ตอน บทที่ 923.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สาม) จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 923.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สาม) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เสี่ยวโม่ยืนเอนกายพิงประตู ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
รอกระทั่งเฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ม้วนภาพก็แปรเปลี่ยน เข้ามาอยู่ในเขตชายแดนของสนามรบแห่งหนึ่ง สองทัพประจัญบานกัน มีเพียงแม่น้ำเส้นหนึ่งกั้นขวาง รถม้า บุคคลล้วนมีรูปลักษณ์โบราณเก่าแก่ ฝั่งหนึ่งมีธงผืนใหญ่ตั้งตระหง่าน เขียนสองคำว่าเมตตาและน้ำใจ กองทัพของอีกฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งน่ากริ่งเกรงมากกว่า จักรพรรดิท่านนั้นกำลังพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอยู่กับกุนซือข้างกาย บอกว่ากองทัพฝ่ายศัตรูมีเสื้อเกราะมากพอ แต่คุณธรรมน้ำใจกลับไม่มากพอ กองทัพของกว่าเหรินมีไม่พอ แต่คุณธรรมน้ำใจกลับมากพอเหลือแหล่ จะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นกุนซือก็มองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังระดมกำลังทัพข้ามแม่น้ำ จึงแนะนำจักรพรรดิผู้มีคุณธรรมน้ำใจว่าให้ลุยน้ำไปโจมตีระหว่างทาง สองทัพต่อสู้พัวพัน แตกซ่านพ่ายแพ้
เฉินผิงอันยืนมองเฉยอยู่ด้านข้างตลอด หลังจากที่ม้วนภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมสองรอบ เขาถึงได้ไปที่กองทัพใหญ่ มาหยุดอยู่ข้างกายบุคคลที่มีสีสันเพียงหนึ่งเดียว ฝ่ายหลังถามว่า “กว่าเหรินผิดหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่เอ่ยตอบคำ
“ตำราประวัติศาสตร์ในโลกยุคหลังพูดถึงกว่าเหรินเช่นไร?”
เฉินผิงอันยังคงเงียบ
“ไม่พูดถึงตำราประวัติศาสตร์ แล้วพวกชาวบ้านล่ะ เกร็ดพงศาวดารทั้งหลายล่ะ?”
จักรพรรดิท่านนี้เศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง น้ำตาคลอกลบเต็มดวงตา ตบแอกหน้ารถม้าอย่างแรง พูดอย่างร้าวรานปานจะขาดใจ “คงจะมีประโยคดีๆ อยู่บ้างกระมัง?!”
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้ให้คำตอบ เพียงกล่าวว่า “เรื่องที่ถูกต้อง เรื่องที่ดี เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่อยู่ภายหลัง เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เรื่องที่เกิดขึ้นมานานพันปี ปะปนอยู่รวมกัน จะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนได้อย่างไร?”
“แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน อยู่ในหน้าที่ใดก็ทำตามหน้าที่นั้น ต้องดูแลความปลอดภัยของปวงประชาในหนึ่งแคว้นให้ดี ตัวอยู่ในสนามรบ ก็ต้องเอาชนะสงครามที่อยู่ตรงหน้าให้ได้”
จักรพรรดิผู้ที่แคว้นล่มสลายซึ่งตะโกนก้องคำว่า ‘คุณธรรมน้ำใจ’ หลายต่อหลายครั้งท่านนี้ เรือนกายถึงกับสลายหายไปทันที
หลังจากนั้นเฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่ก็ได้เจอกับคนและเรื่องราวประหลาดอีกมากมาย
