แน่นอนว่าเฉินผิงอันก็อยากรู้มาก ดังนั้นมีครั้งหนึ่งที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาเป็นแขกที่คฤหาสน์หลบร้อน เขาจึงถามคำถามข้อนี้ เดิมทีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่เคยเข้าร่วมกับการจัดอันดับรายชื่อที่ไม่สลักสำคัญอะไรพวกนี้ คงเพราะรู้สึกว่าอิ่นกวานคนใหม่ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก จึงยอมแหกกฎให้คำตอบที่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบ พลังพิฆาตคือต่งซานเกิงที่ใหญ่ที่สุด กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือเซียวสวิ้นที่มีมากสุดดีสุด เวทกระบี่คือฉีถิงจี้ที่สูงที่สุด คุณสมบัติบนวิถีกระบี่คือเฉินซีที่เป็นอันดับหนึ่ง ต่งซานเกิงแพ้ที่ตอนเป็นหนุ่มเคยบาดเจ็บสาหัสเกินไป เซียวสวิ้นแพ้ที่จิตใจไม่มั่นคง ฉีถิงจี้แพ้ที่ไม่บริสุทธิ์มากพอ เฉินซีแพ้ที่เรือนกายอ่อนแอทั้งจิตใจยังสูงส่งเกินไป
เฉินจีที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม
ไม่รอให้เฉินผิงอันคารวะ เฉินจีก็โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องพิพักพิพ่วนกัน”
สาวใช้คนนั้นกุมหมัดเอ่ย “เฉินฮุ่ยคารวะใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินผิงอันยิ้มกุมหมัดกลับคืน “ยินดีกับแม่นางเฉินด้วยที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ”
หากไม่เป็นเพราะสถานะและขอบเขตของเฉินฮุ่ยในทุกวันนี้ไม่สะดวกจะแพร่งพรายออกไป สวนดอกเหมยที่อยู่นอกนครบินทะยานแห่งนั้นก็จะต้องตกเป็นเรือนส่วนตัวเซียนกระบี่ของนางแล้ว
ในห้องมีสองคนนั่งสองคนยืน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยแนะนำ “โม่เซิง ฉายาสี่จู๋ เรียกเขาว่าเสี่ยวโม่ก็แล้วกัน คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลับสนิทอยู่ในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่มานานหลายปี เคยถามกระบี่กับหยวนเซียง แล้วก็เคยฟันหย่างจื่อและจูเยี่ยน”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ โม่เซิงเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวคนหนึ่ง ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ต่อให้เฉินฮุ่ยจะมีจิตแห่งมรรคามั่นคงหนักแน่น เวลานี้ก็ยังยากจะปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้ได้
แล้วก็เพราะว่าเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของอิ่นกวานหนุ่ม ไม่อย่างนั้นนางจะคิดแค่ว่าเป็นเรื่องขบขันเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลคนหนึ่งที่มีอายุยาวนานถึงหมื่นปีแล้ว? เป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกหลงจวิน กวานจ้าว หยวนเซียง?
เสี่ยวโม่ประสานมือคารวะ “เสี่ยวโม่คารวะเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเฉิน”
เฉินจีเองก็ตกตะลึงไม่น้อย ลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้ฝึกกระบี่เฉินซีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นเกียรติที่ได้พบ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นพร้อมกับเฉินจีก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
เฉินจีถาม “ต้องการให้ข้าช่วยหาวิธีให้เจ้าเข้าประชุมในศาลบรรพจารย์หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ครั้งนี้ช่างเถิด”
เฉินจีเองก็ไม่บังคับ เพียงยิ้มถามว่า “ไม่จัดงานเลี้ยงสุราหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ฉุกละหุกไปหน่อย คราวหน้ากลับมาที่นี่ต้องจัดงานเลี้ยงสุราแน่นอน”
เฉินจีไม่เห็นเป็นสำคัญ “ฉุกละหุก? ฉุกละหุกอะไร เรื่องแบบนี้คงไม่ควรให้หนิงเหยาเปิดปากพูดเองกระมัง ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ข้าล่ะแปลกใจนัก เจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นคนขี้ขลาดนี่นา ทำไมถึงเว้นเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่อืดอาดชักช้าเช่นนี้ อีกอย่าง ต่อให้ไม่จัดงานเลี้ยงสุราก็ไม่รู้จักทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันฟังด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสจึงไม่สะดวกจะเอ่ยอะไร
