หย่างจื่อพลันใช้เสียงในใจถามว่า “ขอให้ข้าพูดคุยกับสหายผู้นั้นสักสองสามประโยคได้หรือไม่”
เฉินผิงอันหยุดชะงัก จับประคองงอบ คล้ายกำลังปรึกษาอะไรกับใครอยู่
ครู่หนึ่งต่อมา ห่างไปไกลก็มีเสียงกระดิ่งผูกอูฐดังขึ้นระลอกหนึ่ง บนเส้นทางเก่าแก่ของทะเลทรายเหลือง เสียงกระดิ่งผูกอิฐดังก้องยาว มีคนสวมหมวกผ้าคลุม สวมชุดตัวยาวสีมรกตจูงอูฐสีขาวเดินตรงมาอย่างเนิบช้า
ดวงตะวันลอยอยู่กลางนภาส่องแสงแผดเผาพื้นดิน เส้นแสงล้วนบิดเบี้ยว แขกร้านเหล้าที่กำลังเล่นทายหมัดต่างก็พากันย้ายเส้นสายตามามองแล้วหันไปกระซิบกระซาบกัน แขนข้างที่จูงอูฐนั้นเผยให้เห็นข้อมือสีขาวเหมือนรากบัวจึงเริ่มเดาถึงอายุของสตรีผู้นั้น ไม่รู้ว่าหน้าตาจะเป็นเช่นไร จะใช่ญาติของสตรีคนขายเหล้าหรือไม่ อายุเท่าไร ออกเรือนแล้วหรือยัง…
เพียงแต่ไม่นานก็ถูกภาพเหตุการณ์ประหลาดอีกอย่างบดบัง เพราะกลางอากาศห่างออกไปมีรถม้าคันหนึ่งห้อตะบึงผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ทะยานมายังร้านเหล้าแห่งนี้ด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ ขบวนตรวจตรานั้นยิ่งใหญ่มาก ทั้งขุนนางบุ๋นบู๊ เทพหญิงนางกำนัล ต้องมีคนร่วมๆ ยี่สิบคน จัดขบวนเหมือนการออกลาดตระเวนแปดจังหวัดอย่างที่กล่าวถึงในนิยายทั้งหลาย ในมือถือกระบี่อาญาสิทธิ์ ตีกลองเปิดทาง มีขุนนางชั้นผู้น้อยแบกป้ายสองป้ายเป็นคำว่า นิ่งสงบเคารพภูเขาสายน้ำ คนไม่เกี่ยวข้องหลีกไปให้ไกล ความต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือหนึ่งอยู่บนพื้น อีกหนึ่งอยู่บนฟ้า
เฉินผิงอันเดินไปถึงข้างกายชิงถงแล้วพยักหน้า จากนั้นเหลือบตามองจุดสูงก็เห็นว่าในรถม้าทาสีเขียวปักธงเหลืองมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าขาวราวกับหยก ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองอ่อนจางแปลกตาน่ามอง กำลังหลุบตาลงต่ำมองมายังร้านเหล้าแห่งนี้ เพียงแค่กวาดตามองคนที่ผ่านทางมาสองคนแล้วก็ไม่ใส่ใจอีก ใช้เวทมองลมปราณก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งเท่านั้น คู่รักบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้ กลายมาเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของเทพภูเขากงซินโจวก็มากพอเหลือแหล่ เพียงแต่ว่ามิอาจเข้าตาตนได้เลยจริงๆ
ภูตภูเขาที่นั่งดื่มเหล้าทายหมัดอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่พากันหยุดเสียงโห่ร้องเฮฮา รีบหยิบเสื้อขึ้นมาสวมด้วยท่าทางรีบร้อน เป็นการสวมเสื้อผ้าที่แทบจะเรียกได้ว่าลนลาน ถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นภาพน่าขันที่คนผอมสวมเสื้อตัวใหญ่ คนอ้วนสวมเสื้อตัวเล็กคับแน่น เพียงแต่ว่าเวลากระชั้นชิดจึงไม่มีเวลาให้พวกเขาเปลี่ยนกลับมาสวมใหม่ แต่ละคนพลันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด ใครบ้างไม่รู้ว่าฝู่จวินผู้นั้นพิถีพิถันในเรื่องมารยาทไร้สาระพวกนั้นที่สุดแล้ว หวังเพียงว่าอย่าได้ถูกเล่นงานเพราะเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแบบนี้เลย
