กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 915

เสี่ยวโม่หยิบตราประทับเปล่าเนื้อหยกซวงเจี้ยงพวกนั้นมากำไว้ในมือทีละชิ้น ครู่หนึ่งต่อมาก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มีความผิดปกติ”

ความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ก็คือไม่มีดวงจิตของอู๋ซวงเจี้ยงซ่อนอยู่ในหยกพวกนี้

อย่างน้อยที่สุดก็ไม่อยู่ในตราประทับเปล่าบนโต๊ะพวกนี้

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ อาจารย์เคยบอกว่าการเดินทางไกลครั้งนั้นได้เจอกับอู๋ซวงเจี้ยงที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วไปเป็นแขกที่อารามเสวียนตูใหญ่พอดี ตอนนั้นมองดูแล้วภาพบรรยากาศรอบกายเจ้าตำหนักอู๋ไม่ค่อยมั่นคงนัก มีความหมายของความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบอยู่บ้างเล็กน้อย

ตามหลักแล้วอย่าว่าแต่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อะไรเลย ผู้ฝึกลมปราณทุกคน ในช่วงแรกเริ่มของการฝ่าทะลุขอบเขตล้วนจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตกันทั้งนั้น

แต่อู๋ซวงเจี้ยงสามารถใช้หลักการทั่วไปมาวัดประเมินได้หรือ?

พูดถึงแค่ตอนอยู่บนเรือราตรีลำนั้น อู๋ซวงเจี้ยงก็เคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับหมี่ลี่น้อยที่ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้กลับเริ่มจะอดคลางแคลงสงสัยไม่ได้

‘ส่วนของข้าเป็นของเจ้าแล้ว’

สมมติว่าอู๋ซวงเจี้ยงทำเช่นนี้จริงๆ ตอนนี้ดวงจิตส่วนนั้นของเขาก็ต้องอยู่ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งของใต้หล้าห้าสีแน่นอน บางทีอาจอยู่ในนครบินทะยาน หรืออาจจะอยู่ที่ภูเขาลูกที่ตำหนักสุ้ยฉูมาสร้างไว้ในใต้หล้าห้าสีก็เป็นได้

การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เสี่ยงอันตราย เพราะหนึ่งจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน หากคิดจะปิดด่านก็คือข้อต้องห้ามใหญ่หลวงของการฝึกตน แล้วนับประสาอะไรกับที่การเลื่อนขั้นที่พยายามฝ่าทะลุจากขอบเขตบินทะยานมาเป็นขอบเขตสิบสี่?

และร่างจำแลงของดวงจิตส่วนนี้ก็ไม่เหมือนจิตหยางกายนอกกายหรือไม่ก็จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลของผู้ฝึกตนใหญ่ ยามที่ออกมาพ้นจากร่างจริงก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าขอบเขตไม่มีทางสูงไปยังไงได้แน่ หากไปหล่นอยู่ในกำมือของผู้ฝึกตนคนอื่น ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินจะคาดเดา

หากไม่ใช่คนบ้าที่เสียสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน

แต่สำหรับอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่นับเป็นอะไรได้เลยจริงๆ

แล้วนับประสาอะไรกับที่หากอู๋ซวงเจี้ยงมาที่ใต้หล้าห้าสีจริงก็ไม่ใช่ว่ามีแต่อันตรายไร้โชควาสนาเสียหน่อย ยกตัวอย่างเช่นการฝึกตนของสำนักการทหารที่สุดท้ายก็จะได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนคนแรกของใต้หล้าห้าสี

ถึงขั้นจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า อู๋ซวงเจี้ยงมีการพลิกกลับตำแหน่งหลักรอง?

เพื่อที่จะตัดสินเป็นตายกับเต๋าเหล่าเอ้อให้ได้ มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าตำหนักอู๋ผู้นี้ทำไม่ได้?

ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวก็มีเพียงอู๋ซวงเจี้ยงที่วางท่าชัดเจนว่าจะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงท่านนั้น

ในเรื่องนี้นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูยังคล้ายว่าจะอยู่แค่อันดับสองเท่านั้น

เฉินผิงอันลองเรียกหยั่งเชิง “เจ้าตำหนักอู๋?”

เรียกอีกรอบหนึ่งก็ยังไม่มีการตอบกลับใดๆ

เลยเรียกชื่ออู๋ซวงเจี้ยงออกมาตามตรง

ยังคงไร้ความเคลื่อนไหว

เฉินผิงอันเหลือบมองเสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่สีหน้าไร้อารมณ์

โรงเรียนแห่งหนึ่งของนครปี้สู่ มีอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่รูปโฉมอ่อนเยาว์กำลังเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ เอาสองมือไพล่หลัง มองกลอนคู่ที่เขียนขึ้นด้วยตัวเอง

มองเห็นดาวจื่อเวย (ดาวที่แสดงถึงความสูงศักดิ์ หมายถึงความมงคล) เหนือคานบ้านโดยบังเอิญ บนเสาบ้านก็โชคดีเจอตะวันหวงเต้า (ตะวันหวงเต้าเปรียบเปรยถึงวันฤกษ์งามยามดี)

