บทที่ 915.4 โต๊ะตัวหนึ่ง – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 915.4 โต๊ะตัวหนึ่ง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
“ชื่อเสียงของโจวอันดับหนึ่งของพวกเรา รอให้ครั้งหน้าที่เปิดประตูจะต้องแพร่ไปถึงใต้หล้ามืดสลัวได้แน่นอน”
เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “เรื่องของการหาคนมาประลองฝีมือ ข้าจะเป็นคนทำก็แล้วกัน แต่เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการห้ามคนตีกัน”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “แม่นางเหนี่ยนซิน อยู่ว่างๆ ก็เบื่อ ไม่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพี่ต้าเฟิงสักคำสองคำหน่อยหรือ?”
เหนี่ยนซินหรี่ตาหัวเราะหยัน
เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าของตัวเองไป พูดด้วยสายตาฉายแววไม่พอใจว่า “ไม่ดื่มก็ไม่ดื่มสิ ทำตาดุใส่พี่ต้าเฟิงทำไมกัน”
เฉินผิงอันลังเล็กน้อย แต่ก็ยังถามว่า “ยันต์ปราณที่แท้จริงครึ่งจินแปดตำลึง ท่านสามารถวาดได้หรือไม่ สามารถเอาไปใช้บนร่างของเด็กๆ คฤหาสน์หลบหนาวได้หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “วาดได้ สามารถใช้ได้”
เฉินผิงอันรู้สึกคลางแคลงอยู่บ้าง เมื่อก่อนคิดว่ายันต์นี้มีข้อห้ามบางอย่าง มีข้อพิถีพิถันประเภทตราผนึกที่สืบทอดมาจากอาจารย์
เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ้มเอ่ยว่า “ตามคำกล่าวของอาจารย์ข้าก็คือ ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แล้วทำไมต้องยกผลประโยชน์ให้เปล่าๆ ด้วยเล่า?”
“อีกอย่าง ปีนั้นอาจารย์ของข้าอยู่ที่เรือนด้านหลังของร้านยา ถูกคนด่าไปรอบหนึ่ง หาได้ยากที่จะถูกอาจารย์ด่าไม่เหลือชิ้นดีขนาดนั้น ตอนนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าหลี่เอ้ออยากเป็นคนดีหรอกหรือ?”
“หากไม่เป็นเพราะเจ้าเด็กเกาเซวียนผู้นั้นชิงเอาปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรไป อีกทั้งตอนนั้นหลี่เอ้อยังได้รับคำเตือนจากท่านอาจารย์ ยังจะมีภูเขาลั่วพั่วในภายหลังได้หรือ? จะมีเถ้าแก่รองและอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หรือ? ข้าว่าไม่ได้หรอก”
“คำกล่าวที่ว่ามีทั้งทรัพย์และปัญญาของลัทธิพุทธ เป็นทั้งเรื่องที่ง่ายที่สุดแล้วก็เป็นทั้งเรื่องที่ยากที่สุด”
เจิ้งต้าเฟิงวางชามเหล้าลง สองมือสอดกันไว้ใต้ท้ายทอย เรอออกมาหนึ่งที ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อเจ้าเปิดปากแล้ว ข้าก็จะเอายันต์สองแผ่นนั้นมาใช้”
อันที่จริงเขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาแล้ว
เพียงแต่ว่าอยู่ที่คฤหาสน์หลบหนาวได้ ‘คุยโว’ มาโดยตลอดว่าตัวเองคือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตจำแลงขนนกที่สามารถพลิกแผ่นดินเดินทางไกลได้
พวกเด็กๆ ไม่เห็นอยู่ในสายตาก็เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่รนหาที่เองจริงๆ
หลังกลายมาเป็นขอบเขตยอดเขา เจิ้งต้าเฟิงก็เริ่มจงใจเฉยชากับการฝึกหมัดขึ้นมาอีก เพราะเขาขี้เกียจมากจริงๆ
อีกทั้งยังเป็นความขี้เกียจทางใจอย่างหนึ่งด้วย
เพราะหากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนแรกของใต้หล้าห้าสีก็จะไม่เหลือพื้นที่ให้เจิ้งต้าเฟิงเกียจคร้านได้อีกแล้ว
ข้าอยู่ห่างไกลจากคลื่นลมมรสุม แต่ไม่แน่เสมอไปว่าคลื่นลมมรสุมจะยอมอยู่ห่างไกลข้า
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าชีวิตที่สงบสุขของตัวเองในเวลานี้ดีมากแล้ว
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเก็บชามเหล้าถ้วยตะเกียบบนโต๊ะ มีแค่เรื่องเช็ดม้านั่งเท่านั้นที่ตัวแทนเถ้าแก่ว่องไวขยันขันแข็งมากที่สุด
พี่ใหญ่ต้าเฟิงอย่างข้าคือคนที่ขาดสตรีอย่างนั้นหรือ?
