กว่าจะรอจนมีที่นั่งว่างได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือมีลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนพอดี บุรุษร่างสูงใหญ่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ยกมือขึ้นกำลังจะขยับปาก แต่ก็วางมือลงอย่างรวดเร็ว ในบรรดาลูกค้าที่ชิงตัดหน้าเดินเข้าร้านไปก่อนนั้น มีคนผู้หนึ่งเดินข้ามธรณีประตูไปแล้วยังจงใจหันหน้ามามองชายฉกรรจ์ที่อยู่หน้าร้าน บุรุษร่างสูงใหญ่จึงคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปกดหมวกขนสัตว์ ไม่ถือสาอะไร แน่นอนว่าดูเหมือนจะไม่กล้าถือสาเสียมากกว่า
รออยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง บุรุษมองไปทางปากซอยแล้วกวักมือตะโกนเรียก “เสี่ยวเซวียน ทางนี้”
เด็กหนุ่มบ่น “ท่านลุงหลิ่ว ไอ้ข้าก็หาอยู่ตั้งนาน ทำไมท่านถึงได้เลือกร้านเล็กๆ ที่ข้าไม่รู้จักเช่นนี้ล่ะ”
เด็กหนุ่มที่ถูกชายฉกรรจ์เรียกว่าเสี่ยวเซวียนสวมชุดคลุมอาคมสีทองเข้ม และข้างกายเด็กหนุ่มก็ยังมีผู้ติดตามมาด้วยอีกสองคน ผู้เฒ่าที่รูปร่างผอม สวมชุดคลุมตัวยาวสีดำ ผู้เฒ่าเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่หน้าประตูร้านอาหารก็ยิ้มพลางผงกศีรษะทักทาย ทั้งสองฝ่ายเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วยกันทั้งคู่ การที่ตนสามารถสวามิภักดิ์กับศาลซานหลางได้ ปีนั้นยังต้องยกคุณความชอบให้กับการช่วยสนับสนุนลับๆ อย่างเต็มกำลังของตระกูลอีกฝ่าย
ส่วนผู้ติดตามหญิงนั้นสะพายธนูพกดาบ อายุสี่สิบกว่าปี แต่รูปโฉมมองดูแล้วยังอ่อนเยาว์อยู่มาก สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแล้ว นางถือว่าอายุน้อยมากแล้ว
ชายฉกรรจ์เดินเร็วๆ ไปข้างหน้า กุมหมัดยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่หลิว แม่นางฝาน”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มรับ “น้องหลิ่ว”
สตรีแซ่ฝานรีบกุมหมัดคารวะกลับคืนทันใด “คารวะเซียนกระบี่หลิ่ว”
ใบหน้าชายฉกรรจ์ฉายแววอ่อนใจ “ด่าคนหรืออย่างไร? เรียกข้าว่าลุงหลิ่วตามเสี่ยวเซวียนก็พอแล้ว”
สตรีหัวเราะ อีกฝ่ายเกรงใจ แน่นอนว่านางมิอาจไม่รู้มารยาทเช่นนั้นได้
เพราะถึงอย่างไรชายฉกรรจ์ที่มองดูเหมือนทึ่มทื่อผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงมานานแล้วคนหนึ่ง อีกทั้งยังเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน น่าเสียดายที่ไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตเป็นหยกดิบที่นั่นได้
เด็กหนุ่มทอดถอนใจ “ท่านลุงหลิ่ว ไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้วนะ”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน ไม่ถึงยี่สิบปี ไม่นับเป็นอะไรได้”
ท่านลุงหลิ่วผู้นี้ ตอนที่หยวนเซวียนยังเด็กก็ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
การที่เขาจดจำได้อย่างลึกซึ้งก็เป็นเพราะผู้อาวุโสจากหลัวหม่าเหอท่านนี้ไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่แม้แต่น้อย
ไม่เหมือนผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเลยสักนิด แล้วก็ไม่เหมือนคนมีเงินเลยสักนิด!
ในร้านเล็กๆ มีโต๊ะว่างพอดี ชายฉกรรจ์จึงเดินนำทุกคนเข้าไป เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลนคือมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยฝึกตน แน่นอนว่ามิอาจจำแขกที่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเคยแวะมาอุดหนุนที่ร้านแล้วครั้งหนึ่งได้
เพียงไม่นานก็มีคนจำเด็กหนุ่มได้ ลูกค้าที่แย่งโต๊ะก่อนหน้านี้สังเกตเห็นว่าชายท่าทางขี้ขลาดได้นั่งร่วมโต๊ะกับหยวนเซวียนก็รีบโยนเงินทิ้งไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผ่นแนบไปทันที
เจ้าไม่ตีข้า ข้าก็ไม่เอ่ยขออภัย ทั้งสองฝ่ายทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นว่าพูดมากผิดมากก็โดนซ้อมมาก
หยวนเซวียนยิ้มถาม “เคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือ?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
หยวนเซวียนบ่น “ก่อนข้าจะออกจากบ้าน ท่านปู่ทวดยังพูดถึงท่านอยู่เลยนะ บอกว่าท่านไม่รู้จักมารยาท มีใครเขาทิ้งของขวัญแล้วก็เผ่นหนีอย่างท่านกัน”
ท่านลุงหลิ่วที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือหลิ่วซวี่แห่งหลัวหม่าเหอ และหลัวหม่าเหอกับศาลซานหลางก็สนิทสนมกันมาตลอด ความสัมพันธ์ดีเยี่ยมเสมอมา เจ้าประมุขผู้เฒ่าของทั้งสองฝ่าย ตอนที่อายุยังน้อยก็คือสหายรักที่นิสัยใจคอเข้ากันได้ดีมาก
ชายฉกรรจ์ถามคนทั้งสามว่าแพ้อาหารอะไรหรือไม่ เห็นว่าพวกเขาสบายๆ ยังไงก็ได้จึงสั่งอาหารแนะนำของร้านมาสี่ห้าอย่างอย่างคุ้นเคย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “บ้านเจ้ามีแขกเยอะทุกวัน ข้าเจอกับพวกคนที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันแม้แต่น้อยพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ถึงอย่างไรท่านปู่หยวนก็รู้จักนิสัยข้าดีอยู่แล้ว”
หยวนเซวียนยิ้มเอ่ย “ท่านลุงหลิ่ว เหล้าภูเขาชิงเสิน ทุกวันนี้หาซื้อได้ยากมากจริงๆ”
หลิ่วซวี่พยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มกลับหัวเราะหึหึ “กว่าจะไหว้วานคนให้ไปหาไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์เสวียนมี่ผู้นั้นมาได้ไม่ง่ายเลย นี่ก็เพิ่งจะซื้อมาได้แค่สองไห!”
