เรือเฟิงยวนขยับเข้าใกล้ภูเขาเซียนตูแล้ว
เซียนเหรินกั่วหรานที่ได้ฉายาว่า ‘หลงเหมิน’ แห่งภูเขาต้นไม้เหล็กเดินเล่นไปตามขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้รอบภูเขาเซียนตูแล้ว ทุกหนทุกแห่งมีเพียงกำแพงหักพัง สภาพทรุดโทรมเสื่อมถอย ซากปรักรอวันได้รับการฟื้นฟู
ทะยานลมกลับมาที่ยอดเขามี่เซวี่ย กั่วหรานเห็นว่าลูกศิษย์กำลังนั่งคุยอยู่กับเจิ้งโย่วเฉียนบนราวรั้วของดาดฟ้าชมทัศนียภาพแห่งหนึ่ง
คงเป็นเพราะสอดคล้องกับคำโบราณที่บอกว่าสตรีมักจะคิดถึงแต่เรื่องออกเรือน ถานอิ๋งโจวกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจิ้งโย่วเฉียนว่า เจ้าทำเรื่องอะไรๆ ไม่ได้ความ มีเพียงเรื่องของการหาอาจารย์อาน้อยเท่านั้นที่เก่งกาจกว่าใคร
ศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายของกั่วหราน แม้แต่ตัวเขาเอง แน่นอนว่าต้องเป็นอาจารย์อาอาจารย์ลุงของผู้ฝึกตนหลายคนของภูเขาต้นไม้เหล็ก
กั่วหรานไม่อยากให้ลูกศิษย์รู้สึกลำบากใจ จึงพลิ้วกายลงบนหลังคาเรือนหลังหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เป็นอาจารย์เป็นได้ถึงขั้นนี้ ก็มีให้เห็นไม่มากจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนเหรินทั่วไป เซียนผีอวี่จิ่นมองไม่เห็น แต่กั่วหรานกลับเห็นอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาอวิ๋นเจิงและภูเขาโฉวโหมวที่เป็นสถานการณ์สามภูเขาร่วมกับภูเขาเซียนตู กั่วหรานสามารถมองทะลุเวทอำพรางตาไปได้ อักษรบนป้ายศิลาสองป้ายที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เขาก็เห็นอย่างแจ่มชัด
ชุยตงซานหดย่อพื้นที่เดินหนึ่งก้าวมาถึงข้างกายกั่วหราน ยิ้มเอ่ยว่า “สหายหลงเหมินสายตาดี”
กั่วหรานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่อาจควบคุมดวงตาตัวเองให้ดี ล่วงเกินแล้ว”
ชุยตงซานโบกมือยิ้มเอ่ย “สหายหลงเหมินพูดแบบนี้ช่างห่างเหินกันเกินไปแล้ว”
กั่วหรานกวาดตามองรอบด้าน อดไม่ไหวเอ่ยชื่นชมว่า “ก่อภูเขาก่อก้อนหิน ถือเป็นความรู้อีกอย่างหนึ่งแล้ว ตามความเห็นของข้า นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่ากลางอกมีร่องลึก (เปรียบเปรยว่ายามที่วาดภาพหรือประพันธ์ผลงาน ในใจเข้าใจถึงแนวคิดอันลึกซึ้ง) เหมือนกัน แต่อันที่จริงกลับยากยิ่งกว่าการวาดภาพเสียอีก เคลื่อนย้ายภูเขาหลายลูก ย้ายแม่น้ำหลายสาย นำมาประกบประกอบกันเป็นภาพที่ขุนเขาสายน้ำแอบอิงก็ไม่ได้ยาก แต่ยากตรงการเสริมเติมอย่างไร้ร่องรอย มหามรรคาของแต่ละฝ่ายสอดคล้องต้องกัน พูดถึงแค่บนยอดเขามี่เซวี่ยแห่งนี้ ดิน น้ำ เส้นทาง ต้นไม้ใบหญ้า เมฆหมอกล่องลอย ตอนนี้มองดูเหมือนหยาบมาก แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีสิ่งใดที่ไม่ยอดเยี่ยม รอให้วันหน้าทุ่มเทความคิดอีกสักเล็กน้อย ย้ายพืชพรรณมาปลูก เว้นระยะชิดห่างตรงลาด สูงต่ำเข้มจาง จัดวางให้เหมาะสม ก็จะกลายเป็นสถานที่ที่ขุนเขาสายน้ำงดงามแห่งหนึ่งแล้ว”
“สหายหลงเหมินชมเกินไปแล้ว”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย โคลงศีรษะยิ้มเอ่ย “พูดถึงความยิ่งใหญ่ของภาพบรรยากาศก็มิอาจเทียบกับภูเขาใหญ่แสนลี้ของเฒ่าตาบอดได้ พูดถึงความยอดเยี่ยมในจุดที่ละเอียดอ่อน บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีพ่อครัวเฒ่าอยู่คนหนึ่ง เขาต่างหากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง”
กั่วหรานหลุดหัวเราะพรืด
ก็เหมือนกับชื่นชมคนผู้หนึ่งว่าเขียนบทกวีได้ยอดเยี่ยม ผลคือคนที่ถูกชมดันบอกว่าตัวเองสู้ป๋ายเหย่ ซูจื่อไม่ได้
นี่ยังจะให้คนเขารับคำอย่างไรได้อีก?
ชุยตงซานมองไปยังทิศไกล เรือเฟิงยวนกำลังจะจอดเทียบท่า เขาจึงเอาสองมือตบหลังคา ไถลก้นพ้นไปจากหลังคา สุดท้ายพลิ้วกายลงบนดาดฟ้าชมทัศนียภาพ
เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้ เจิ้งโย่วเฉียนและถานอิ๋งโจวต่างก็เรียกขานเขาด้วยคำแบบเดียวกัน เจ้าสำนักชุย
ชุยตงซานผงกศีรษะให้กับแม่นางน้อย จากนั้นหันไปมองเจิ้งโย่วเฉียน บ่นว่า “เรียกเจ้าสำนักอะไร เรียกศิษย์พี่เล็กสิ!”
เจิ้งโย่วเฉียนจึงได้แต่เปลี่ยนคำเรียกขานใหม่
อยู่กับเจ้าสำนักชุยที่นิสัยตามแต่ใจและคำพูดคำจายังตลกขบขัน อันที่จริงเจิ้งโย่วเฉียนไม่ได้ขัดเขินมากนัก
ชุยตงซานบอกลาหนึ่งคำ เรือนกายก็กลายเป็นรุ้งขาวเส้นหนึ่งที่ตรงดิ่งไปยังเรือเฟิงยวน
เห็นคู่อาจารย์และศิษย์อย่างหลิวจิ่งหลงและป๋ายโส่ว ชุยตงซานก็ยิ้มเอ่ยทักทาย “เจ้าสำนักหลิว น้องป๋าย”
ป๋ายโส่วเห็นว่ามีแค่ชุยตงซาน ไม่มีใครบางคนก็พลันถอนหายใจโล่งอก ยิ้มพลางกุมหมัด ไม่ได้เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับชุยตงซานอย่างที่หาได้ยาก แต่เรียกอีกฝ่ายว่า “เจ้าสำนักชุย” อย่างรู้ระเบียบกฎเกณฑ์
ชุยตงซานพลันประสานมือคารวะหลิวจิ่งหลง “เจ้าสำนักหลิวลำบากแล้ว ลำบากแล้ว”
หลิวจิ่งหลงได้แต่คารวะกลับคืน
เรื่องที่หมี่อวี้ปิดด่านกะทันหัน ก่อนหน้านี้ทางฝั่งของเรือเฟิงยวนได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังยอดเขามี่เซวี่ยแล้ว
ชุยตงซานใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าสำนักหลิวปิดด่านเมื่อไหร่?”
