่แค่คำว่าไม่เลวแล้ว ยุ่งยากมาก เด็กกลุ่มนี้เหมือนถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่กดเอาไว้ตลอดเวลา ปณิธานหมัดจึงไม่เคยกลายเป็นของจริงได้ ต่อให้เป็นเจียงอวิ๋นที่คุณสมบัติดีที่สุดก็ยังรู้สึกว่ายามที่ตัวเองเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่แล้วจะต่ำต้อยกว่าหนึ่งระดับ ความคิดเช่นนี้ หากไม่หายไปวันหนึ่งก็จะกลายมาเป็นคอขวดที่มองไม่เห็นโดยตลอด เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ ทั้งๆ ที่มีคอขวดนี้อยู่ แต่กลับไม่ขัดต่อการฝ่าทะลุขอบเขต นี่ก็คือหลักการเหตุผลที่ยากจะอธิบายอย่างมากแล้ว ข้าที่เป็นอาจารย์สอนหมัดคงไม่อาจกดหัวของพวกเขาให้พวกเขาไปถามหมัดแลกชีวิตกับพวกผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันที่สายตาสูงมองไม่เห็นหัวใครได้หรอกกระมัง”
อันที่จริงหากเปลี่ยนเป็นเฉินผิงอัน ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่เคยได้เจอกับชุยเฉิง ไม่เคยซ้อมหมัดที่เรือนไม้ไผ่ ก็ยากจะข้ามผ่านปราการนั้นไปได้เช่นกัน
แต่เมื่อตอนกลางวันที่อยู่ในคฤหาสน์หลบหนาว เฉินผิงอันพอใจพวกผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์เหล่านั้นมากจริงๆ เป็นการยอมรับที่มาจากใจจริงอย่างหนึ่ง ว่ากันในระดับใหญ่แล้ว เฉินผิงอันคล้ายมองเห็นตัวเองในอดีตจากบนร่างของพวกเจียงอวิ๋นและหยวนจ้าวฮว่า
นี่ก็เหมือนผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ขอบเขตสูงมากพอมองเห็นผู้เยาว์คนหนึ่งที่คุณสมบัติแค่พอถูไถ แม้ว่าฝ่ายหลังจะไม่เคยเอ่ยถ้อยคำห้าวเหิม แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนท่องประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาตลอดเวลา
ข้าจะต้องกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้จงได้ ใช่หรือไม่?
เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘คำพูด’ แบบนี้งดงามชวนให้คนประทับใจมากจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็ตัวสั่นเยือก ถอนหายใจ เอ่ยเนิบช้าว่า “หากว่าไปอยู่ในใต้หล้าไพศาล นอกจากเจียงอวิ๋นที่อาจจะโชคดีได้รับการประทานโชคชะตาบู๊ครั้งหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทุกคนก็อย่าได้หวังอีกเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล รอให้พวกเจียงอวิ๋นต่างก็เลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองกันแล้ว ท่านก็ทุ่มเทความคิดจิตใจสักหน่อย รากฐานพวกเขาก็ยังจะต้องดีมากเหมือนเดิม”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “ไม่สู้หาผู้ฝึกกระบี่สักกลุ่มมาแสดงละคร ให้สร้างความขัดแย้งภายในระหว่างผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักครั้งดีไหม? ทั้งสองฝ่ายผลัดกันเฝ้าด่านผ่านด่าน ต่อสู้กันอย่างจริงจังสักครั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สำหรับพวกเจียงอวิ๋นแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ข้าก็แค่อาจารย์สอนหมัดที่รับเงินเดือนก้อนหนึ่งทุกเดือนเท่านั้น แม้แต่ขุนนางตำแหน่งเมล็ดงาก็ยังนับไม่ได้ ไม่มีความสามารถมากมายเช่นนั้น ต้องให้ผู้ดูแลภูเขาสองลูกอย่างสายอิ่นกวานหรือไม่ก็สายสิงกวานควบคุมแรงไฟให้ดี เลือกผู้ฝึกกระบี่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตที่เหมาะสมหรือนิสัยใจคอก็ล้วนต้องมีข้อเรียกร้อง ไม่อย่างนั้นเรื่องประเภทนี้ ฝ่ายหนึ่งถามหมัด ฝ่ายหนึ่งถามกระบี่ พวกลูกรักของนครบินทะยานเหล่านั้น หากตีกันจนเลือดร้อนขึ้นมาก็คงไม่สนใจอะไรอีก คิดจะเอาเป็นเอาตายกับพวกเจียงอวิ๋นก็ไม่เพียงแต่ทำลายความรู้สึกกัน กลัวก็แต่ว่าใครจะได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดเจ็บไปถึงรากฐานมหามรรคา ยิ่งกลัวว่ากระตุกผมเส้นเดียวจะสะเทือนไปทั้งร่าง ทำลายสมดุลอันลุ่มลึกของภูเขาสามลูกแห่งนครบินทะยานขึ้นมา”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ท่านไม่เหมาะจะออกหน้าทำเรื่องนี้จริงๆ”
เจิ้งต้าเฟิงพูดกลั้วหัวเราะ “นี่เรียกว่าเจียงซ่างเจินส่องกระจก” (มาจากประโยคจูปาเจี้ยหรือตือโป้ยก่ายส่องกระจก ข้างนอกข้างในไม่ใช่คน)
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!