คนดูมีน้อยนิด ดูเหมือนว่าตลอดทั้งปีจะมีแค่สองสามคนเท่านั้น แต่ทุกครั้งล้วนมือเติบใจป้ำจน…น่าตกใจ
ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีเงินฝนธัญพืชที่เข้ามานอนในบัญชีสองเหรียญแล้ว เป็นเหตุให้ถึงท้ายที่สุดท่านปู่ตัดสินใจหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเสียเลย
ถึงอย่างไรหลานสาวอย่างหลิวรุ่นอวิ๋นก็ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางยั่วยวนกรีดกราย เทียบกับเทพธิดาโจวของอาราชิงเหมยทะเลสาบหนันถังแล้วก็ไม่ใช่บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำประเภทเดียวกัน
ดื่มเหล้ากินข้าวอิ่มหนำ เฉินหลิงจวินจ่ายเงินเสร็จแล้วก็ออกมาจากเหลาสุรา ตบหน้าท้อง พาทุกคนขึ้นไปบนเรือข้ามฟากที่มุ่งหน้าไปยังท่าเรือหวงเหลียงอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้นักพรตเนิ่นอยากจะแย่งจ่ายเงิน แต่จนใจที่มิอาจสู้สหายจิ่งชิงได้
กวอจู๋จิ่วยิ้มตาหยีถามว่า “ในเมื่อไม่วางใจ ทำไมยังต้องลงจากภูเขาออกเดินทางไกลด้วยเล่า”
อาจารย์พ่อเคยบอกว่า ทุกครั้งที่เฉินหน่วนซู่ไปซื้อของที่ตัวเมือง ตลอดทางจะต้องมีคนผู้หนึ่งคอยติดตามไปลับๆ
เฉินหลิงจวินกลอกตาใส่ “ใช่ที่ไหนกัน”
กวอจู๋จิ่วถามอีกว่า “เจ้ารู้หรือว่าข้าถามเรื่องอะไร?”
เฉินหลิงจวินพูดอย่างหนักแน่น “ไม่รู้!”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะร่า
เฉินหลิงจวินจึงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
หลี่ไหวฟังด้วยความมึนงง พวกเจ้าสองคนเล่นทายคำปริศนากันอยู่หรือ
รอกระทั่งซ่งหยวนและหลิวรุ่นอวิ๋นไปยังที่พักแห่งอื่นแล้ว พวกกวอจู๋จิ่วจึงมานั่งที่ห้องพักของเฉินหลิงจวินก่อน นางถามว่า “มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่เป็นแบบนี้เยอะมากเลยหรือ?”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับอย่างแรง “มาก มากมายเลยล่ะ ยิ่งเป็นจวนเซียนใหญ่พรรคใหญ่ เรื่องแบบนี้ก็ยิ่งเกิดขึ้นถี่ๆ เหตุผลมากมายไร้ที่สิ้นสุด นอกจากงานพิธีเปิดยอดเขาของผู้ฝึกตนโอสถทองอย่างพรรคหวงเหลียงนี่แล้วก็ยังมีงานแต่งบนภูเขา การผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน มักจะต้องให้เงินใส่ซอง นอกจากนี้บรรพจารย์ปิดด่านสำเร็จ เปลี่ยนเจ้าประมุขหรือเจ้าขุนเขา ใครบางคนฝ่าทะลุขอบเขต หลักๆ แล้วคือพวกเด็กน้อยที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตห้าขอบเขตกลาง ฯลฯ ล้วนต้องมีการไปมาหาสู่กัน”
เฉินหลิงจวินลุกขึ้นค้อมเอว รินน้ำชาให้พวกกวอจู๋จิ่วสามคน “แต่ว่าที่ภูเขาบ้านพวกเรา เมื่อก่อนล้วนเป็นนายท่านที่แวะเวียนไปคนเดียว นายท่านทำธุระทุกอย่างเสร็จแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาสนใจกิจธุระยิบย่อยพวกนี้อีกแล้ว”
กวอจู๋จิ่วยิ้มถาม “จะรังเกียจที่พวกเราสองคน…ไม่มีหน้ามีตามากพอหรือไม่?”
