เสี่ยวโม่ยืนเอนกายพิงประตู ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
รอกระทั่งเฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ม้วนภาพก็แปรเปลี่ยน เข้ามาอยู่ในเขตชายแดนของสนามรบแห่งหนึ่ง สองทัพประจัญบานกัน มีเพียงแม่น้ำเส้นหนึ่งกั้นขวาง รถม้า บุคคลล้วนมีรูปลักษณ์โบราณเก่าแก่ ฝั่งหนึ่งมีธงผืนใหญ่ตั้งตระหง่าน เขียนสองคำว่าเมตตาและน้ำใจ กองทัพของอีกฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งน่ากริ่งเกรงมากกว่า จักรพรรดิท่านนั้นกำลังพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอยู่กับกุนซือข้างกาย บอกว่ากองทัพฝ่ายศัตรูมีเสื้อเกราะมากพอ แต่คุณธรรมน้ำใจกลับไม่มากพอ กองทัพของกว่าเหรินมีไม่พอ แต่คุณธรรมน้ำใจกลับมากพอเหลือแหล่ จะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นกุนซือก็มองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังระดมกำลังทัพข้ามแม่น้ำ จึงแนะนำจักรพรรดิผู้มีคุณธรรมน้ำใจว่าให้ลุยน้ำไปโจมตีระหว่างทาง สองทัพต่อสู้พัวพัน แตกซ่านพ่ายแพ้
เฉินผิงอันยืนมองเฉยอยู่ด้านข้างตลอด หลังจากที่ม้วนภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมสองรอบ เขาถึงได้ไปที่กองทัพใหญ่ มาหยุดอยู่ข้างกายบุคคลที่มีสีสันเพียงหนึ่งเดียว ฝ่ายหลังถามว่า “กว่าเหรินผิดหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่เอ่ยตอบคำ
“ตำราประวัติศาสตร์ในโลกยุคหลังพูดถึงกว่าเหรินเช่นไร?”
เฉินผิงอันยังคงเงียบ
“ไม่พูดถึงตำราประวัติศาสตร์ แล้วพวกชาวบ้านล่ะ เกร็ดพงศาวดารทั้งหลายล่ะ?”
จักรพรรดิท่านนี้เศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง น้ำตาคลอกลบเต็มดวงตา ตบแอกหน้ารถม้าอย่างแรง พูดอย่างร้าวรานปานจะขาดใจ “คงจะมีประโยคดีๆ อยู่บ้างกระมัง?!”
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ให้คำตอบ เพียงกล่าวว่า “เรื่องที่ถูกต้อง เรื่องที่ดี เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่อยู่ภายหลัง เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เรื่องที่เกิดขึ้นมานานพันปี ปะปนอยู่รวมกัน จะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนได้อย่างไร?”
“แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน อยู่ในหน้าที่ใดก็ทำตามหน้าที่นั้น ต้องดูแลความปลอดภัยของปวงประชาในหนึ่งแคว้นให้ดี ตัวอยู่ในสนามรบ ก็ต้องเอาชนะสงครามที่อยู่ตรงหน้าให้ได้”
จักรพรรดิผู้ที่แคว้นล่มสลายซึ่งตะโกนก้องคำว่า ‘คุณธรรมน้ำใจ’ หลายต่อหลายครั้งท่านนี้ เรือนกายถึงกับสลายหายไปทันที
หลังจากนั้นเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็ได้เจอกับคนและเรื่องราวประหลาดอีกมากมาย
คนทั้งสองล่องเรือลำน้อยไปท่ามกลางราตรีแสงจันทร์ เคลื่อนคลอนไปตามกระแสน้ำไม่หยุดนิ่ง จนมาถึงสะพานโบราณแห่งหนึ่งก็เห็นหอเรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ที่แท้ทุกครั้งที่เจอกับลมเย็นและแสงจันทร์ก็จะสามารถมองเห็นเงาร่างล่องลอยของสตรีที่เดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในระเบียงของหอเรือน ท่าทางกลัดกลุ้มทุกข์ระทม นางมักจะโยนเงินและทองลงน้ำบ่อยๆ
จากนั้นห่างไปอีกพันลี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็เห็นคุณชายผู้สง่างามที่เรือนกายมีสีสันคนหนึ่ง เขาอยู่ในตลาดที่เสียงดังจอแจ ให้ข้ารับใช้นั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังของอีกฝ่าย สั่งให้เด็กรับใช้เป่าขลุ่ย สั่งให้บ่าวที่อยู่ใต้ก้นทำท่าบินเหมือนนกกระเรียน บ่าวยืดตัวขึ้นช้าไปเล็กน้อย คุณชายก็เสียใจ ร้องสะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียง พูดพึมพำกับตัวเองว่าไม่ได้เทพธิดามาครอง ก็เป็นเซียนน้ำไปพบคนงามก็แล้วกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตะบึง กระโดดลงไปในสระน้ำที่อยู่ด้านข้าง คงคิดจะฆ่าตัวตาย เพียงแต่กลับถูกพวกบ่าวรับใช้ไปงมตัวขึ้นมา ตัวเปียกซ่กกลายเป็นไก่ตกน้ำ
