เหยาเซียนจือผลักประตูเดินเข้าไป เดินกะเผลกๆ ไปนั่งลงข้างโต๊ะ ใต้เท้าเจ้าเมืองเพิ่งจะได้รับรายงานฉบับหนึ่งที่มาจากนครเซิ่นจิ่งจึงวางรายงานฉบับนั้นลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านปู่ ราชวงศ์สกุลอวี๋แห่งนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ทุกวันนี้ฮ่องเต้ผู้เฒ่ายังไม่ทันจากไป ทางฝั่งของกรมพิธีการก็เริ่มลงมือทำเรื่องหนึ่งอย่างลับๆ แล้ว รอแค่ให้รัชทายาทอวี๋หลินโหยวขึ้นครองราชย์ก็จะเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นรัชศกเสินหลง (มังกรเทพ) ทันที ดูเหมือนว่าจะเป็นผลลัพธ์จากการที่หลวี่ปี้หลงเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของอารามจีชุ่ยปรึกษากับกองโหราศาสตร์ ไม่เสียแรงที่เป็นราชวงศ์สกุลอวี๋ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนครมังกรเฒ่า ดีดลูกคิดกันเก่งมากเลย”
แม่ทัพผู้เฒ่าหัวเราะ “ไม่ถือว่าเป็นการเยินยอผู้ไร้อำนาจในวงการขุนนาง กลัวก็แต่ว่าจะเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นนึกอยากแสดงฝีมือแต่กลับเป็นการปล่อยไก่”
สุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาที่มารับหน้าที่ใหม่คือหวังจูมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลก ราชวงศ์สกุลอวี๋ใช้ชื่อรัชศกอย่าง ‘เสินหลง’ นี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการแสดงความเป็นมิตรอย่างไม่มีปิดบัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตบินทะยานแห่งแจกันสมบัติทวีปที่เต็มไปด้วยเรื่องราวตระการตาน่าสนใจผู้นั้นจะยอมรับไมตรีในส่วนนี้หรือไม่
ผู้เฒ่าหยิบรายงานขึ้นมา กวาดตามองอยู่สองสามทีก็ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกวันนี้รัชทายาทของสกุลอวี๋ผู้นั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว มีหวงซานโซ่วที่เป็นแม่ทัพใหญ่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ในเมืองหลวงก็มีอารามจีชุ่ย บนภูเขายังมีพรรคชิงจ้วน อีกทั้งยังตีสนิทกับนครมังกรเฒ่าทางเหนือได้ รอให้เปลี่ยนจักรพรรดิพระองค์ใหม่ กองกำลังแคว้นพัฒนารุ่งโรจน์ขึ้นก็จะเป็นเรื่องที่แนวโน้มสถานการณ์พาไปแล้ว”
เหยาเซียนจือเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่ามีความรู้สึกที่ไม่ดีนักต่ออารามจีชุ่ยและพรรคชิงจ้วน พอสงครามเกิดขึ้น พวกเขาก็เผ่นหนีกันเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก อาศัยวิชาเต่าหดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
ผู้เฒ่าพับรายงานฉบับนั้นกลับไว้ดังเดิมแล้วมอบให้หลานชาย เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าได้ดูแคลนคนที่ไม่เห็นศักดิ์ศรีหน้าตาสำคัญแม้แต่น้อยพวกนี้ หนึ่งเพราะการมีเรื่องกับพวกเขาง่ายมากที่จะทำให้เสียเรื่อง อีกอย่างเจ้าก็จำต้องยอมรับว่าหลายๆ เรื่องก็มีเพียงคนถ่อยและวิญญูชนจอมปลอมเท่านั้นที่ทำสำเร็จได้ วิญญูชนผู้เที่ยงตรงกลับกลายเป็นว่ามิอาจทำได้”
เห็นว่าเหยาเซียนจือไม่เห็นเป็นสำคัญแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าก็ถอนหายใจ “สิ่งที่ทำลายบทความคุณธรรมได้มิใช่บทความคุณธรรมที่ดีกว่า แต่เป็นเกร็ดประวัติพงศาวดารต่ำช้าที่เป็นการตามลมไล่จับเงา ส่วนใหญ่แล้วเลือดเนื้อและจิตใจของนักประพันธ์ที่เขียนได้ยาวหลายแสนตัวอักษรไม่มักจะมิอาจต้านทานนิยายรักใคร่ที่มีความยาวแค่ไม่กี่ร้อยตัวอักษรของโลกยุคหลังได้เสมอ”
