เฉินผิงอันเดินตรวจตราเรือข้ามฟากไปพร้อมกับหมี่ลี่น้อยก็เจอกับผู้ดูแลเรือสองคนที่เดินตรงมาหา
ผู้คุมกฎฉางมิ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ เนื่องจากนางต้องเข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่าง ตอนนี้จึงมารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของเรือเฟิงยวนชั่วคราว นางเดินนวยนาดตรงมา ก่อนจะหยุดลง ยอบกายคารวะเฉินผิงอันด้วยบุคลิกสุภาพสง่างาม “คารวะคุณชาย”
ในฐานะผู้ดูแลรองของเรือข้ามฟากที่เจ้าขุนเขาหนุ่มเลือกตัวมาด้วยตัวเอง เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงจัดการดูแลตนเองอย่างสะอาดเอี่ยมตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปร่างผอมเพรียว หนวดเคราและเส้นผมเป็นสีขาวหิมะ ฐานะและสภาพแวดล้อมทำให้บุคลิกของคนเปลี่ยนแปลง เขาจึงยิ่งมีมาดของยอดฝีมือนอกโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เทพเซียนผู้เฒ่าได้ยกเอาการแต่งกายที่เป็นสมบัติก้นกรุออกมาใช้งานแล้ว ทุกวันนี้สวมชุดคลุมเต๋า สวมรองเท้าปักลายเมฆ ตรงเอวห้อยชิ่ง (เครื่องดนตรีประเภทเคาะหรือตี) หยกขนาดเล็กอันหนึ่ง ของชิ้นนี้เป็นนักพรตเฒ่าตาบอดที่ควักกระเป๋าเงินซื้อเองเมื่อนานมาแล้ว เป็นสมบัติวิเศษที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นจึงซื้อมาจากร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลง บนชิ่งหยกมีตัวอักษรขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันแกะสลักไว้ด้วยฝีมือที่โบราณและเรียบง่าย ‘ลมสวรรค์พัดชิ่ง ข้าท่องคัมภีร์หวงถิง เสียงทองเสียงหยก เหล่าทวยเทพให้การเคารพกันและกัน’
เจี่ยเฉิงยืนอยู่ข้างกายฉางมิ่ง ตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย คารวะเฉินผิงอันตามขนบของลัทธิเต๋า เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คารวะเจ้าขุนเขา”
ส่วนรองเท้าลายเมฆปักด้วยด้ายสีรากบัวบนเท้าของเทพเซียนผู้เฒ่าคู่นี้ ก็คือหนึ่งในของขวัญที่อาจารย์เสี่ยวโม่มอบให้
เฉินผิงอันยิ้มพลางอธิบายว่า “เมื่อครู่นี้พาเสี่ยวโม่ไปเยือนใต้หล้าห้าสีด้วยกันมารอบหนึ่ง เพิ่งจะกลับมา”
เจี่ยเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย “ฮูหยินเจ้าขุนเขาไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นางต้องปิดด่าน ปลีกตัวมาไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานะของนางในทุกวันนี้ไม่ค่อยเหมาะที่จะไปมาระหว่างสองใต้หล้าบ่อยๆ”
เทพเซียนผู้เฒ่าถอนหายใจยาวเหยียด “บุพเพวาสนาที่สวรรค์สรรค์สร้าง การจัดการของผู้เฒ่าจันทรา ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังได้อยู่ร่วมกันน้อยกว่าพรากจาก เจ้าขุนเขาและฮูหยินเจ้าขุนเขาต่างก็ลำบากแล้ว”
เฉินผิงอันเพียงอืมรับหนึ่งที คลี่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร
ผู้คุมกฎฉางมิ่งมองเจ้าขุนเขาหนุ่มแล้วเอ่ยอย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “คุณชายมีเรื่องจะปรึกษาหรือ?”