ผิดแล้ว เป็นเพราะพวกสตรีที่ยังไม่แต่งเข้าเรือนมาเหล่านั้นของพี่ใหญ่ต้าเฟิงอย่างข้าคอยตามหาอยู่ตลอด แต่ก็ยังหาตัวสามีของพวกนางไม่เจอต่างหาก
เจิ้งต้าเฟิงถาม “ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้ใครเป็นคนเฝ้าประตู?”
“หมี่ลี่น้อยช่วยเฝ้าประตูให้นานมาก ทุกวันหากลาดตระเวนภูเขาเสร็จก็จะไปนั่งที่หน้าประตู แต่ตอนนี้มีนักพรตคนหนึ่งชื่อเหนียนจิ่งเฝ้าประตูให้แทน เขาเพิ่งจะไปถึงเมืองเล็กได้แค่ไม่กี่วัน”
“นักพรตตัวจริงหรือนักพรตตัวปลอม?”
“บอกได้ยากจริงๆ ตามคำกล่าวของตอนนี้ แน่นอนว่าคือนักพรตปลอมที่ไม่มีทำเนียบ แต่หากอิงตามปฏิทินเหลืองเก่าแก่กลับถือว่าเป็นนักพรตตัวจริง”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า
ข้าไม่คิดอะไรมาก
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไม่อยากหาภรรยาอยู่ที่นี่บ้างหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่า “ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มขนเพิ่งขึ้นที่ทุกวันจะต้องโหวกเหวกว่า ‘ข้าผู้อาวุโสเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้ก็จะต้องแต่งผู้ฝึกกระบี่หญิงสายอิ่นกวานมาเป็นภรรยาให้ได้’ เสียหน่อย”
“จากบ้านเกิดมานานหลายปี ไม่คิดถึงอะไรที่เมืองเล็ก ก็แค่คิดถึงซาลาเปาไส้เนื้อของบ้านเหมาต้าเหนียงอยู่บ้าง จุ๊ๆ ใหญ่มากเลยล่ะ แน่นอนว่ายังมีเหล้าของหวงเอ้อเหนียงด้วย ชามเหล้าก็ไม่เล็ก อืม นอกจากนี้ก็คือร้านขายของงานมงคลของท่านปู่ของหูเฟิงแล้ว”
“ใช่แล้ว เจ้ารู้จักลูกรักของหวงเอ้อเหนียงไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “รู้ไม่มากนัก แค่ได้ยินมาว่าเป็นซิ่วไฉน้อยคนหนึ่ง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิต ภายหลังไปเรียนหนังสือต่อในโรงเรียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง”
“แค่นี้เองหรือ?”
“ไม่อย่างนั้น?”
“สามีที่เป็นผีตายไปแล้วของหวงเอ้อเหนียงผู้นั้นแซ่ป๋าย ลูกชายของนางชื่อว่าป๋ายซาง”
เฉินผิงอันถาม “ ‘ป๋ายซาง’ ที่เป็นอีกคำเรียกขานหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วงน่ะหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้น?”