สีหน้าของเหยาเซียนจือกลัดกลุ้ม เพราะไพล่นึกไปถึงฮ่องเต้ นิยายรักประโลมโลกหลายเล่มฉบับชาวบ้านจัดพิมพ์เป็นการส่วนตัว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังสั่งห้ามไม่ได้ โชคดีที่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ‘บรรยากาศคึกคัก’ ของก่อนหน้านี้ที่ปัญญาชนแทบจะมีในครอบครองกันคนละเล่ม หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไปก็ถือว่าเพลาๆ ลงกันมากแล้ว ต้องรู้ว่าปีนั้นช่วงเวลาที่เกินกว่าเหตุมากที่สุดคือแม้แต่ขุนนางบุ๋นที่ทำงานอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ยังอ่านหนังสือพวกนี้ แค่เปลี่ยนปกหนังสือเท่านั้น
เหยาเจิ้นยิ้มเอ่ย “วงการขุนนางไม่เหมือนการศึกษาวิชาความรู้ จะใช้วิญญูชนกับคนถ่อยอย่างไรคือความรู้ที่ใหญ่มากเรื่องหนึ่ง ใช้คนได้ดีที่สุดก็ถูกเรียกขานว่า ‘บรรลุถึงขั้นสุดยอด’ บางทีก็น่าจะหมายถึงศิษย์พี่ใหญ่คนนั้นของเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเอาแต่คิดว่าขุนนางบุ๋นบู๊ต้าหลีต่างก็เป็นผู้เที่ยงตรง เป็นผู้รอบรู้ที่ไร้ความเห็นแก่ตัว เป็นขุนนางที่มากความสามารถมาตั้งแต่เกิดก็คงไม่ได้กระมัง?”
เหยาเซียนจือนวดคลึงปลายคาง “หากว่าข้าสามารถเป็นเหมือนอาจารย์เฉินที่มีศิษย์พี่ที่คิดอ่านรอบคอบเช่นนี้ จุ๊ๆ”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เจ้าน่ะยืนพูดไม่ปวดเอว อันที่จริงการมีศิษย์พี่ที่เป็นเช่นนี้จะมีแรงกดดันมาก ไม่ต้องพูดถึงว่ามีศิษย์พี่อย่างซิ่วหู่อะไรแล้ว เหมือนอย่างสวนลมฟ้าของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากหลิวป้าเฉียวไม่มีศิษย์พี่อย่างหวงเหอ ไม่แน่ว่าทุกวันนี้เขาอาจเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบไปแล้ว พอหลี่ถวนจิ่งจากไป แล้วเขารับช่วงต่อเป็นเจ้าสวน ก็ไม่มีเวลาให้เขาได้พักหายใจหายคอแล้ว มิอาจเกียจคร้านในการฝึกกระบี่แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็เพราะว่ามีหวงเหอ หลิวป้าเฉียวถึงได้ไม่มีความคิดจิตใจที่จะรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญโดยไม่กลัวอุปสรรคใดๆ ข้าเชื่อว่าการที่หวงเหอเดินทางไปเยือนสนามรบของเปลี่ยวร้าง นอกจากจะเพราะตัวเองอยากไปฝึกกระบี่ที่นั่นจริงๆ แล้วก็เพื่อต้องการมอบแรงกดดันให้กับหลิวป้าเฉียวด้วยส่วนหนึ่ง”
ตระกูลแห่งหนึ่ง พรรคแห่งหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อคนคนหนึ่งโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป คนอื่นๆ ที่เหลือย่อมหม่นแสงลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนข้างๆ หากไม่เกิดความเฉื่อยชาเอาแต่นอนอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ ก็ง่ายที่จะปลุกกำลังใจความกล้าขึ้นมาได้อีก
ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเหยาของพวกเขา ไยจะไม่ใช่หลักการเหตุผลเดียวกันนี้
เหยาเซียนจือถามหยั่งเชิง “ท่านปู่ ท่านจะไม่เกลี้ยกล่อมอาจารย์เฉินอีกสักหน่อยจริงๆ หรือ?”