พิธีการที่มีขั้นตอนยิบย่อยของใต้หล้าไพศาลมีแต่จะมากกว่างานพิธีสารพัดรูปแบบพวกนี้
เฉินหลิงจวินหัวเราะดังลั่น “ล้อเล่นหรือไร พวกเราสองคน ไม่ว่าใครที่ออกหน้า ทางฝั่งพรรคหวงเหลียงก็จะต้องรู้สึกว่าต้องจุดธูปขอบคุณแล้ว หลุมศพบรรพบุรุษก็มีควันเขียวกลิ้งหลุนๆ …”
เฉินหลิงจวินรีบเอ่ยเสริมอีกคำว่า “คำพูดแบบนี้ก็เป็นแค่การคุยเล่นหลังจากปิดประตูลงระหว่างคนกันเองอย่างพวกเราเท่านั้น ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้นะ”
“ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ไว้หน้าคนอื่นก็คือการไว้หน้าตัวเอง หลักการเหตุผลข้อนี้ จุ๊ๆๆ ความรู้ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้าเสียอีก”
นักพรตเนิ่นพยักหน้าเอ่ยชื่นชม “ยังคงเป็นสหายหลิงจวินที่เป็นคนซื่อสัตย์มีประสบการณ์การอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างโชกโชน”
คุยเล่นกันไปพักหนึ่ง หลี่ไหวก็พานักพรตเนิ่นไปยังห้องพักแห่งอื่น คนทั้งกลุ่มไม่ได้พักอยู่ห้องติดกัน แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเงินไม่มากพอ
และเฉินหลิงจวินก็ไม่ได้แย่งจะจ่ายเงินอย่างที่หาได้ยาก
เพราะเงินค่าเดินทางก้อนนี้เป็นซ่งหยวนแห่งยอดเขาอีไต้ที่ควักกระเป๋าเงินจ่ายแทนยอดเขาอีไต้และพรรคหวงเหลียง ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินหลิงจวินซื้อป้ายไม้ขึ้นเรือที่ท่าเรือจึงเลือกห้องไว้เรียบร้อยนานแล้ว ซ่งหยวนจึงไม่ได้มีโอกาสไปขอห้องที่ดีที่สุดจากบนเรือมาให้กับพวกเขา
เรือข้ามฟากทะยานขึ้นสูง ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ดวงอาทิตย์ราวกับดิ่งลงไปในหลุมบนมหาสมุทร
รอกระทั่งเรือข้ามฟากลำนี้เข้าไปในอาณาเขตของแคว้นหวงเหลียงแล้ว หลี่ไหวก็เดินออกจากห้อง มาที่ดาดฟ้าตรงท้ายเรือ
เพียงไม่นานนักพรตเนิ่นก็ตามมาที่นี่ด้วย ยืนพิงราวรั้ว สายตาสอดส่ายไปทั่ว มองเห็นขุนเขาสายน้ำบนพื้นดินอยู่ในสายตาทั้งหมด พยักหน้า พลันหรี่ตาลงเอ่ยว่า “โอ้ ฟ้าดินเปี่ยมไปด้วยปราณเที่ยงธรรม กองทัพเซียนใช้อาวุธเทพเฝ้าพิทักษ์ ภูเขาสายน้ำของภูเขาโหลวซานแห่งนั้นค่อนข้างน่าสนใจนะ”
ด้ามกระบวย (ดาวสามดวงในตำแหน่งด้ามกระบวยของดาวกระบวยใหญ่หรือดาวเป่ยโต้ว) หมุนวนสาดสะท้อน ภูเขาเหมือนคนสวมชุดสีแดงเข้ม น้ำเต้าลูกเล็กฝังลึกอยู่ในดิน ผลิดอกออกผลเป็นถุงทอง
นักพรตเนิ่นยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จึงสะบัดชายแขนเสื้อ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมานับนิ้วคำนวณ
ในฐานะบรรพจารย์ของสายขับไล่ภูเขา สำหรับ ‘เส้นชีพจรมังกร’ ในใต้หล้า แค่มองปราดเดียวก็แยกแยะได้อย่างชัดเจนแล้ว
หลี่ไหวจึงได้แต่ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “อย่าทำเหลวไหลนะ คนเขาดำเนินการอย่างยากลำบากมาหลายสิบรุ่น พวกเราเองก็มาเป็นแขกด้วย”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างน้อยใจ “คุณชาย ประโยคนี้ทำให้คนฟังเสียใจยิ่งนัก แรงไฟในการพูด หนักเบาในการลงมือของข้า ไม่กล้าเปรียบเทียบกับคุณชาย แต่เปรียบเทียบกับเฉินผิงอันแล้ว ถึงอย่างไรก็น่าจะสูสีกันนะ”
หลี่ไหวยิ้มรับ
นักพรตเนิ่นถามหยั่งเชิง “คุณชาย ข้ามองเห็นว่าสถานที่แห่งหนึ่งมีประวัติความเป็นมา ลองไปสืบเสาะดูกันดีไหม? ไม่ลงมือ แค่มองในระยะใกล้สักสองสามทีก็พอ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาที่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรก็อยู่ใต้เปลือกตาของพรรคหวงเหลียงกับภูเขาเมฆาเรือง ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว คนทั้งสองกลุ่มก็ยังไม่ค้นพบ แล้วก็ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตภูเขาของพวกเขาด้วย ตามกฎบนภูเขาของใต้หล้าไพศาล นี่เรียกว่าผู้มีความสามารถย่อมได้ไปครองแล้วนะ”
ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างจากงานพิธีเปิดขุนเขาของพรรคหวงเหลียงอีกเกือบครึ่งเดือน อยู่ว่างๆ ก็น่าเบื่อ
หลี่ไหวรีบโบกมือ “อย่า หากเจ้าอยากไปก็ไปคนเดียวเถอะ ขอแค่ไม่ทำผิดฎ ก็ล้วนตามใจเจ้า”
ก่อนหน้านี้ออกท่องอุตรกุรุทวีปไปพร้อมกับเผยเฉียน จึงทิ้งเงามืดไว้ในใจของเขา เกือบจะต้องขาดทุนเสียแล้ว
นักพรตเนิ่นถาม “ไม่ไปจริงๆ หรือ?”
หลี่ไหวส่ายหน้า
นักพรตเนิ่นถอนหายใจ “คุณชายไม่ไป ข้าก็ไม่ไปเหมือนกัน”
โชควาสนาที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง ของในกระเป๋ากลับหายไปทั้งอย่างนี้ เหมือนมีเป็ดตัวหนึ่งที่ต้มสุกแล้ววางไว้บนโต๊ะแล้ว แต่จนใจที่คุณชายไม่ยอมไปนั่งกิน
หลี่ไหวถาม “โชควาสนาไม่เล็ก?”
นักพรตเนิ่นเข้าใจผิดคิดว่ามีโอกาสพลิกสถานการณ์จึงเอ่ยเสียงหนักว่า “ไม่เล็ก!”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ดีมากๆ สามารถตัดใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เอาเป็นว่าหากข้าไปก็มีแต่จะคลาดกับมันอย่างแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!