ภายหลังต่อให้จะจำต้องเปิดประตูต้อนรับแขก แต่ทำอะไรก็ยังไม่มีความพิถีพิถันอยู่เหมือนเดิม
ก็เหมือนฮว่อหลงเจินเหรินอยากจะไปพบหลิวจวี้เป่าที่ศาลบรรพชนประจำตระกูลแต่จำต้องผ่านด่านให้ได้เสียก่อน
ขี่ลาหาลาอะไรนั่น ม้วนภาพทั้งหมดสิบสองภาพ ฟ้าดินมายาสิบสองแห่ง การหยั่งเชิงมากมายที่ชิงถงจัดวางไว้ต่อเนื่องร้อยเรียงกันล้วนเป็นการสาวเส้นไหมบนจิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอัน ลงแรงกับใจคน ซักไซ้สืบเสาะให้รู้แน่ชัดบนผืนนาหัวใจ ไปเยี่ยมเยียนลานประกอบพิธีกรรมในภูเขาของผู้ฝึกตน
นี่เท่ากับเป็นการประลองมรรคกถา การถามมรรคาอย่างหนึ่งของผู้ฝึกตน
นี่ก็คือการถามกระบี่ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ การถามหมัดระหว่างผู้ฝึกยุทธเต็มตัว
หากจะให้ลองยกตัวอย่างอีกข้อหนึ่งก็เหมือนเฉินชิงตูออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเป็นแขกที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
จะต้องผ่านการทดสอบความรู้ด้านบทกวีบทประพันธ์แต่ละขั้นให้ได้เสียก่อน
เสี่ยวโม่หันหน้ามาถาม “ชิงถง จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มีภัยแฝงอะไรที่ยากจะเอื้อนเอ่ยหรือไม่?”
ถามคำถามจบ เสี่ยวโม่ก็รอฟังคำตอบ ชิงถงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยังคงเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เสี่ยวโม่จึงพยักหน้าพูดกับตัวเองว่า “ไม่พูดก็จะถือว่าเจ้ายอมรับแล้ว”
ในสายตาของเสี่ยวโม่ นี่ก็คือการไว้หน้าแต่ไม่ยอมให้หน้ากันตามแบบฉบับอย่างหนึ่ง
อดทนกับเจ้ามานานมากพอแล้วนะ
ก่อนหน้านี้เจอกับสารถีเฒ่าในเมืองหลวง อีกฝ่ายก็เป็นแค่ขุนนางหลักกกองพิฆาตหน่วยอวี้ซูกรมสายฟ้าในยุคบรรพกาลเท่านั้น ตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ ความสามารถไม่มากพอ
อีกอย่างเรื่องพวกนั้นก็เป็นเรื่องเก่าแก่ปีมะโว้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เปิดบัญชีผ่านมานานแล้ว กลับมาพลิกเปิดบัญชีเก่าๆ ไม่ใช่นิสัยการกระทำของเสี่ยวโม่
ส่วนอวี่จิ่นผีเซียนที่อยู่ข้างกายจงขุยก็เหมือนเรื่องตลกที่ล้อเล่นกันขำๆ มากกว่า
เสี่ยวโม่เก็บไม้เท้าเดินป่าไว้ในชายแขนเสื้อ
จิตหยินของชิงถงตระหนกลนทันที ไม่ทำตัวเป็นคนใบ้อีกต่อไป รีบร้อนเอ่ยว่า “ช้าก่อน!”
เพียงแต่เสี่ยวโม่ไม่ได้สนใจชิงถงอีกแล้ว
อีกทั้งต่อจากนี้ชิงถงก็มิอาจห้ามปรามไม่ให้เสี่ยวโม่…ออกกระบี่ได้อีก
ฟ้าดินเล็กสองแห่งที่เหมือนมีกระจกบานหนึ่งแบ่งบนล่าง เส้นเขตแดนที่เชื่อมโยงฟ้าดินกับฟ้าดินเข้าด้วยกันคล้ายผ้าผืนหนึ่งที่ปกคลุมหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินเอาไว้ ผลกลับถูกคนใช้นิ้วขยุ้มหยิบขึ้นมา สุดท้ายฉีกออกจนเกิดเป็นรูขาด
แล้วก็เหมือนรังไหมรังหนึ่งที่มีผู้ฝึกกระบี่แหวกรังไหมออกมา
ห่างไปไกล เฉินผิงอันที่สัมผัสถึงความผิดปกติได้อย่างเฉียบไวหันหน้าไปมองทางเสี่ยวโม่
ครั้งแรกที่ได้พบเจอกับเสี่ยวโม่คือในดวงจันทร์ฮ่าวไฉ่ อีกฝ่ายมีใบหน้าเป็นคนแก่ พลังอำนาจดุร้ายกำเริบเสิบสาน ออกกระบี่อย่างเฉียบคม
รอกระทั่งทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกันอีกครั้งก็คือคนหนุ่มที่สุภาพสง่างามคนหนึ่งแล้ว
แต่เสี่ยวโม่ในเวลานี้ ตัวคนก็เหมือนกับชื่อคือ ‘แปลกหน้า’ (โม่เซิง) อย่างมากแล้ว
ไม่เห็นร่างจริง เห็นเพียงกายธรรม
ชุดคลุมอาคมตัวหลวมโพรกบนร่าง ใบหน้าที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แสงสีขาวนวลกระจ่าง ร่างทั้งร่างโปร่งใสแวววาว สะอาดบริสุทธิ์ประหนึ่งแก้วใส มองไม่เห็นกระดูก เส้นเอ็นเส้นชีพจรหรือเลือดเนื้อใดๆ
เส้นผมสีขาวหิมะยาวเหยียด ล่องลอยดุจภาพมายา กลิ่นอายเซียนอบอวลแผ่ความศักดิ์สิทธิ์
มือหนึ่งถือกระบี่ พลังอำนาจโอ่อ่าเคร่งขรึม ปณิธานกระบี่เฉียบขาดเด็ดเดี่ยว ปรากฎกายอยู่ในท่วงท่าถือกระบี่บินทะยาน
นี่คงจะเป็นท่วงท่าในยามที่เสี่ยวโม่อยู่บนยอดเขาขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตกระมัง?