บุรุษยิ้มเอ่ย “เป็นวัตถุดิบที่ดีในการทำการค้า ค่าใช้จ่ายจดลงบัญชีไว้ ตอนนี้เอาออกมาเลยเถอะ พวกเราดื่มกันวันนี้เลย”
หยวนเซวียนเอ่ยอย่างตกตะลึง “ดื่มที่นี่น่ะหรือ?”
หลิ่วซวี่ถาม “ดื่มเหล้าไม่เลือกคน หรือยังต้องเลือกสถานที่ด้วย? นี่มันเหตุผลอะไรกัน”
หยวนเซวียนถึงได้หยิบเอาเหล้าภูเขาชิงเสินสองกาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ หลิ่วซวี่ก็แกะผนึกดินออกจริงๆ ขอชามเหล้าจากลูกจ้างร้านมาเพิ่มสามชาม แล้วเริ่มรินเหล้าให้คนทั้งสาม
ทันใดนั้นร้านเล็กๆ ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุราทันที
ผู้ฝึกยุทธหญิงยิ้มอย่างรู้ใจ
ดูเหมือนจะไม่เหมือนกับที่เล่าลือกันภายนอกสักเท่าไรเลยนะ
หลิ่วซวี่เคยพกกระบี่ไปเพียงลำพัง แสงกระบี่สาดสะท้อนไปทั่วราชวงศ์แห่งหนึ่งและแคว้นใต้อาณัติหลายแห่ง รื้อถอนศาลบรรพชนเจ็ดแปดแห่งไปตลอดทาง
เล่าลือกันว่าหลิ่วซวี่ยังถือกระบี่ด้วยมือเดียว ใช้ตัวกระบี่ตบหน้าของฮ่องเต้ผู้นั้นไปหลายครั้ง บอกกับอีกฝ่ายว่าอย่าได้รังแกคนซื่อ
หลิ่วซวี่ยกชามเหล้าขึ้น ดื่มคารวะคนทั้งสามก่อนหนึ่งชาม เพียงแต่ว่าก่อนจะดื่มเหล้าก็ยังไม่ลืมบอกหยวนเซวียนว่าดื่มให้น้อยๆ หน่อย
หยวนเซวียนดื่มเหล้าไม่ค่อยเก่ง แล้วก็ไม่ทำตัวห่างเหินกับท่านลุงหลิ่ว ดื่มเหล้าแค่อึกเดียวจริงๆ จากนั้นก็ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยว่า “ท่านลุงหลิ่ว คนจริงไม่เผยโฉมสินะ”
หลิ่วซวี่ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร
ครั้งนั้นตนดื่มจนเมามากจริงๆ แม้จะบอกว่าไม่ถึงขั้นพลาดไปทีเดียวก็เสียใจนานเป็นพันปี แต่ทุกวันนี้ที่บ้านเกิดก็ถูกคนไม่น้อยหัวเราะเยาะแล้ว
และตนที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ดื่มเหล้าเก่ง การที่ดื่มจนเมามากขนาดนั้นก็ต้องโทษคำพูดจากใจจริงที่เถ้าแก่รองเอ่ยออกมาหลังจากเหล้าเข้าปาก เขาบอกว่าตัวเองเคยไปเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปมาก่อน ระหว่างนั้นก็เจอทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี แต่หากจะให้พูดถึงขนบธรรมเนียมของบนภูเขา ทอดสายตามองไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล…สายตาของเถ้าแก่รองในเวลาส่องแสงสว่างไสว ยกนิ้วโป้งให้กับหลิ่วซวี่แล้วบอกว่า คืออย่างนี้
ทีนี้เลยทำให้หลิ่วซวี่ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด จึงสั่งเหล้ามาเพิ่มอีกกา ใช้กาเหล้าของตัวเองชนกับชามเหล้าของเถ้าแก่รองเบาๆ แล้วดื่มจนหมดกา
หลังจากนั้นเถ้าแก่รองก็กอดไหล่เขา บอกว่าพี่หลิ่ว ช่วยสนับสนุนพี่น้องของตัวเองหน่อยได้ไหม?
หลิ่วซวี่บอกว่าตัวเองไม่ถนัดทำเรื่องพวกนี้ ผลคือเถ้าแก่รองกลับบอกว่ามีของสำเร็จรูปอยู่ก่อนแล้ว แค่เขียนตามไปก็พอ เขียนตัวอักษรก็น่าจะพอทำได้กระมัง จะดีจะชั่วก็เป็นถึงนายน้อยของหลัวหม่าเหอเชียวนะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!