นายท่านเทพภูเขากับเด็กสาวแม่ย่าลำคลองของในพื้นที่ต่างก็ลุกขึ้นจากโต๊ะสุรา มาที่นอกร้านเพื่อรอต้อนรับราชรถของผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือศีรษะแล้ว
ทั้งสองฝ่ายฝ่ายหนึ่งเดินเข้าฝ่ายหนึ่งเดินออก จึงเดินสวนไหล่กับบุรุษที่สวมชุดเขียวสวมงอบ และ ‘สตรี’ ที่สวมหมวกม่านคลุมหน้าไปพอดี
ชิงถงเดินไปถึงข้างโต๊ะเหล้า ไม่ได้ปลดหมวกคลุมหน้าออก เพียงแค่เลิกมุมหนึ่งขึ้นมองหย่างจื่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกังวาน “สหายหย่างจื่อ เรียกข้าว่าชิงถงก็พอ”
เวทอำพรางตาน้อยนิดแค่นั้นที่หย่างจื่อร่ายไว้ สำหรับชิงถงแล้วไม่ต่างจากภาพมายา และอยู่ในใบถงทวีป อันที่จริงชิงถงก็มักจะเห็นเงาร่างของหย่างจื่ออยู่เป็นประจำ หากจะบอกว่าไม่อิจฉาเลยก็เป็นไปไม่ได้ หย่างจื่อในเวลานั้นมีฐานะเป็นผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเก่า เป็นหนึ่งในสิบสี่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ ปกครองกระโจมทัพสองแห่งของเปลี่ยวร้าง ฐานะสูงเหนือเฟยเฟย เรียกได้ว่ากุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือ มีความหวังบนมหามรรคาอย่างแท้จริง
“เชิญนั่งตามสบาย”
หย่างจื่อใช้พัดใบลานในมือชี้ไปยังม้านั่งตัวยาวที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นนักโทษก็คงไม่มีวิถีแห่งการรับรองแขกอะไรให้พิถีพิถันอีกแล้ว”
เมื่อเฉินผิงอันนั่งลงอีกครั้ง หย่างจื่อถึงได้ถามว่า “คนบางคนลืมจ่ายเงินค่าเหล้าหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ยังไม่ได้ไปไม่ใช่หรือ พอดีกับที่คิดบัญชีเก่าใหม่รวมกันได้เลย”
หย่างจื่อทำเป็นว่าฟังความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ไม่ออก หันหน้าไปมองชิงถง โบกพัดใบลานเบาๆ “ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็พูดกันว่าทำการค้ากับใต้เท้าอิ่นกวานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน ลงเดิมพันมากก็ชนะมาก สหายชิงถงสายตาดีจริงๆ”
ชิงถงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที พูดอย่างเปิดเผยว่า “ก็แค่การกระทำด้วยความจนใจเท่านั้น ตอนแรกก็ถามหมัดกับใต้เท้าอิ่นกวานก่อน จากนั้นก็รับการถามกระบี่จากเสี่ยวโม่ หากยังไม่รู้กาลเทศะอีก ใต้เท้าอิ่นกวานก็จะยกกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งมาไว้ที่ใบถงทวีป ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก”
หย่างจื่อยิ้มถาม “ถามกระบี่? เสี่ยวโม่?”
พอชิงถงนึกถึงเจ้าหมอนั่นที่ฟื้นคืนสู่พลังสูงสุดที่หอสยบปีศาจ ใบหน้าก็เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยิ่งจนใจมากกว่าเดิม “ก่อนหน้านี้เจ้าก็เดาตัวตนเขาออกแล้ว ตอนนี้เขาติดตามอยู่ข้างกายใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่รู้ว่าทำไมถึงเรียกตัวเองว่านักรบพลีชีพด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งยังเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ในศาลบุ๋นใช้นามแฝงว่าโม่เซิง ฉายา ‘สี่จู๋’ เวลาปกติชอบเรียกตัวเองว่าเสี่ยวโม่”
หย่างจื่อหยุดโบกพัด ถามอย่างใคร่รู้ “เมื่อเทียบกับเมื่อหมื่นปีก่อน เวทกระบี่ของเจ้าหมอนี่พัฒนาไปได้กี่ส่วนแล้ว?”