คนทั้งสองล่องเรือลำน้อยไปท่ามกลางราตรีแสงจันทร์ เคลื่อนคลอนไปตามกระแสน้ำไม่หยุดนิ่ง จนมาถึงสะพานโบราณแห่งหนึ่งก็เห็นหอเรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ที่แท้ทุกครั้งที่เจอกับลมเย็นและแสงจันทร์ก็จะสามารถมองเห็นเงาร่างล่องลอยของสตรีที่เดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในระเบียงของหอเรือน ท่าทางกลัดกลุ้มทุกข์ระทม นางมักจะโยนเงินและทองลงน้ำบ่อยๆ
จากนั้นห่างไปอีกพันลี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็เห็นคุณชายผู้สง่างามที่เรือนกายมีสีสันคนหนึ่ง เขาอยู่ในตลาดที่เสียงดังจอแจ ให้ข้ารับใช้นั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังของอีกฝ่าย สั่งให้เด็กรับใช้เป่าขลุ่ย สั่งให้บ่าวที่อยู่ใต้ก้นทำท่าบินเหมือนนกกระเรียน บ่าวยืดตัวขึ้นช้าไปเล็กน้อย คุณชายก็เสียใจ ร้องสะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียง พูดพึมพำกับตัวเองว่าไม่ได้เทพธิดามาครอง ก็เป็นเซียนน้ำไปพบคนงามก็แล้วกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตะบึง กระโดดลงไปในสระน้ำที่อยู่ด้านข้าง คงคิดจะฆ่าตัวตาย เพียงแต่กลับถูกพวกบ่าวรับใช้ไปงมตัวขึ้นมา ตัวเปียกซ่กกลายเป็นไก่ตกน้ำ
เฉินผิงอันจึงให้เสี่ยวโม่ทำหน้าที่แทน ช่วยส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้อีกฝ่าย บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญเช่นนี้ ต่อให้จะรักใคร่กันอย่างจริงใจ แต่เฉินผิงอันกลับคร้านจะเป็นคนผูกด้ายแดงให้กับอีกฝ่าย
ต่อมาก็มาถึงกึ่งกลางภูเขาแห่งหนึ่ง มีภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งพาเณรน้อยคนหนึ่งลงจากภูเขา เจอกับสตรีกลางทาง ภิกษุเฒ่าก็เอ่ยแค่ว่าเสือล่างภูเขากินคน ห้ามเข้าใกล้ ต้องหลบเลี่ยงให้ไกล
ระหว่างที่หวนกลับมาในภูเขา เณรน้อยมีสีหน้าเขินอาย ลูบคลำศีรษะโล้นเลี่ยนเล็กๆ ของตัวเอง เอ่ยกับอาจารย์ว่า ไม่ว่าสิ่งใดข้าก็ไม่ต้องการ แค่ต้องการเสือที่กินคนล่างภูเขาตัวนั้น ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัดใจจากมันไม่ได้
เฉินผิงอันกลั้นขำ
ภายหลังกลับไปที่วัดเก่าโทรมในภูเขา ช่วงเวลาที่อากาศเยียบเย็นหนาวเหน็บ ภิกษุเฒ่าถึงกับผ่าเทวรูปไม้ออกมาทำเป็นฟืน โยนเข้าไปในกองไฟเพิ่มความอบอุ่น หันหน้าไปมองบัณฑิตชุดเขียวที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไปร่วมสอบจึงมาขอค้างแรมที่วัดหนึ่งคืน
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ยกับภิกษุว่าท่านทำได้ ข้าทำไม่ได้
ภิกษุเฒ่าจึงถามว่าทำไมถึงจะทำไม่ได้ล่ะ แต่ไหนแต่ไรมาการกราบไหว้พุทธองค์ก็คือการกราบไหว้ตัวเองไม่ใช่หรือ
เฉินผิงอันเพียงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
ดังนั้นม้วนภาพที่อาจารย์และศิษย์ขึ้นเขาลงเขา ภิกษุเฒ่าหวนกลับวัดผ่าเทวรูปมาทำเป็นฟืนจึงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด
สุดท้ายเสี่ยวโม่ทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงอดหันไปพูดกับภิกษุเฒ่าไม่ได้
ภิกษุเฒ่าถึงได้ลุกขึ้นยืม ก้มหัว พนมสิบนิ้วให้กับเสี่ยวโม่
หลังฝนตกพบเจอหญิงชราคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่าขาดแต่ควบขี่ม้า เครื่องประดับม้างามหรูหรา เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
หญิงชราหยุดม้า ถามเสียงอบอุ่นสีหน้าอ่อนโยน “คุณชายจะไปที่ใดหรือ?”
เฉินผิงอันบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติที่นอกเมือง หญิงชราเอ่ยว่า “ระหว่างทางมีน้ำท่วม อีกทั้งยังมีเสือร้ายเป็นภัยอยู่มาก ไม่สู้ติดตามข้าไปพักในเรือนเก่ามอซอ ตะวันขึ้นค่อยออกเดินทางย่อมสบายกว่ามาก”
เฉินผิงอันจึงประสานมือคารวะขอบคุณ
สตรีควบม้าเดินนำคนทั้งสองเข้าไปในเส้นทางเล็กเงียบสงบอย่างเนิบช้า เดินทางกันไปได้ประมาณสามสี่ลี้ก็พอจะมองเห็นแสงตะเกียงในป่า หญิงชราจึงใช้แส้หวดม้าชี้ไปที่แสงไฟ ยิ้มเอ่ยว่าถึงแล้ว
บ้านหลังนี้เรียกได้ว่ามีแค่กำแพงสี่ด้านจริงๆ นอกจากเตียงไม้และโต๊ะตัวหนึ่งก็มีแค่ตะเกียงดวงหนึ่งที่แขวนไว้บนผนัง หญิงชราเงยหน้าขึ้นช้าๆ ลูบผมตรงจอนหู สีหน้าซึมเศร้า ทว่าของที่หญิงชราเอามาใช้รับรองแขกกลับอุดมสมบูรณ์ มีทั้งปลาทั้งเนื้อ ทว่าได้แต่ใช้อ่างแทนกา ทั้งต้องให้เฉินผิงอันกับเสี่ยวโม่หักกิ่งไม้มาแทนตะเกียบ ทั้งปลาทั้งเนื้อและข้าวล้วนเย็นเยียบ คนปกติยากจะกลืนลงคอ แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วไม่นับเป็นอะไรได้
หลังกินข้าวอิ่มแล้วเฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ พื้นดินในห้องขรุขระไม่ราบเรียบ โต๊ะตัวเมื่อครู่นี้ก็เอียงกะเท่เร่ เฉินผิงอันจึงเดินไปที่ป่านอกบ้าน ผ่าฟืนมาทำเป็นท่อนไม้รองไว้ใต้ขาโต๊ะ หญิงชราเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แล้วหญิงชราก็จุดตะเกียงไล่หาแมลง เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามว่าทำไมคนที่ยากจนถึงได้มีอาหารรับรองแขกอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ เพียงแค่หยิบกระบอกยาสูบออกมาแล้วเริ่มพ่นควันโขมง หญิงชราจ้องหน้าเขานิ่งอยู่หลายครั้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันถาม “ขอถามหมัวมัว ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใด?”
ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระโชกเลือดใบหนึ่ง มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโลงศพ เลิกหนวดพรูลมหายใจออกแรงๆ คนทรยศถูกฆ่าแล้ว
จากนั้นจอมยุทธผู้กล้าก็แกะห่อสัมภาระออก ด้านในบรรจุศีรษะที่โชกไปด้วยเลือด ขว้างออกไปอย่างแรงจนมันกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น ก็คือศีรษะของบุรุษโลเลผู้นั้น
ผีสาวที่ป้วนเปี้ยนอยู่นอกอารามน้ำตากลบดวงตา ยอบกายคารวะผู้กล้าที่ควบม้าจากไปด้วยความซาบซึ้งใจถึงขีดสุด ก่อนจะหันกายไปทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์สองท่านที่อยู่ในอาราม คุกเข่าก้มลงกราบขอบคุณ
หลังจากนั้นสถานะก็เปลี่ยนไป กลายมาเป็นปัญญาชนสองคนที่ออกเดินทางไปเที่ยวหาสหาย
บ้านของสหายคนนั้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เล่าลือกันว่ามีเรือนผีแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ทุกค่ำคืน บนผนังสีอ่อนล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลนทับถม ใบหน้าแสยะดุร้าย
มีพ่อค้าคนหนึ่งติดต่อกับขุนนางชั้นผู้น้อยเป็นการส่วนตัว ใช้ทางลัดเล่นไม่ซื่อกับสัญญาเช่าบ้าน เปลี่ยนบ้านหลังนั้นให้กลายเป็นของส่วนตัว ผลคือกลายเป็นเผือกร้อนลวกมือ
ต้องเชิญนักพรตมาทำพิธี เชิญภิกษุสมณศักดิ์สูงมาด้วย แต่ก็ยังไม่เป็นผล กลับกลายเป็นถูกผีร้ายเล่นงานแทน ยิ้มเอ่ยว่า ‘ผู้ที่มีมรรคา มีฝีมือแค่นี้เองหรือ?’