เฉินผิงอันจึงให้เสี่ยวโม่ทำหน้าที่แทน ช่วยส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้อีกฝ่าย บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญเช่นนี้ ต่อให้จะรักใคร่กันอย่างจริงใจ แต่เฉินผิงอันกลับคร้านจะเป็นคนผูกด้ายแดงให้กับอีกฝ่าย
ต่อมาก็มาถึงกึ่งกลางภูเขาแห่งหนึ่ง มีภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งพาเณรน้อยคนหนึ่งลงจากภูเขา เจอกับสตรีกลางทาง ภิกษุเฒ่าก็เอ่ยแค่ว่าเสือล่างภูเขากินคน ห้ามเข้าใกล้ ต้องหลบเลี่ยงให้ไกล
ระหว่างที่หวนกลับมาในภูเขา เณรน้อยมีสีหน้าเขินอาย ลูบคลำศีรษะโล้นเลี่ยนเล็กๆ ของตัวเอง เอ่ยกับอาจารย์ว่า ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ไม่ต้องการ แค่ต้องการเสือที่กินคนล่างภูเขาตัวนั้น ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัดใจจากมันไม่ได้
เฉินผิงอันกลั้นขำ
ภายหลังกลับไปที่วัดเก่าโทรมในภูเขา ช่วงเวลาที่อากาศเยียบเย็นหนาวเหน็บ ภิกษุเฒ่าถึงกับผ่าเทวรูปไม้ออกมาทำเป็นฟืน โยนเข้าไปในกองไฟเพิ่มความอบอุ่น หันหน้าไปมองบัณฑิตชุดเขียวที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไปร่วมสอบจึงมาขอค้างแรมที่วัดหนึ่งคืน
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ยกับภิกษุว่าท่านทำได้ ข้าทำไม่ได้
ภิกษุเฒ่าจึงถามว่าทำไมถึงจะทำไม่ได้ล่ะ แต่ไหนแต่ไรมาการกราบไหว้พุทธองค์ก็คือการกราบไหว้ตัวเองไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันเพียงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
ดังนั้นม้วนภาพที่อาจารย์และศิษย์ขึ้นเขาลงเขา ภิกษุเฒ่าหวนกลับวัดผ่าเทวรูปมาทำเป็นฟืนจึงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด
สุดท้ายเสี่ยวโม่ทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงอดหันไปพูดกับภิกษุเฒ่าไม่ได้
ภิกษุเฒ่าถึงได้ลุกขึ้นยืม ก้มหัว พนมสิบนิ้วให้กับเสี่ยวโม่
หลังฝนตกพบเจอหญิงชราคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่าขาดแต่ควบขี่ม้า เครื่องประดับม้างามหรูหรา เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
หญิงชราหยุดม้า ถามเสียงอบอุ่นสีหน้าอ่อนโยน “คุณชายจะไปที่ใดหรือ?”
เฉินผิงอันบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติที่นอกเมือง หญิงชราเอ่ยว่า “ระหว่างทางมีน้ำท่วม อีกทั้งยังมีเสือร้ายเป็นภัยอยู่มาก ไม่สู้ติดตามข้าไปพักในเรือนเก่ามอซอ ตะวันขึ้นค่อยออกเดินทางย่อมสบายกว่ามาก”
เฉินผิงอันจึงประสานมือคารวะขอบคุณ
สตรีควบม้าเดินนำคนทั้งสองเข้าไปในเส้นทางเล็กเงียบสงบอย่างเนิบช้า เดินทางกันไปได้ประมาณสามสี่ลี้ก็พอจะมองเห็นแสงตะเกียงในป่า หญิงชราจึงใช้แส้หวดม้าชี้ไปที่แสงไฟ ยิ้มเอ่ยว่าถึงแล้ว
บ้านหลังนี้เรียกได้ว่ามีแค่กำแพงสี่ด้านจริงๆ นอกจากเตียงไม้และโต๊ะตัวหนึ่งก็มีแค่ตะเกียงดวงหนึ่งที่แขวนไว้บนผนัง หญิงชราเงยหน้าขึ้นช้าๆ ลูบผมตรงจอนหู สีหน้าซึมเศร้า ทว่าของที่หญิงชราเอามาใช้รับรองแขกกลับอุดมสมบูรณ์ มีทั้งปลาทั้งเนื้อ ทว่าได้แต่ใช้อ่างแทนกา ทั้งต้องให้เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่หักกิ่งไม้มาแทนตะเกียบ ทั้งปลาทั้งเนื้อและข้าวล้วนเย็นเยียบ คนปกติยากจะกลืนลงคอ แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วไม่นับเป็นอะไรได้
หลังกินข้าวอิ่มแล้วเฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พื้นดินในห้องขรุขระไม่ราบเรียบ โต๊ะตัวเมื่อครู่นี้ก็เอียงกะเท่เร่ เฉินผิงอันจึงเดินไปที่ป่านอกบ้าน ผ่าฟืนมาทำเป็นท่อนไม้รองไว้ใต้ขาโต๊ะ หญิงชราเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แล้วหญิงชราก็จุดตะเกียงไล่หาแมลง เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามว่าทำไมคนที่ยากจนถึงได้มีอาหารรับรองแขกอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ เพียงแค่หยิบกระบอกยาสูบออกมาแล้วเริ่มพ่นควันโขมง หญิงชราจ้องหน้าเขานิ่งอยู่หลายครั้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันถาม “ขอถามหมัวมัว ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใด?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!