เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรือไปถึงสะพานย่อมต้องจอด ก็ถือเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวที่เดินชมนกชมไม้ไปตลอดทางก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าไปถึงพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแล้ว
ตลอดทางมีบุปผาพืชพรรณแปลกตาอยู่มากมาย เมื่อเข้าคู่กับสตรีที่ยืนอยู่ก็มีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป หลากหลายรูปแบบ
สุดท้ายก็มาถึงตำหนักใหญ่ที่งดงามแห่งหนึ่ง นอกตำหนักมีเด็กสาวที่คล้ายจะแจ้งชื่อของ ‘ปัญญาชนในโลกมนุษย์’ สองท่านอย่างพวกเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับการร้องเพลง
เด็กสาวคนนั้นอายุแค่ประมาณสิบสี่สิบห้าปี ขยับตัวอย่างชดช้อยอรชร เรือนกายบอบบาง มิอาจต้านทานลม ขยับตัวทีก็ราวกับจะได้ยินเสียงข้อต่อกระดูกลั่น
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินข้ามธรณีประตูมาแล้วก็มองไปยังฮูหยินที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูง รูปลักษณ์ของนางสุภาพสง่างาม บนศีรษะสวมมงกุฎสีเขียวมรกต รูปร่างคล้ายมงกุฎของนางสนมในวังหลัง
ในตำหนักมีสาวใช้อยู่หลายสิบคน ทุกคนล้วนเป็นสาวงามล่มเมือง
ผลคือฮูหยินที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานบอกว่าพวกเจ้าสองคนต่างก็เป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ นางจึงอยากจะขอฟังบทกลอนประชันเพลงจากพวกเขา
เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้า คือเหล้าร้อยบุปผาประเภทหนึ่ง พอได้ยินว่าต้องแต่งกลอนประชันเพลงก็บอกให้เสี่ยวโม่ทำแทน
เจ้าตัวดี เสี่ยวโม่ไม่ตื่นเวทีแม้แต่น้อย ยกจอกลุกขึ้นยืน ท่องบทกวีที่พรรณนาถึงพืชพรรณบุปผาซึ่งสอดคล้องกับบรรยากาศหลายสิบบท อีกทั้งยังเป็นบทรวมกวีที่เสี่ยวโม่เอาตรงโน้นมาประติดประต่อกับตรงนี้
ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้ยินถึงกับก้มหน้ากุมขมับ ไม่กล้ามองหน้าใคร
สตรีเหล่านั้นกลับให้การสนับสนุนดีมาก ทำท่าตกตะลึงอึ้งทึ่ง ราวกับยอมศิโรราบให้กับความรู้ความสามารถของเสี่ยวโม่แล้ว
สุดท้ายเสี่ยวโม่ก็ช่วยตบตาจนผ่านด่านไปได้จริงๆ
ในมือคนทั้งสองยังถือจอกเหล้า เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “รู้สึกยังไม่สาแก่ใจพอเลย”
เฉินผิงอันโยนจอกเหล้าที่กลิ่นเครื่องประทินโฉมค่อนข้างฉุนในมือใบนั้นให้เสี่ยวโม่ แล้วตบไหล่ของเสี่ยวโม่หนึ่งที “วันหน้าถามกระบี่กับคนอื่นให้มาก ประชันบทกลอนกับคนอื่นให้น้อย”
เข้ามาอยู่ในตลาดที่จอแจแห่งหนึ่งแล้ว มีผู้เฒ่าแบกหาบขายดอกไม้ สีแดงสีขาวมองดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู ตอนกลางวันที่แสงแดดอบอุ่นสาดส่อง ผู้เฒ่าปลดคานหาบบนบ่าลง หยิบพัดออกมาเล่มหนึ่ง โบกพัดพัดเอาลมเย็นๆ ต่อให้จะไม่พูดถึงว่าผู้เฒ่าคือบุคคลที่มีสีสัน พูดถึงแค่พัดพับในมือก็ไม่เหมือนของที่จะอยู่ในมือของคนจากหมู่บ้านชนบทได้เลยจริงๆ ด้านบนหน้าพัดคือกลอนบทหนึ่ง ตัวอักษรงดงาม แต่ละคำประดุจดั่งสาวงามที่ใช้ความคิดลึกซึ้ง ช่วงท้ายของหน้าพัดยังมีการลงนามไว้ด้วย
เฉินผิงอันตบไหล่เสี่ยวโม่หนักๆ อีกครั้ง
เสี่ยวโม่ทำหน้าคลางแคลง