หากว่าท่านปู่ตัดสินใจเด็ดขาด พยายามเกลี้ยกล่อมให้อาจารย์เฉินมารับหน้าที่เป็นราชครูของราชวงศ์ต้าเฉวียนอย่างเต็มที่ ไม่กล้าพูดว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน แต่สุดท้ายก็ยังพอจะมีความหวังอยู่หลายส่วน
ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “แก่แต่ไม่ยอมตายก็คือโจร อาศัยว่าเป็นผู้อาวุโสมาบังคับคนอื่นก็ยิ่งน่ารังเกียจ ทำเรื่องที่งดงามเอาไว้ให้มาก ทำเรื่องที่คนอื่นลำบากใจให้น้อย”
เหยาเซียนจือรู้ว่าท่านปู่ตัดสินใจดีแล้วจึงไม่พูดอะไรมากอีก
คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะยิ้มเอ่ยมาว่า “อีกอย่างจะต้องการชื่อเสียงจอมปลอมไปเพื่ออะไร หากว่าต้าเฉวียนเจอกับด่านยากอะไรจริงๆ ยังจะต้องให้เจ้าเป็นคนไปบอกกล่าวกับภูเขาเซียนตูหรือ? ข้าว่าไม่จำเป็นต้องทำเลยด้วยซ้ำ”
เหยาเซียนจือทอดถอนใจเอ่ยชมเชย “ยังคงเป็นขิงที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด”
ผู้เฒ่าหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษรอีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ชีวิตคนมีรสชาตินับร้อย จะขาดเกลือไม่ได้ ขาดเผ็ดก็ไม่ชอบใจ”
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเขียนถึงเรื่องของการคัดเลือกแม่ทัพบู๊ พอคุยเล่นกับหลานชายก็อดนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ จึงเขียนลงไปว่า ‘แข็งแกร่งแต่ไม่ระเริงตน’
ผู้เฒ่าเพียงแค่เขียนตัวอักษรอีกไม่กี่ตัวก็วางพู่กันลง หันไปมองนอกหน้าต่าง
ลิขิตฟ้าช่างสำคัญ จักรพรรดิมากความสามารถจึงจะปกครองบ้านเมืองได้ดี ทั่วทั้งแคว้นอยู่ในสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่สุด ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ใต้หล้าสงบสุข
บางทีคงจะมีหลักการเหตุผลอยู่สี่ห้าข้อที่เมื่อหมื่นปีก่อนเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น และอีกหมื่นปีให้หลังก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม
หวงถิงสวมกวานดอกพุดตานบนศีรษะ สะพายกระบี่ยาว ยืนพิงรั้วมองไกลไปยังท่าเรือที่ถูกสร้างใหม่นอกภูเขา
ข้างกายมีสหายฟู่ซานที่เป็นเถ้าแก่ร้านลำคลองเฮยเซี่ยนยืนอยู่ด้วย
อวี๋ฟู่ซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ยิ้มเอ่ย “ภูเขาเซียนตูแห่งนี้ มองดูแล้วกิจการบ้านเรือนก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไรเลยนะ”
มีภูเขาเซียนตูแค่ลูกเดียว แม้จะบอกว่ามียอดเขาอยู่อีกหลายแห่ง เหมาะแก่การฝึกตน น่าจะมากพอที่จะประคับประคองให้ผู้ฝึกตนเซียนดินห้าหกคนบุกเบิกจวนและสถานที่ประกอบพิธีกรรมได้ แต่สำหรับสำนักแห่งหนึ่งแล้ว นี่ยังดูว่าภูเขาสายน้ำแร้นแค้นยากจนอยู่บ้าง
หวงถิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย จึงปล่อยความคิดให้เหม่อลอยไป
อวี๋ฟู่ซานถามว่า “แม่นางหวง เจ้าคนที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับพวกเรา มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงสามารถทำให้ท่านมารับหน้าที่เป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งได้?”
