สรุปตอน บทที่ 929.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เก้า) – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 929.2 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เก้า) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เด็กสาวพึมพำ “มาวางอำนาจอีกแล้ว น่ารำคาญนัก”
เทพภูเขาผู้เฒ่ารีบเอ่ยเตือน “ระดับขั้นของขุนนางใหญ่ทับคนตายได้ ตัวเจ้าเองลองคำนวณดูเถอะว่า พวกเราสองคนสูงได้กี่ขั้นกันเชียว? อีกเดี๋ยวเมื่อเจอกับเหมยซานจวิน เจ้าก็อย่าทำหน้าบูดบึ้งให้เขาเห็นเหมือนคราวก่อน คนดูแลของจวนเหมยซานจวิน คราวก่อนมาดื่มเหล้ากับข้า พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับข้าอยู่บ้าง เขาแอบบอกข้าว่ากองตรวจสอบของจวนชิงอวิ๋นมีอคติต่อเจ้าแล้ว การทดสอบแห่งขุนเขาสายน้ำของปีหน้า เกินครึ่งเจ้าคงต้องอยู่อันดับท้ายแล้ว”
เด็กสาวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อันดับท้ายแล้วอย่างไร ข้าไม่ได้อยากจะเลื่อนขั้นขุนนางให้ร่ำรวยเสียหน่อย ก็เป็นแค่แม่ย่าลำคลองปลายแถวคนหนึ่ง ไม่อาจลดระดับขั้นไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว งานเหนื่อยยากที่ไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาแม้แต่น้อย กระเป๋าเงินขุนนางฟีบๆ รวมเงินร้อนน้อยออกมาไม่ได้แม้แต่เหรียญเดียว เฉาชิวสายนี้ของข้ามีสภาพการณ์อย่างไร ใครบ้างที่ไม่รู้ ท่านเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอหัวเราะจนฟันร่วงแล้ว ต่อให้เจ้าคนแซ่เหมยถอนตำแหน่งข้าออก เหล่ากงเจ้าลองถามพวกเทพหญิงที่อ่อนหวานบอบบางในจวนชิงอวิ๋นพวกนั้นดูเอาเถิดว่า พวกนางมีใครยินดีมารับโทษทัณฑ์อยู่ที่นี่หรือไม่? ขอแค่มีใครยินดีพยักหน้าตอบตกลง กูไหน่ไนอย่างข้าก็ไม่อยู่ปรนนิบัติเขาแล้วจริงๆ ใครอยากจะเป็นแม่ย่าลำคลองก็เป็นไปเถอะ อย่างมากวันหน้าข้าก็แค่ไปอยู่กับเจ้าเหล่ากงเท่านั้น”
เทพภูเขาผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็เกือบจะกลอกตามองบน มาอยู่กับข้าเหล่ากง? เจ้ายากจน เงินไม่กี่เหรียญที่ข้าสะสมมาได้จากการมานะอดออมอย่างยากลำบาก สามารถปรนนิบัติกูไหน่ไนที่ดื่มเหล้าชามใหญ่กินเนื้อก้อนโตอย่างเจ้าได้หรือ หากวันใดเจ้าอยากจะแต่งงานขึ้นมา ข้าก็ไม่ต้องออกสินเดิมให้เจ้าด้วยหรือไร? กงซินโจวได้แต่เอ่ยโน้มน้าวด้วยความหวังดีต่อว่า “เชื่อข้าสักคำเถอะ เจอใครมีรอยยิ้มส่งให้ย่อมถูกต้องเสมอ ต่อให้เฉาชิวจะเล็กแค่ไหน ก็แค่เป็นการก้มหัวให้คนกันเอง ปิดประตูลงแล้วก็ไม่ต้องรองรับอารมณ์ใครแล้ว”
พวกภูตทั้งหลายที่ฉวยจังหวะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้ากันใหม่เรียบร้อยพากันไปหลบอยู่ด้านหลังเทพภูเขาและแม่ย่าลำคลองอย่างกล้าๆ กลัวๆ คอยสะบัดสาบเสื้อตัวเองแรงๆ อยู่ตลอดเพื่อให้กลิ่นเหล้าเข้มข้นบนร่างจางหายลงไปบ้าง
อูฐตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ต่อให้เหมยเฮ้อจะไม่ใช่ซานจวินแล้ว อีกทั้งยังเป็นแค่นายท่านเทพภูเขาที่ได้บุกเบิกจวนคนหนึ่ง แต่ศาลเทพภูเขาที่สร้างขึ้นบนเส้นทางม้าวิ่งแห่งนั้นก็เรียกได้ว่ามีมาดอันน่าเกรงขาม
ทุกครั้งที่ซานจวินออกตรวจตราก็ยิ่งแผ่นดินภูเขาโยกคลอน พอลองมามองเหล่ากงที่ยืนถูมืออยู่ตรงหน้า เป็นนายท่านเทพภูเขาเหมือนกัน เรือนผุๆ หลังนั้น ต่อให้ถือรองเท้าหิ้วถังส้วมให้นายท่านเหมยก็ยังไม่คู่ควรเลยจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่มีคำเล่าลือที่พูดกันน่าเชื่อถือว่า เรือนชิงอวิ๋นของนายท่านเหมย งานเลี้ยงฉลองวันเกิดฝู่จวินที่จะจัดขึ้นทุกๆ หกสิบปี ทุกครั้งจะต้องได้เห็นแสงกระบี่หลายเส้นที่ทำให้ผีตกใจตายได้
หย่างจื่อเหลือบมองเหมยเฮ้อที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม ถามว่า “ตรงเอวเจ้าหมอนี่ห้อยป้ายหยกไว้แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนอักษรไว้สี่คำว่า ‘ขอบฟ้าลมเย็น’ หมายความว่าอย่างไร มีข้อพิถีพิถันหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีข้อพิถีพิถันใหญ่อะไรหรอก คือประโยคพูดบ่นที่คับแค้นใจในความผิดพลาดของตัวเองเท่านั้น ความหมายคร่าวๆ ก็คือตัวเองถูกเนรเทศมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลสุดขอบฟ้า อยู่ไกลจากราชสำนัก ตัวอยู่ในยุทธภพ ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไกล ยากที่จะแสดงปณิธานของตัวเองออกมาได้ คงจะถือว่าเป็นคนว่างงานผู้สูงศักดิ์ที่ชะตาชีวิตไม่ธรรมดาคนหนึ่งกระมัง?”