“ยังมีหูเฟิงอีกคน หากข้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคนวัยเดียวกันกับเจ้ากระมัง คนที่มักจะติดตามต่งสุ่ยจิ่งไปเก็บเศษกระเบื้องที่ภูเขาเครื่องกระเบื้องด้วยกันบ่อยๆ น่ะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองก็น่าจะเคยเจอหน้ากันมาบ้าง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เจอกันอยู่หลายครั้ง แต่ข้าไม่เคยพูดคุยกับหูเฟิง”
เจิ้งต้าเฟิงเปิดเผยความลับสวรรค์อีกครั้ง “หูเฟิงแซ่หู ท่านปู่ของเขาแซ่ไฉ เจ้าไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านปู่ของหูเฟิงแซ่ไฉไม่ได้แซ่หู”
ตอนเด็กๆ เฉินผิงอันไม่กล้าเดินไปใกล้ร้านขายของงานมงคลร้านนั้นด้วยซ้ำ ส่วนผู้เฒ่าที่ทำกิจการปะชุนซ่อมแซมซึ่งเดินไปทั่วทุกตรอกซอกซอยคนนั้นก็ไม่เคยมาเยือนตรอกหนีผิง
เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน ส่ายหน้าถามว่า “นอกจากภูเขาเครื่องกระเบื้องแล้ว ยังมีอะไรอีก?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
ก็คือสุสานเทพเซียนแห่งนั้น
สถานที่ที่พวกเด็กๆ ของเมืองเล็กมักจะไปเที่ยวเล่นเป็นประจำในอดีต อันที่จริงก็มีอยู่แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น
นั่งใต้ร่มต้นไหวโบราณฟังเรื่องเล่าวิ่งไล่จับ บนสะพานหินโค้งและหินหลังวัวดำก็ไปตกปลาว่ายน้ำ
ไปเก็บเศษกระเบื้องที่ตัวเองชื่นชอบที่ภูเขาเครื่องกระเบื้อง ไปเล่นว่าว เล่นพ่อแม่ลูกที่สุสานเทพเซียน
เส้นเอ็นหัวใจของเฉินผิงอันขึงตึงขึ้นมาในฉับพลัน
เล่นพ่อแม่ลูก?! (หมายถึงการเล่นบทบาทสมมติของเด็กๆ ในภาษาไทยจะไม่มีคำเรียกที่ชัดเจน บางครั้งเรียกเล่นขายของ เล่นพ่อแม่ลูก เล่นครอบครัว เล่นเป็นหมอ เล่นเป็นตำรวจจับผู้ร้าย ฯลฯ)
เจิ้งต้าเฟิงแกว่งชามเหล้า “โจวจื่อเคยไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หากข้าจำไม่ผิด เขาไปตั้งแผงที่ตรอกซิ่งฮวา ภายหลังยังมีสตรีคนหนึ่งที่ใจสูงเทียมฟ้าแต่ชะตาชีวิตบางเบาดุจกระดาษคนหนึ่ง ก็คือศิษย์น้องหญิงของโจวจื่อผู้นั้น ปีนั้นอันที่จริงนางเองก็เคยไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน ในเมื่อสมุดชะตาชีวิตคู่ครึ่งเล่มนั้นถูกหลิ่วชีนำไปไว้ที่พื้นที่มงคลซืออวี๋ของใต้หล้ามืดสลัว ด้ายแดงทั้งหลายที่อยู่บนมือนางจะเอามาจากไหน? เจ้าของเล่นประเภทนี้ ใครก็สามารถหลอมขึ้นมาได้หรือ? ต่อให้เป็นอาจารย์ซานซานจิ่วโหว มรรคกถาของท่านผู้อาวุโสก็สูงเหนือเมฆได้แล้วกระมัง แต่กระนั้นก็ยังมิอาจหลอมขึ้นมาได้ ด้ายแดงที่มากมายถึงเพียงนั้นมาจากไหนกันแน่ ก็เป็นนางที่ไปขอมาจากมือของตาเฒ่าไฉอย่างไรล่ะ”
ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่พวกนี้มีสารพัดอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ‘ห้าสุดยอดทั้งใหม่และเก่า แบ่งทัศนียภาพสารทฤดูไปอย่างละครึ่ง ทุกคนดื่มคนละครึ่งชาม’ ก็คือให้คนที่ดึงแผ่นไม้เลือกคนมาสิบคน หากจำนวนคนไม่พอก็ให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านดื่มเหล้าคนละครึ่งชาม
นอกจากนี้ยังมีคนที่รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจสอบสุรา คล้ายคลึงกับเจ้ามือ และยังมีขุนนางผู้ตรวจตราการดื่ม ป้องกันไม่ให้คนที่ถูกลงโทษให้ดื่มเหล้าเลี้ยงปลาอยู่ใต้ฝ่าเท้า
เฉินผิงอันดึงแผ่นไม้ไผ่ขึ้นมาอีกแผ่น อ่านแล้วถึงกับหน้าดำทะมึน
กลัวเมียสองชาม ยอมรับดื่มหนึ่งชาม ไม่ยอมรับดื่มสามชาม
เจิ้งต้าเฟิงยืดคอยาวมาเหลือบมอง “มือของเจ้านี่ก็ช่างไร้ใครเทียมจริงๆ เสี่ยวโม่ ยังไม่รีบช่วยเจ้าขุนเขาของพวกเรารินเหล้าสามชามอีกหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้ม ไม่ได้ขยับเท้าไปหยิบสุรา
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “ในเมื่อไม่ดื่มเหล้าก็รีบกลับไปเถอะ ไม่อย่างนั้นอาจต้องนอนหน้าประตูบ้านอีกคืน”
เฉินผิงอันเอนหลังพิงโต๊ะคิดเงิน มองผนังร้าน
เจิ้งต้าเฟิงโยนกุญแจไว้บนโต๊ะ “ข้าทนไม่ไหวแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าปิดประตูเองแล้วกัน พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเปิดร้าน หลิวเอ๋อมีกุญแจอยู่”
หิ้วเหล้ากาหนึ่งออกไปจากร้านเหล้า เจิ้งต้าเฟิงเดินกลับที่พักเพียงลำพัง ห่างไปไม่ไกล เดินอยู่ในตรอกเส้นหนึ่งแล้วก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง โชคไม่เลว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างจริงๆ จึงหยุดเดิน เจิ้งต้าเฟิงกระแอมหนึ่งที ถามว่า “ยังไม่นอนกันอีกหรือ?”