ทั้งสองฝ่ายพบกันครั้งแรกในคุกของเฒ่าหูหนวก ซึ่งก็ถือว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของสิงกวานหาวซู่ด้วย
ริมลำธารมีสตรีนั่งทุบผ้า เด็กสาวซักผ้า มองปราดๆ ก็คือสาวงามในชนบทสองคนที่รูปโฉมงดงามเป็นธรรมชาติ
กาลเวลาผันผ่าน ตะวันจันทราเคลื่อนดุจกระสวย โดยไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว
ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์สองคนที่ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจับโยนเข้าไปในคุก ต่างคนก็ต่างได้รับโชควาสนา ตู้ซานอินกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของหาวซู่ โยวอวี้ที่มีนิสัยเรียบง่ายบริสุทธิ์กลายเป็นลูกศิษย์ของเฒ่าหูหนวก
เด็กสาวที่จำแลงร่างมาจากบรรพบุรุษเงินฝนธัญพืช สุดท้ายติดตามหาวซู่ผู้เป็นเจ้านายออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน ใช้นามแฝงว่าจี๋ชิง ติดตามตู้ซานอินออกเดินทางไปท่องใต้หล้าไพศาลด้วยกัน เคยเผยกายอยู่ในนครหรงเม่าของเรือราตรี
ปีนั้นเด็กชายผมขาวเคยเอ่ยคำว่า ‘ทำตอนนี้เลย’ ช่วยให้ ‘บรรพบุรุษอิ่นกวาน’ มองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของพวกนาง พูดถึงแค่จี๋ชิง ตอนนั้นผิวกายของนางปรากฏเป็นสีเขียวมรกตที่มีกลิ่นอายของความโบราณ ตรงหน้าผากเหมือนหน้าต่างสวรรค์บานเล็กที่เปิดออก สาเหตุเป็นเพราะนางถือกำเนิดด้วยรูปลักษณ์ของเงิน จึงมีรอยมีด รอยแกะสลักตัวอักษรดำรงอยู่
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ฉางมิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายมีเรื่องต้องรีบใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหรือ?”
พูดเข้าประเด็นในคำเดียว
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน ถึงขั้นพูดได้ว่าช่างเตาเผาเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิง ปีนั้นจำนวนครั้งที่ได้เห็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองในเมืองเล็กยังมากกว่าเงินทองของจริงที่ไหลเวียนในตลาดเสียอีก
ในอดีตเพื่อเป็นค่าผ่านทางของการเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมีสามชนิด แบ่งออกเป็นเงินอิ๋งชุน เงินก้งหย่างและเงินยาเซิ่ง
เงินต้นแบบสามชนิดที่ขอให้จวี้จื่อสำนักโม่เป็นคนสร้างขึ้นในช่วงแรกสุด เฉินผิงอันเดาว่าเกินครึ่งน่าจะมาจากฝีมือของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ไม่อย่างนั้นสกุลซ่งต้าหลีในเวลานั้นที่เป็นแค่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเป็นราชสำนักต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีปมากนัก ด้วยรากฐานกำลังทรัพย์ที่ตื้นเขินของสกุลซ่งไม่มีทางเชิญให้จวี้จื่อแห่งสำนักโม่มาช่วยหลอมเงินได้ไหวแน่นอน
และเงินสามชนิดนี้ก็เป็นผลงานที่งดงามเป็นอันดับหนึ่งของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองบนโลก เพียงแต่ว่าปีนั้นสกุลซ่งต้าหลีควบคุมเข้มงวดเกินไป เงินทุกถุงล้วนเท่ากับว่าออกจากมือซ้ายเข้าไปอยู่ในมือขวา ถึงได้ไม่ได้แพร่ไปถึงทวีปอื่น รอกระทั่งถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมาหยั่งรากลงกับพื้นดิน ลดระดับขั้นจากหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมาเป็นพื้นที่มงคล เงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดที่ราชสำนักต้าหลีสร้างขึ้นอย่างลับๆ บางส่วนถึงได้ค่อยๆ กระจายออกไปจากคลังสมบัติของสกุลซ่ง นำไปใช้หนี้บนภูเขาส่วนหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