หลิวจิ่งหลงตอบตามสัตย์จริง “ตอนนี้ยังบอกได้ยาก”
แน่นอนว่าชุยตงซานต้องใส่ใจเรื่องนี้มาก
วันหน้าอาจารย์ไปอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว หากจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ คนที่จะไม่ลังเลที่สุด อีกทั้งศักยภาพก็มากพอจะเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ได้มากที่สุด นอกจากอาจารย์แม่แล้วก็ต้องเป็นหลิวเสี้ยนหยางและหลิวจิ่งหลงแล้ว
บางทีอาจเพิ่มจางซานเฟิงเข้าไปอีกคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าศิษย์เอกของยอดเขาพาตี้ผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่รีบร้อนกับเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตเลยจริงๆ
พาคนทั้งกลุ่มเดินลงเรือไปด้วยตัวเอง ชุยตงซานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงนวดคลึงปลายคาง จะถือว่าไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิวแต่ต้นหลิวเติบใหญ่ให้ร่มเงาหรือไม่?
สำนักกระบี่ชิงผิงของบ้านตน
สำนักกระบี่หลงเฉวียนของหลิวเสี้ยนหยาง สำนักกระบี่ไท่ฮุยของหลิวจิ่งหลง
บวกกับสำนักกระบี่หลงเซี่ยงและทะเลสาบกระบี่ฝูผิง?
แต่ตอนนี้ชุยตงซานก็สงสัยใคร่รู้ในเรื่องหนึ่ง ทำไมจางซานเฟิงถึงยังไม่มาเสียที
ถานหรงผู้คุมกฎของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานก็อยู่ที่ภูเขาเซียนตูแล้ว อยู่ที่จวนบนยอดเขามี่เซวี่ย รู้ว่าเจ้าขุนเขาบ้านตนถามหมัดกับเฉินอิ่นกวานไปรอบหนึ่งก็ถึงกับสามารถเลื่อนจากชั้นปราณโชติช่วงของขอบเขตปลายทางเป็นชั้นคืนความจริงได้สำเร็จ ถานหรงก็กุมหมัดเอ่ยแสดงความยินดีว่า “ยินดีกับเจ้าขุนเขาด้วย”
น่ายินดีอย่างมากจริงๆ ผู้ฝึกยุทธเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทาง เดิมทีก็จะขาดไม่ได้ทั้งพรสวรรค์ ฐานกระดูกและโชควาสนา และชั้นปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือนของขอบเขตปลายทาง หากคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตก็ยากยิ่งกว่ายากเข้าไปอีก
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้าเอ่ย “ต้องยกคุณความชอบให้กับการช่วยเหลือของเซียนกระบี่เฉิน น้ำใจใหญ่เทียมฟ้านี้ ไม่ต้องให้ผูซานชดใช้คืน ข้าจะคิดเองว่าควรทำอย่างไร”
ถึงอย่างไรนางก็จะรับหน้าที่เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตูอยู่แล้ว อีกทั้งตนยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ต้องไม่ขาดโอกาสที่จะชดใช้น้ำใจส่วนนี้คืนอย่างแน่นอน
ถานหรงนึกความลับเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามว่า “อยู่ดีๆ ศาลบรรพจารย์ก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพิ่มมาคนหนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ที่แท้ก็มีเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งใช้นามแฝงว่าชุยว่านจ่าน ได้ใช้วิธีการที่ไม่สะดุดตากลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนใหม่ล่าสุดของเรือนอวิ๋นฉ่าวภายใต้การจัดการอย่างลับๆ ของถานหรง ป่าวประกาศแก่ภายนอกว่าชุยว่านจ่านคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตหกคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ถานหรงได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งจากเย่อวิ๋นอวิ๋น แม้ว่าผู้คุมกฎศาลบรรพจารย์ท่านนี้จะมึนงงอยู่มาก ทว่าก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง เรื่องแบบนี้ตามหลักแล้วไม่ถือว่าสอดคล้องกับกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์เลย
รอกระทั่งมาถึงยอดเขามี่เซวี่ยภูเขาเซียนตู ถานหรงถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นถึงกับเป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องถามแล้ว”
ถานหรงถลึงตาใส่ คิดจะซักไซ้ให้ถึงที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คิดว่าผู้คุมกฎผูซานอย่างข้าเป็นแค่เครื่องประดับจริงๆ หรือไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!