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไหนบอกว่ายังไม่สาแก่ใจมากพออย่างไรเล่า? บังเอิญนัก ท่องเนื้อหาในตำรามามากมายขนาดนั้น ความรู้มีอยู่เต็มท้อง วิสัยทัศน์อันกว้างไกลอุดมสมบูรณ์ ต่อจากนี้ก็มีพื้นที่ให้ใช้งานแล้ว”
ใบหน้าของเสี่ยวโม่เต็มไปด้วยความกังขาไม่เข้าใจ แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าเขาแกล้งโง่เสียมากกว่า จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่ามัวอึ้งอยู่สิ รีบไปถามประวัติความเป็นมาของพัดจากท่านลุง ข้าจะแกล้งทำเป็นผู้ติดตามของเจ้า เจ้าก็บอกไปว่าตัวเองคือบัณฑิตที่เข้าเมืองหลวงมาสอบ ไม่แน่ว่าอาจมีค่ำคืนเข้าหอชื่นมื่นรอเจ้าอยู่ก็ได้นะ”
เสี่ยวโม่มองหน้าพัดแล้วขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะส่ายหน้า “บทกลอนของคุณหนูท่านนี้เขียนได้…ฝีมือสูสีกับเสี่ยวโม่จริงๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เสี่ยวโม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน! นิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่อ่านมามากมายขนาดนั้นล้วนอ่านมาอย่างเสียเปล่าหรือ? เรื่องอย่างบทกวีคำร้องนี้ การชื่นชมบทกวีของกันและกันในนิยายจะต้องทำให้ดีถึงขีดสุด ในเมื่อสร้างภาพลักษณ์ของบุรุษมากความสามารถกับสาวงาม ก็ต้องบรรยายไว้ว่าบทกวีของพวกเขาเขียนได้ดีเพียงใด เหล่านักเขียนนิยายยังต้องเขียนบทกวีดีๆ แทนพวกเขาอีกหลายบทด้วย”
เสี่ยวโม่พลันรู้สึกหัวโตเท่ากระด้ง
จากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณชายพูดจริงๆ เขาเกือบจะต้องร่วมหอใต้แสงเทียนกับหญิงสาวอายุน้อยนางหนึ่งแล้ว แต่สุดท้ายก็ใช้การที่สองฝ่ายแลกเปลี่ยนของแทนใจกัน ถือเป็นการมอบคำอธิบายให้จึงผ่านด่านนี้ไปได้
เห็นว่าสีหน้าของคุณชายค่อนข้างเคร่งเครียด เสี่ยวโม่ก็รีบใช้เสียงในใจเอ่ยทันทีว่า “คุณชาย คือแผนเล่นงานอย่างลับๆที่ต่อเนื่องกันหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “ไม่ถือเป็นแผนลับ แต่เป็นแผนการอย่างเปิดเผย”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ได้กลายมาเป็นจักรพรรดิของแคว้นที่ผาสุกแห่งหนึ่ง ทว่าการกระทำของเขากลับเหลวไหลบิดเบี้ยว ถึงกับมอบตำแหน่งจ้วงหยวนหญิงให้กับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์มีไหวพริบ แขกพากันมาหามากมาย คนที่มาขอบทประพันธ์ขอน้ำหมึกมีไม่ขาดสาย ระหว่างนั้นเด็กสาวได้พบกับบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งที่รอคอยอยู่ด้านล่างหอเรือนอย่างยากลำบาก เนื่องจากเขาขากะเผลก นางจึงเลือกใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ ค่อนแคะไปคำรบหนึ่ง บัณฑิตมีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูง แต่กลับมีความรู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ จึงไม่รู้ความนัยเสียดสีของเด็กสาว ตอนที่เหล่าสหายมานั่งกันเต็มห้องโถง เขาก็ยังลำพองใจ ผลคือถูกคนเปิดโปงความลับ จึงกลายเป็นตัวตลกสำหรับทุกคน นับแต่นั้นมาจึงเกิดความอาฆาตแค้นในหัวใจ ขว้างจอกเหล้า คำรามเดือดดาลว่า บุตรสาวของอัครเสนาบดีที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนางรังแกบุตรชายของอัครเสนาบดีที่ตายไปแล้วอย่างข้างั้นหรือ?