คนที่สวมชุดกันฝนเข้ามาหลบฝนในร้านท่าทางลึกลับผู้นั้น อวี๋ฟู่ซานมองตบะตื้นลึกของอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ จึงต้องป้องกันโจรไว้ก่อน
เขากังวลว่าระหว่างเจ้าหมอนี่กับแม่นางหวงที่ตัวเองรักใคร่ถูกใจที่สุดจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
คือศัตรูตัวฉกาจ
อวี๋ฟู่ซานรู้ว่าหวงถิงเคยไปเยือนใต้หล้าห้าสีมาแล้วรอบหนึ่ง ทุกวันนี้นางเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้เรื่องของการสร้างภูเขาไท่ผิงขึ้นมาใหม่ ต้องเรียกว่าอวี๋ฟู่ซานนั้นพึงพอใจอย่างมาก ได้ป้ายหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงแผ่นหนึ่งมาครอง ต่อให้ตนต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ยอม เขายินดีอย่างยิ่ง จะไม่ขมวดคิ้วเลยสักครั้ง
ในฐานะปลาแบกภูเขาของยุคบรรพกาล ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิด แนวทางการฝึกตนของเขากับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปต่างกันอย่างมาก น่าเสียดายที่เรื่องของการเดินลงน้ำกลายเป็นมังกรมีธรณีประตูสูงเกินไป เมื่อก่อนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะสาเหตุจากชาติกำเนิดบนมหามรรคา หากเดินลงน้ำก็จำเป็นต้องเดิน ‘แบกภูเขา’ ไปด้วย และยิ่งระดับขั้นของภูเขาสูงเท่าไรก็ยิ่งดี นี่จะเกี่ยวพันไปถึงการช่วงชิงแห่งภูเขาสายน้ำที่อันตรายอย่างมากครั้งหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเดินลงน้ำในอนาคตจะต้องก่อให้เกิดคลื่นมรสุมบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ว่าการเดินลงน้ำหนึ่งครั้งแล้วจะต้องสำเร็จเสมอไป ก็เหมือนอย่างภูตปลาไหลของลำคลองม่ายเหอต้าเฉวียนในอดีตที่ก็ไม่ใช่ว่าถูกเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกหรือ?
ดังนั้นผู้ฝึกตนที่เป็นเผ่าพันธุ์ภูตห้าขอบเขตบนในใต้หล้าไพศาลจึงมีทางเลือกไม่มาก หนึ่งคือเหมือนอย่างบรรพจารย์ย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงที่รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของจวนเซียน หรือไม่ก็สวามิภักดิ์กับตระกูลสูงศักดิ์อย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ได้รับสถานะบนทำเนียบมา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ทำเหมือนถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยที่จำต้องออกห่างจากภูเขาห้อยหัว มาหาสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่สงบมั่นคงแห่งใหม่ ดังนั้นการวางแผนแรกเริ่มสุดของอวี๋ฟู่ซานก็คือไปเยือนธวัลทวีปรอบหนึ่ง ไปหาเหวยเซ่อผู้นั้น ดูว่าจะสามารถได้รับความโปรดปรานจากเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งผู้นี้จนกลายเป็นเจ้าแห่งยอดเขาแห่งหนึ่งได้หรือไม่ เหวยเซ่อมีอีกฉายาว่า ‘เจ้าของสามสิบเจ็ดยอดเขา’ ภูเขาหลายลูกที่มียอดเขาเลี่ยนรื่อ ภูเขาไป้เยว่เป็นหนึ่งในนั้นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งไพศาลนานแล้ว ต่างก็เป็นพวกเผ่าพันธุ์ภูตที่ฝึกตนอยู่ด้านใน
หวงถิงเองก็ไม่ถือสาอุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่อวี๋ฟู่ซานอาศัยคำพูดมาเอาเปรียบผู้อื่น เพียงแค่เอ่ยเตือนว่า “อยู่ที่ภูเขาเซียนตูแห่งนี้ จำไว้ว่าต้องเก็บอารมณ์ให้ดี ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ อย่าได้ไม่เห็นขอบเขตเป็นสำคัญมากเกินไป”
อวี๋ฟู่ซานเอ่ยหยอกล้อ “จะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่มีประสบการณ์โชกโชน บวกกับรากฐานมหามรรคาส่วนนี้ อยู่ในภูเขาเซียนตูลูกนี้ยังจะเดินกร่างไม่ได้อีกหรือ?”
หวงถิงกลั้นขำ “ขอบเขตก่อกำเนิดร้ายกาจมากนักหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!