เฉินจีส่ายหน้า เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก คำพูดที่อาศัยความอาวุโส พูดมากไปก็ง่ายที่จะทำให้คนรังเกียจ เพียงแค่ถามเฉินผิงอันถึงสถานการณ์ล่าสุดของเฉินซานชิว ฟังขั้นตอนการออกหาประสบการณ์คร่าวๆ ของเฉินซานชิว เห็นได้ชัดว่าเฉินจีไม่ค่อยพึงพอใจนัก ให้คำวิจารณ์ประโยคหนึ่งว่าเหยียบเปลือกแตงโม จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์การฝึกตนของพวกเด็กรุ่นเยาว์สองรุ่นที่ออกไปจากบ้านเกิดอย่างต่งฮว่าฝู เยี่ยนจั๋วและเฉินหลี่ เกาโย่วชิง กลับเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้เฉินจีพอใจอย่างมาก
เฉินจีถาม “สำนักกระบี่หลงเซี่ยงของฉีถิงจี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับผู้ฝึกกระบี่สิบกว่าคนมาเป็นลูกศิษย์ ทุกวันนี้เจ้าสำนักฉีรับหน้าที่เฝ้าท่าเรือแห่งหนึ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
“ลำบากเขาแล้ว”
เฉินจีเอ่ยเย้ยหยัน “ล้วนเปลี่ยนแปลงกันไปได้จริงๆ”
เฉินจีพลันเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าฉีโซ่วรับหน้าที่เป็นเจ้านคร เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “สามารถลองดูไปสักสองสามปีก่อนได้ จะดีจะชั่วฉีโซ่วก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินแล้ว อันที่จริงเหมาะหรือไม่เหมาะยังต้องเป็นฉีโซ่วที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เฉินจีพยักหน้า ถือว่ายอมรับคำกล่าวนี้ของอิ่นกวานหนุ่มแล้ว
ทว่าผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานในทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่า คนสองคนที่หวังอยากให้ฉีโซ่วรับตำแหน่งเจ้านครอีกทั้งยังเป็นเจ้านครที่ดีมากที่สุดก็คือคนสองคนในห้องนี้
เฉินผิงอันหวังให้ฉีโซ่วนั่งตำแหน่งเก้าอี้อันดับหนึ่งที่เว้นว่างไว้ชั่วคราวนั้นให้มั่นคง ขอแค่ฉีโซ่วสามารถสยบใจคนได้อย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นหนิงเหยาก็ไม่ต้องเสียสมาธิอีก
เฉินจีนั้นเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ใคร่อยากจะเป็นเจ้านครอะไรนั่น ความคิดจิตใจที่มากกว่านั้นในทุกวันนี้ยังต้องอยู่ที่ว่าจะสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นจากขอบเขตการฝึกตนของชาติที่แล้วได้หรือไม่
แต่การที่เฉินจีรับหน้าที่เป็นเจ้านคร เคยเป็นการจัดการด้วยตัวเองของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส คนที่รู้เรื่องนี้นอกจากตัวของเฉินจีเองแล้วก็มีแค่อิ่นกวานหนุ่มเท่านั้น
เฉินจียังกลัวจริงๆ ว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันจะไร้คุณธรรม เพื่อให้หนิงเหยาสบายมากขึ้นสักหน่อย วันใดวันหนึ่งในศาลบรรพจารย์อาจจะยกเอา ‘โองการฉบับนี้’ ออกมาต่อหน้าทุกคน
เฉินจีถามอีก “ผู้ถวายงานและเค่อชิงของนครบินทะยานในวันหน้า จำเป็นต้องกำหนดจำนวนที่แน่นอนหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “หากตามความเห็นของข้า ทางที่ดีที่สุดจำนวนคนไม่ควรเกินสามส่วนของศาลบรรพจารย์”
เฉินจีถาม “วันหน้าเติ้งเหลียงหลุดพ้นไปจากนครบินทะยาน สำนักเบื้องล่างของภูเขาจิ่วตูที่เขาสร้างขึ้น นครบินทะยานของพวกเราควรจะต้องดีมาดีตอบ จัดหาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งให้สักคนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องจับตามอง จุดประสงค์ชัดเจนเกินไป จะกลายเป็นเส้นสายแฝงที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายรายล้อม หากแตกกิ่งก้านสาขาออกไปก็จะเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้สำนักเบื้องล่างของเติ้งเหลียงแตกแยกกับนครบินทะยาน”
เฉินจียิ้มเอ่ย “ข้ากลับรู้สึกว่าทำให้ชัดเจนน่าจะดีกว่าหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้โลภมากลาภหาย นครบินทะยานไม่มีเวลามาคอยปลอบใจคน ปัญหาบางอย่างก็ขาดแค่การตีกระทบจึงปรากฏขึ้นมา”
เฉินผิงอันยิ้มน้อยๆ “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สถานการณ์เร่งด่วน ถ้าอย่างนั้นก็เอาไว้ค่อยประชุมกันอีกทีดีไหม?”
เฉินจีพยักหน้า “ได้สิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!