ชิงถงยิ้มขื่น “ตอนนั้นเวทกระบี่ของเขาเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่ได้รู้ด้วยสักหน่อย”
หย่างจื่อพยักหน้า โลกมนุษย์ในเวลานั้น คนที่รู้ว่าเวทกระบี่ของเสี่ยวโม่สูงหรือต่ำดีที่สุด นอกจากผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาที่มีเพียงหยิบมือแล้ว ก็คงจะเป็นนางหย่างจื่อนี่แหละที่มีคุณสมบัติจะพูดได้
หากพวกปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่หลับสนิทนานหมื่นปีกลุ่มของเสี่ยวโม่ตื่นขึ้นมาเร็วกว่านี้แค่ไม่กี่ปี จากนั้นก็เข้าสู่ตำหนักอิงหลิงกลายเป็นราชาบนบัลลังก์ สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับราชาบนบัลลังก์เก่าขอบเขตสิบสี่อย่างตนล่ะ?
ถ้าอย่างนั้นการต่อสู้ก่อนหน้านี้ กระโจมทัพเปลี่ยวร้างก็แค่ต้องผลักดันรุดหน้าไปตลอดทางเท่านั้น ไม่กล้าพูดว่าสุดท้ายแล้วต้องยึดครองทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่รากฐานลึกล้ำมาได้ แต่อันดับแรก ทักษินาตยทวีปต้องถูกตีแตกได้ในไม่นาน บางทีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ก็อาจจะตายไปพร้อมชื่อเสียงที่ดีกว่านี้? จากนั้นธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือของเกราะทองทวีปก็มีแต่จะถูกยึดครองมาตามโอกาสอำนวย พวกหญ้ายอดกำแพงที่ล้มเอนไปตามแรงลมของธวัลทวีป โดยเฉพาะแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าทุกวันนี้ใครจะเป็นประมุขของใต้หล้าไพศาล หย่างจื่อก็มั่นใจในเรื่องหนึ่งว่า รอให้สงครามสิ้นสุดลง ภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปมีแต่จะแตกสลายยับเยิน เป็นเหตุให้โลกมนุษย์ไม่มีแจกันสมบัติทวีปอยู่อีก ต่อให้ซูจื่อหลิ่วชีหวนกลับคืนมายังไพศาลก็ยังไร้ประโยชน์ ไม่แน่ว่านอกจากป๋ายเหย่แล้ว ฝูลู่อวี๋เสวียนก็ยังต้องตายดับอยู่ในฝูเหยาทวีปไปด้วย…
ตัวนางเองก็ไม่คงถึงขั้นถูกขัดขวางบนเส้นทางหลบหนี ถูกจับขังไว้ที่นี่ ได้แต่ขายเหล้าอ่านตำราฆ่าเวลาในแต่ละวันให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น
ชิงถงกวาดตามองรอบด้าน เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าทางศาลบุ๋นจะไม่ได้สร้างตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำไว้ที่นี่นะ?”
หย่างจื่ออืมรับหนึ่งที “มีสัญญาวิญญูชนร่วมกับจอมปราชญ์น้อยไปครั้งหนึ่ง ในพื้นที่รัศมีพันลี้รอบด้าน ข้าสามารถไปมาได้อย่างอิสระ ขอแค่ไม่สังหารคนพร่ำเพื่อก็ไม่มีข้อห้ามใดๆ อีกทั้งข้าเองก็ไม่ต้องทำอะไรเพื่อศาลบุ๋น นักโทษที่เป็นอย่างข้า บางทีอาจมีให้เห็นได้ไม่มากนัก”
ชิงถงเอ่ยชมจากใจจริง “จอมปราชญ์น้อยยังคงใจกว้างอยู่เหมือนเดิม”
ยามที่ทั้งสองคนพูดถึงหลี่เซิ่งก็ยังคงเคยชินที่จะเรียกว่าจอมปราชญ์น้อย
หย่างจื่อหัวเราะ ก่อนเอ่ยว่า “นายท่านป๋ายเจ๋อของพวกเราท่านนั้น ต่อให้จะมีดีนับพันนับหมื่นข้อ แต่เมื่อเทียบกับจอมปราชญ์น้อยแล้ว ข้าก็ยังรู้สึกว่าขาดความหมายอะไรบางอย่างไปอยู่ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!