ในห้องที่มืดสนิทพลันมีเสียงด่ากลั้วขำของสตรีกับเสียงคำรามเดือดดาลของบุรุษดังลอยมา
เจิ้งต้าเฟิงเขย่งปลายเท้าไปฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง พูด ‘ไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกัน’ ด้วยความหวังดีว่า “ทะเลาะกันดึกๆ ดื่นๆ ก็ยังพอว่า แต่ทำไมถึงต้องตบตีกันด้วยเล่า ต้องการให้พี่ใหญ่ต้าเฟิงเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้พวกเจ้าสองคนหรือไม่?”
ในห้องมีเสียงลงจากเตียงสวมรองเท้าและหยิบอาวุธของบุรุษดังขึ้นมา เจิ้งต้าเฟิงก็รีบเผ่นหนีเหมือนใต้ฝ่าเท้าทาน้ำมันทันที
ทางฝั่งของร้านเหล้า เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “มาดของอาจารย์เจิ้งยังคงเดิม”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า วางกุญแจไว้บนโต๊ะคิดเงิน ปิดประตูร้านพาเสี่ยวโม่กลับไปที่จวนหนิงด้วยกันอีกครั้ง
เดินนิ่งอยู่บนลานประลองยุทธประมาณครึ่งชั่วยามก่อนเฉินผิงอันจะกลับไปยังเรือนพัก จุดตะเกียงในห้อง มองตราประทับเปล่าที่วัสดุเหมือนกันหลายชิ้นบนโต๊ะ พึมพำว่า “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง?”
ตราประทับพวกนั้นล้วนเป็นเศษที่เหลือจากหยกซวงเจี้ยงซึ่งถูกนำมาแกะสลัก
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากถามต่งปู้เต๋อมากว่าปีนั้นนางได้หยกซวงเจี้ยงก้อนนั้นมาอย่างไร
ภูเขาห้อยหัวในอดีต ในตรอกเล็กแคบแห่งหนึ่งที่เป็นซอยตันมีโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่สามารถพูดได้ว่าไร้ชื่อเสียงอยู่แห่งหนึ่ง
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันโดยสารเกาะกุ้ยฮวาขึ้นมายังภูเขาห้อยหัวก็ได้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมเล็กแห่งนั้น เถ้าแก่คือคนหนุ่มคนหนึ่ง มีลูกจ้างร้านอยู่หลายคนที่ไม่ค่อยสนใจกิจการสักเท่าไร
ภายหลังอีกนานต่อมาเฉินผิงอันถึงเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแห่งนี้ นับตั้งแต่เถ้าแก่ไปจนถึงลูกจ้างล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน ล้วนมาจากอารามสุ้ยฉูใต้หล้ามืดสลัวกันทั้งสิ้น
มาเพราะเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น หรือก็คือ ‘เทียนหราน’ คู่รักจิตมารของอู๋ซวงเจี้ยงผู้เป็นเจ้าอาราม ปีนั้นในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเด็กชายผมขาวอยู่คนหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหยกซวงเจี้ยงชิ้นนั้น หรือหยกซวงเจี้ยงบางส่วนที่ได้ถ่ายเทเข้ามากำแพงเมืองปราณกระบี่เคยผ่านมือของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยมาก่อนหรือไม่
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังใช้เสียงในใจเรียกเสี่ยวโม่มา
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!