อาจารย์สอนหนังสือที่ไม่สะดุดตาท่านนี้เป็นคนในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เนื่องจากเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นในอดีตจึงทำงานอยู่ในจวนของซุนจวี้เฉวียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบมาโดยตลอด หลายปีมานี้ก็พักอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ เมื่อปีก่อนเพิ่งจะรับเด็กรับใช้มาคนหนึ่งที่แท้จริงแล้วมีชาติกำเนิดเป็น ‘เทพโรคระบาด’ ที่น่าสงสารอย่างถึงที่สุด อีกฝ่ายติดตามผู้ฝึกตนสำนักฝูเหยาคนหนึ่งมาหาประสบการณ์ที่นี่ เพียงแต่ว่าตัวเด็กหนุ่มเองไม่เคยรู้เรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงสามารถทำให้ผีไม่รู้เทพไม่เห็น ส่วนผู้ฝึกตนที่ออกเดินทางผู้นั้น แน่นอนว่าต้องเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยซึ่งถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง

ใช่ว่าจะไม่สามารถสืบสาวตามเส้นสายนั้นแล้วทำการอนุมานบนมหามรรคา เพียงแต่ว่าตอนนี้อาจารย์สอนหนังสือท่านนี้ยังไม่อยากเปิดเผยตัวตน จึงเลือกที่จะสะบั้นเบาะแสเส้นนี้ออกโดยตรง

ถึงอย่างไรเขาก็แค่ต้องเดาเอาเท่านั้น เขาเดาได้แม่นยำยิ่งกว่าพวกหมอดูทั้งหลายเสียอีก

พอได้ยินเสียงเรียกว่าเจ้าสำนักอู๋สองครั้งและอู๋ซวงเจี้ยงอีกครั้งหนึ่ง อาจารย์สอนหนังสือก็จุ๊ปากเอ่ย “คงไม่ใช่คนโง่คนหนึ่งหรอกกระมัง”

เช้าตรู่วันที่สอง เฉินผิงอันไปที่ร้านเหล้า เพิ่งจะเปิดประตูร้านได้ไม่นาน เช้าตรู่อย่างนี้ยังไม่มีการค้าอะไรให้ทำ ชิวหล่งกับหลิวเอ๋อและยังมีเฝิงคังเล่อกับเถาป่านต่างก็อยู่ที่ร้าน นั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง คุยเล่นอยู่ด้วยกัน

หลิวเอ๋อเด็กสาวในอดีตที่ออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้วเอ่ยเรียกอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เถ้าแก่รอง!”

ชิวหล่งเองก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เพียงแต่ว่าสำรวมกว่าภรรยาของตัวเองเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าที่พวกเจ้าไปเปิดร้านเหล้าอยู่ที่นครปี้สู่ ข้าอาจจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเองไม่ได้ แต่กรอบป้ายแล้วก็พวกกลอนคู่ของร้านเหล้าร้านใหม่ ข้าจะเป็นคนจัดการให้เอง”

หลิวเอ๋อรีบยอบกายคารวะเถ้าแก่รอง ชิวหล่งที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง

เฝิงคังเล่อเด็กตัวเท่าก้นที่แข็งแรงเปี่ยมชีวิตชีวาในอดีตกลายเป็นคนหนุ่มแล้ว

เถาป่านวิ่งที่ไปห้องครัว เพียงไม่นานก็หยิบบะหมี่มาให้เถ้าแก่รองถ้วยหนึ่ง ตีหน้าเคร่งไม่พูดไม่จา เฝิงคังเล่อบ่นว่า “เถ้าแก่รอง ทำไมถึงเพิ่งมาเล่า?”

เฉินผิงอันรับบะหมี่โรยต้นหอมชามนั้นและตะเกียบคู่หนึ่งมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ช่วยไม่ได้ มีธุระเยอะ ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะมาก็มาได้ทันที”

เฝิงคังเล่อพยักหน้า “ก็จริงนะ ข้าเองก็อยากจะหาเงินให้ได้เยอะๆ มาโดยตลอด แต่หลายปีมานี้ก็ไม่เห็นว่าจะเก็บเงินได้สักเท่าไร”

คนหนึ่งนอนฟุบบนโต๊ะ อีกคนหนึ่งเท้าคางด้วยมือข้างเดียว จ้องมองเถ้าแก่รองที่กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนานอยู่อย่างนั้น

พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตน เปลี่ยนจากเด็กน้อยมาเป็นเด็กหนุ่ม แล้วก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มมาเป็นคนหนุ่ม เร็วขนาดนี้ ราวกับว่าเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้นเอง คิดดูแล้วการจะเปลี่ยนไปเป็นคนวัยกลางคนก็คงไม่ช้าเหมือนกัน

เฉินผิงอันม้วนบะหมี่เข้าปาก ยิ้มเอ่ยว่า “มองข้ากินแล้วจะอิ่มหรือ?”

เถาป่านยิ้มกว้าง

เฝิงคังเล่อถาม “จากไปนานขนาดนี้ ไม่คิดถึงร้านเหล้าบ้างเลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “คิดถึงสิ”

เจิ้งต้าเฟิงเดินหาวเข้ามาในร้าน

แขกคนแรกของร้านเหล้าวันนี้ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจอย่างมาก

คือคนหนุ่มบุคลิกสง่างามคนหนึ่ง แต่ลักษณะเหมือนบัณฑิตยากจน ทั้งยังสวมชุดสีดำทั้งร่าง คนผู้นี้เห็นเฉินผิงอันก็ใช้คำเรียกขานที่ทุกคนของนครบินทะยานไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเรียกอย่างปิติยินดีว่า “พี่คนดี!”

เฉินผิงอันวางตะเกียบลง “โอ้ นี่มันพี่มู่เม่านี่นา!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!