ตามคำกล่าวของเด็กชายผมขาว รูปแบบของเงินบรรพบุรุษบนโลกส่วนใหญ่มักจะมาเป็นคู่ หากว่าสามารถทำให้มหามรรคาจำแลงออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาก็จะกลายเป็นคู่รักเทพเซียนอันดับหนึ่งบนโลก
เฉินผิงอันไม่ปิดบังอีกต่อไป บอกไปตามสัตย์จริงว่า “‘จันทร์กลางบ่อ’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้าเล่มนั้น หากคิดจะยกระดับก็ต้องหลอมแม่น้ำแห่งกาลเวลาขึ้นมาสายหนึ่ง ตอนอยู่นครบินทะยาน หนิงเหยามอบให้ข้ามาแล้วบางส่วน ตามหลักก็มากพอจะให้ข้าสร้างแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องของการหลอมกระบี่นี้ไม่ค่อยเหมือนกับสถานการณ์ทั่วไป มันก็คือหลุมที่ไร้ก้น”
ฉางมิ่งคลี่ยิ้มหวาน ถามเสียงอ่อนโยน “เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีประโยชน์มาก เรียบง่ายอย่างยิ่ง ไยคุณชายต้องรู้สึกลำบากใจด้วย? หรือว่าแค่อนุญาตให้ขุนนางวางเพลิง ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านจุดตะเกียง? หรือจะบอกว่าภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอนุญาตให้เจ้าขุนเขามานะหมั่นเพียร เป็นนกนางแอ่นที่คาบดินโคลนมาทำรัง เสริมเติมสมบัติได้คนเดียว ไม่อนุญาตให้คนอื่นใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดช่วยเหลือเจ้าขุนเขาบ้าง?”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งไปทันใด
อันที่จริงเหตุผลจะพูดกันแบบนี้ไม่ได้ หากเป็นแค่เงินเทพเซียนธรรมดาทั่วไป เฉินผิงอันย่อมไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าวัตถุอย่างเงินเหรียญทองแดงแก่นทองนั้น เกี่ยวพันไปถึงการฝึกตนบนมหามรรคาของฉางมิ่ง เฉินผิงอันหลอมกระบี่จันทร์กลางบ่อ ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีประโยชน์มาก อันที่จริงฉางมิ่งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ การเลื่อนขั้นขอบเขตของนางไม่มีวิธีอื่น มีเพียงการกินเงินเท่านั้น อีกทั้งกินแค่เงินเหรียญทองแดงแก่นทองอย่างเดียว นี่คล้ายคลึงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้แต่อาศัยควันธูปในโลกมนุษย์มาหล่อหลอมร่างทอง นอกจากนี้แล้วคาถาเซียนวิชาอาคมทุกอย่างบนโลกล้วนเป็นความเลื่อนลอย
ฉางมิ่งยิ้มถาม “ในฐานะที่ฉางมิ่งเป็นผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่ว หรือว่าอาศัยแค่ขอบเขตอย่างเดียว? โจวอันดับหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หมี่อวี้เองก็กำลังจะกลายเป็นขอบเขตเซียนเหริน เจ้าสำนักชุยคือเซียนเหริน คงโหวแห่งตรอกฉีหลงก็ยิ่งเป็นขอบเขตบินทะยาน ถ้าอย่างนั้นข้ายังจะควบคุมพวกเขาได้อีกอย่างไร? ไม่สู้ออกจากตำแหน่งผู้คุมกฎแล้วมอบให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่ฝ่าทะลุขอบเขตมาเป็นไม่ดีกว่าหรือ?”
บทสนทนาระหว่างเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วและผู้คุมกฎไม่ได้มีการปิดบังอำพราง ไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเป็นคนนอก
เจี่ยเฉิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินอย่างชัดเจน เพียงแต่ฟังไปฟังมากลับรู้สึกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว
สหายฉางมิ่งโกรธแล้ว
อีกทั้งครั้งแรกที่โกรธยังเป็นความโกรธที่มีพุ่งเข้าใส่เจ้าขุนเขาของพวกเราด้วย
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่ว! หากเป็นตน มีหรือจะกล้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!