คนผู้นี้วางแผนไม่หยุด สร้างเรื่องให้ตระกูลของเด็กสาวเกิดหายนะติดต่อกันหลายครั้ง โชคดีที่บิดาของนางอยู่ในตำแหน่งสูงมีอำนาจมาก สถานะสูงศักดิ์เป็นถึงขุนนางหลักของกรมขุนนาง อีกทั้งยังเป็นผู้นำของฝ่ายน้ำใส แต่กระนั้นกว่าจะสยบคลื่นลมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย รอกระทั่งมีวันหนึ่งคุยเรื่องนี้กับบุตรสาวต่อหน้า ใต้เท้าเจ้ากรมถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุที่วกวนนี้ หลังจากนั้นก็ได้ป่าวประกาศหาลูกเขยให้กับบุตรสาว ในตระกูลจึงเท่ากับว่ามีลูกเขยที่ถูกใจเพิ่มมาคนหนึ่ง หลังจากนั้นพ่อตากับลูกเขยก็ร่วมมือกันเล่นงานเจ้าคนที่วางแผนชั่วร้ายซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีที่ตายไปแล้ว ตามหลักแล้วจุดจบย่อมต้องเป็นอธรรมมิอาจเอาชนะธรรมะ คนดีได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ทว่าจักรพรรดิซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างเฉินผิงอันกลับทำเพียงแค่มองเรื่องวุ่นวายพวกนี้อย่างดูดาย ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญไม่ได้เอ่ยประโยคทวงความเป็นธรรมให้กับใต้เท้าเจ้ากรมขุนนางที่ต้องติดคุก และยิ่งไม่ได้ออกพระราชโองการช่วยชีวิตจ้วงหยวนที่ถูกเนรเทศไปไกลพันลี้ เพียงแค่ว่าก่อนที่เด็กสาวในอดีต ภรรยาของผู้อื่นในปัจจุบันจะกลายเป็นหญิงคณิกาในสถานเริงรมย์ เขาได้ออกโองการลับฉบับหนึ่ง จากนั้นเดินทางออกจากวังหลวง ฮ่องเต้เรียกบุรุษขาเป๋ที่เป็นคนวัยกลางคนแล้วมา มองหอซิ่วโหลวที่อยู่ห่างไปไกลร่วมกับฝ่ายหลัง ฮ่องเต้ถามบุรุษคนนั้นว่า หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เจ้าอยู่ที่นี่ ในใจคิดอะไรอยู่ ทุกวันนี้เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังจำได้อยู่หรือไม่?
บุรุษขาเป๋พยักหน้า บอกว่าตัวเองจดจำได้อย่างชัดเจน
หลังจากนั้นฮ่องเต้ที่ได้รับคำตอบที่แท้จริงก็ไปที่คุก มองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่โขกหัวไม่หยุดโดยมีลูกกรงเหล็กกั้นขวาง ‘ฮ่องเต้’ ทรุดตัวลงนั่งยอง ถามใต้เท้าขุนนางคนสำคัญผู้นี้ว่ายังจำประโยคที่เอ่ยในปีนั้นได้หรือไม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!