มายังฟ้าดินที่อยู่เหนือผิวกระจก
ร่างจริงของต้นอู๋ถงก็อยู่ที่นี่
เสี่ยวโม่ยังไม่ได้ปล่อยกระบี่อย่างจริงจังเลยสักครั้ง ทว่าปราณกระบี่บนร่างกลับอัดแน่นท่วมท้นฟ้าดินเสียแล้ว
ทั่วทั้งฟ้าดิน เพียงชั่วพริบตานั้นก็มี ‘เสาค้ำ’ ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนผุดครืนขึ้นมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แทงทะลุลอดฟ้าดินอย่างไร้ความยำเกรง
ฟ้าดินที่น่าสงสารเหมือนผ้าแพรผืนหนึ่งที่ผ่านการถักทอเย็บปะอย่างประณีต แต่กลับต้องถูกแท่งน้ำแข็งปลายแหลมฉายประกายเฉียบคมนับร้อยนับพันแทงทะลุเป็นรูพร้อมๆ กัน
ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลถูกแสงกระบี่จำนวนหลายหมื่นกรีดเฉือน กลายมาเป็นเศษเล็กเศษน้อย จุดที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าจำนวนของแสงกระบี่ที่ปรากฎอยู่ในมุมหลากหลายไร้ระเบียบให้กล่าวถึงพวกนี้ยังเพิ่มจำนวนทับซ้อนอย่างบ้าคลั่ง เป็นเหตุให้ลำแสงเก่าที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ถูกแสงกระบี่ใหม่เอี่ยมกะเทาะแตกได้อย่างง่ายดายเพียงชั่วพริบตา
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใบถงทวีป พลังจิตแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยจะอิงตามขอบเขตสูงต่ำของแต่ละคน แรงสั่นสะเทือนบนจิตแห่งมรรคาจะเกิดขึ้นในระดับไม่เท่ากัน ทำให้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างเลือนราง
อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสามท่านที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของใบถงทวีปทอดสายตามองมาไกลๆ แล้วพลันหัวเราะ เห็นเพียงว่ากลางอากาศเหนือภาคกลางของใบถงทวีปคล้ายกับมีลูกแสงลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเต็มไปด้วยหนามแหลม ปราณกระบี่อึมครึมน่าสะพรึงกลัว
อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่อยู่ใกล้กับลูกแสงมากที่สุดพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หอสยบปีศาจตัวดี เหตุใดถึงกลายเป็น…เม่นตัวหนึ่งไปแล้วเล่า?”
บุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างผู้ฝึกตนประเภทนี้ จะขัดขวางไปไย
อีกอย่างอาจารย์ผู้เฒ่าไม่วิ่งไปช่วยไกล่เกลี่ยแบบลำเอียงเข้าหาฝ่ายหนึ่งก็ถือว่าไว้หน้าสหายชิงถงผู้นี้มากแล้ว
หลายปีมานี้ที่สงครามใหญ่ปิดฉากลง เนื่องจากไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งถึงไม่พูดอะไรสักคำ หอสยบปีศาจแห่งนี้ก็แสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ไปด้วย ราวกับผีขี้เหนียวที่กำถุงเงินเอาไว้แน่น ไม่ยอมควักเงินจ่ายแม้แต่แดงเดียว เอาแต่นั่งดูดายอยู่เฉยๆ เป็นเหตุให้การเก็บกวาดแผงลอยเละเทะที่ภูเขาสายน้ำย่อยยับ ใจคนแตกฉานซ่านเซ็นของใบถงทวีปได้แต่ให้เจ้าขุนเขา วิญญูชนและนักปราชญ์ของสำนักศึกษาสามแห่งวิ่งวุ่นไปทั่ว เหน็ดเหนื่อยกันจนสายตัวแทบขาด เนื่องจากมิอาจเข้าร่วมกับกิจธุระในโลกมนุษย์คือกฎเหล็กข้อหนึ่งที่หลี่เซิ่งตั้งไว้ให้กับอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปซึ่งทำหน้าที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าอย่างพวกเขานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาสามคนจึงได้แต่เป็นกังวลเท่านั้น ไม่อาจพูดบ่นแสดงความไม่พอใจต่อหอสยบปีศาจได้แม้แต่ครึ่งคำ
อันที่จริงขัดหูขัดตาอีกฝ่ายมานานหลายปีแล้ว
มิอาจเรียกร้องให้คนอื่นทำตัวเป็นอริยะปราชญ์ได้
อาจารย์ผู้เฒ่าที่เคยเอ่ยชมอิ่นกวานหนุ่มเองกับปากว่า ‘เด็กรุ่นหลังช่างมีมาดสง่างามเหลือเกิน’ ผู้นี้สะบัดชายแขนเสื้อ ปิดบังภาพบรรยากาศผิดปกติแห่งฟ้าดินนั้นเอาไว้
ทำไม เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ใครจะมาหาข้อตำหนิข้าได้?
หอสยบปีศาจแห่งหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากศาลบุ๋น กับลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายของเหวินเซิ่งคนหนึ่ง ถือเป็นคนบ้านเดียวกันที่ปิดประตูตีกันเอง นี่เรียกว่าเรื่องน่าอายไม่ควรเอาไปแพร่งพรายนอกบ้าน
สนามรบแห่งใหม่ในฟ้าดิน จิตหยินของชิงถงกับผู้เฒ่าร่างกำยำที่เป็นจิตหยางกายนอกกายสลายหายวับไปพร้อมกัน กลับคืนสู่ร่างจริงอีกครั้ง
เพราะถึงอย่างไรก็ต้องรับมือกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ชิงถงหรือจะกล้าประมาท
ส่วนร่างจริงของต้นอู๋ถงก็ได้กลายเป็นบุรุษเรือนกายสูงเพรียว มีเส้นแสงมืดสว่างตัดสลับกัน ใบหน้าพร่าเลือน บนศีรษะสวมกวานเต๋าพุดตาน บนร่างสวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยมตัวหนึ่ง ด้านในสวมชุดคลุมอาคมสีทองหนึ่งตัว เท้าสวมรองเท้าสีเขียวมรกต ตรงเอวห้อยแผ่นหยกโบราณเรียบง่ายหนึ่งชิ้น บนแขนสองข้างมีกำไลรัดแขนสีแดงสด สรุปก็คืออะไรที่เอามาสวมได้ก็ล้วนถูกนำมาใช้หมดแล้ว สมบัติอาคมบนภูเขาสารพัดอย่าง การแต่งกายฉูดฉาดสะดุดตา…
ขณะเดียวกันนั้นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มีอายุขัยในการฝึกตนยาวนานผู้นี้ก็ไม่ได้อยู่เฉยรอความตาย เท้าย่ำดารา สองมือทำมุทรา เรือนกายประหนึ่งดอกไม้ที่เบ่งบาน
ร่างจำแลงของชิงถงมีมากนับพันร่าง ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร พากันเรียกสมบัติอาคมที่ไม่เหมือนกัน ร่ายคาถาทั้งโจมตีและป้องกันที่แตกต่างกัน
ช่างสมกับคำว่าทักษะมากไม่ทับตัวตายจริงๆ
เพียงแต่ว่าเวทคาถามีมาก ประเภทของคาถาก็คละปนกันยุ่ง ไม่พูดถึงความลี้ลับของมรรคกถาและความสูงของตบะ คาดว่าลำพังเพียงแค่วิธีการที่ชิงถงร่ายใช้ในวันนี้ก็น่าจะเลื่อนเป็นสิบอันดับแรกของไพศาลได้แล้ว
ร่างจำแลงเหล่านี้ของชิงถงมีร้อยกว่าคนที่รับผิดชอบสร้างค่ายกลขึ้นมาชั่วคราว สร้างเป็นค่ายกลขุนเขาสายน้ำ ส่วนที่เหลือซึ่งมีจำนวนมากกว่าเป็นร่างจำแลงของยันต์ เพื่อป้องกันแสงกระบี่ที่ผุดพุ่งออกมาไม่หยุดยั้งเหล่านั้น ก็ถึงกับยอมที่จะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งคู่
และผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่บอกว่าตัวเองเป็นยันต์ใหญ่อยู่สองสามชนิดอย่างชิงถง ยันต์ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นวิชาก้นกรุก็ได้ถูกเรียกออกมาพร้อมกันด้วย แต่ละชนิดต่างผสานกับมหามรรคาของห้าธาตุ เรียกได้ว่าบรรลุสู่ขั้นสูงสุดของเส้นทางแห่งยันต์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!