ภายหลัง ‘สหาย’ คนนั้นของพวกเฉินผิงอันต่างก็ไม่ยอมเชื่อ วิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่คิดว่าตัวเองอ่านตำราอริยะปราชญ์มาจนเต็มอิ่ม ทั้งยังเป็นขุนนาง ไยต้องกลัวสิ่งนี้ จึงพกเอาตำราอริยะปราชญ์หลายเล่มและตราประทับทางการหนึ่งชิ้น หมายจะไปนอนพักค้างแรมอยู่ที่นั่น ผลคือถูกหลอกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็ต้องเผ่นหนีกลับมาอย่างหัวซุกหัวซุน เป็นเหตุให้ล้มป่วย ต้องพักฟื้นรักษาตัวหลายสิบวันกว่าจะหายดี เห็นเพื่อนรักสองคนก็บอกแค่ว่าผีร้ายนั่นร้ายกาจจริงๆ ไม่รู้เลยว่าใต้หล้านี้จะมีใครที่กำราบมันได้
เฉินผิงอันจึงพาเสี่ยวโม่ไปที่เรือนผีตอนกลางคืน เดินเล่นอยู่ด้านใน ภาพประหลาดน่าขนพองสยองเกล้าที่อยู่บนผนัง และยังมีเสียงความเคลื่อนไหวที่น่าขนลุกพวกนั้น พวกเขาทำเพียงว่าไม่เห็นไม่ได้ยิน
เสี่ยวโม่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ อีกมือหนึ่งไพล่หลัง จู่ๆ ก็พลันเบิกตากว้างจ้องตากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดบนผนัง ฝ่ายหลังเหมือนจะถูกเจ้าหมอนี่ทำให้ตกใจแทน เสี่ยวโม่ถึงได้หันหน้ากลับมา ยิ้มถามว่า “คุณชาย จะทำอย่างไรดี? วิชาอภินิหารเวทกระบี่ของพวกเรา อยู่ที่นี่ก็เห็นได้ชัดว่าเอามาใช้ไม่ได้ แล้วจะกำจัดปีศาจปราบมารได้อย่างไร? หรือว่าควรจะใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง? หรือจะจ่ายเงินซื้อโฉนดที่ดินมาจากมือของพ่อค้าคนนั้น แล้วพวกเราค่อยแปะป้ายผนึกลงไปบนประตูใหญ่?”
เฉินผิงอันเอนหลังพิงเสาระเบียง สองมือกอดอก มองผนังแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เส้นทางในใต้หล้า หยินหยางมีความต่าง มืดสว่างอยู่คนละเส้นทาง คนเขลาเบาปัญญาก็ได้แต่เป็นทุกข์ ขอแค่สามารถเคารพผีและเทพอยู่ไกลๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่เป็นปัญหาแล้ว”
ทางฝั่งของผนังมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังลอยมา สตรีสวมชุดสีสันสดใสผู้หนึ่ง มวยผมทรงเมฆาประดับด้วยเครื่องประดับงดงามเดินนวยนาดออกมาจากในผนัง พลิ้วกายลงบนพื้น “ประโยคนี้ของท่านอาจารย์มากพอจะปลอบใจคนได้แล้ว”
ผีหญิงพลันคลี่ยิ้มหวานดุจบุปผาเบ่งบาน “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้บ่าวได้พาพวกคุณชายไปยังพื้นที่ที่ร้อยบุปผาบานสะพรั่งด้วยเถิด”
เมื่อประตูบนผนังเปิดออก สตรีก็เดินนำเข้าไปข้างในก่อน หันหน้ามากวักมือเรียก
เสี่ยวโม่อดไม่ไหวถามว่า “วกวนอ้อมค้อมเช่นนี้ ต้องการอะไรกันแน่?”
สหายท่านนั้นแสดงเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อยู่ตลอด คิดจะทำอะไร
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!