หย่างจื่อจุ๊ปากพูด “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าวิจารณ์คนอื่นก็ช่างจี้ใจดำได้ดีจิรงๆ”
เฉินผิงอันถาม “เขาไม่เคยสงสัยมาก่อนเลยหรือว่าเจ้าอาจจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางขอบเขตคนหนึ่ง?”
หย่างจื่อย้อนถาม “หากเปลี่ยนเป็นเจ้า อยู่ในบ้านเกิดของตัวเอง ข้างทางมีคนมาตั้งร้านขายเหล้าเรียบง่ายร้านหนึ่ง จะรู้สึกว่าเป็นเซียนดินคนหนึ่งหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ย่อมต้องใช่ ใช่แน่นอน”
ที่บ้านเกิดของตน เซียนดินจะนับเป็นอะไรได้?
ต่อให้คำว่าเซียนดินที่หย่างจื่อพูดถึงจะเป็นเซียนดินในยุคบรรพกาลก็ตาม แต่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่นับเป็นอะไรได้เช่นกัน
ถึงขั้นพูดได้ว่ายิ่งขอบเขตสูง ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดหรือภูมิหลังอย่างไร กลับยิ่งกลายเป็นว่าต้องทำอะไรระมัดระวังมากขึ้น
หย่างจื่อสะอึกอึ้งไปทันที
เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าบ้านเกิดของอิ่นกวานหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น
เพราะเคยชินที่จะมองคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว
ส่วนถ้ำสวรรค์หลีจู ในเมื่อถูกโจวมี่มองเป็นสถานที่เดินขึ้นฟ้า คิดดูแล้วก็คงไม่ขาดความมหัศจรรย์
รถหรูหราคันนั้นจอดลงบนพื้นช้าๆ กงซินโจวกระตุกชายแขนเสื้อของเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย ก้าวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า ประสานมือคารวะ “กงซินโจวเทพน้อยแห่งภูเขาเซียงเฝ่ยและกานโจวแม่ย่าลำคลองเฉาชิงคารวะเหมยฝู่จวิน”
พวกภูติที่อยู่ด้านหลังก็เอาอย่าง ประสานมือคารวะโค้งกายคำนับเหมยฝู่จวินอย่างเข้าท่าเข้าทีเสียงดังระงม
“พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกนี่แหละ”
เหมยเฮ้อออกคำสั่งแก่ขุนนางชั้นผู้น้อยของจวนเทพภูเขา ก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว ลงมาจากรถที่ทาด้วยสีเขียว พลิ้วกายลงบนพื้น โบกชายแขนเสื้อ “ไม่ต้องมากพิธี”
เห็นว่าโต๊ะของสตรีขายเหล้ามีกันอยู่สามคน สองคนเป็นคนแปลกหน้า ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าของตัวเอง ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ แม้ว่าในใจของใต้เท้าฝู่จวินจะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า พวกบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระพวกนี้ บางทีชั่วชีวิตนี้คงจะเคยอ่านตำรามาแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น ไม่รู้หลักมารยาทจึงจะสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไยตนต้องโมโหโกรธาด้วย
เหมยเฮ้อเดินก้าวเข้าไปในร้านเหล้า ยกมือขึ้นอุดจมูก ขมวดคิ้วน้อยๆ เทพภูเขาผู้เฒ่าใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ กานโจวเตรียมจะนั่งลงไปก่อน แต่กลับถูกกงซินโจวรีบยกเท้าเหยียบบนหลังเท้าของเด็กสาว เด็กสาวเจ็บเท้าจึงได้แต่ยืนต่อไป
เหมยเฮ้อไม่คิดจะมองภูติที่อยู่ใต้การปกครองพวกนั้น เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เปลี่ยนสถานที่ไปดื่มเหล้าเถอะ”
โต๊ะสามตัวในร้านเหล้ากว่าจะมีลูกค้ามานั่งกันเต็มได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือผีขี้เหล้าทั้งหลายเหมือนได้รับอภัยโทษ พากันเดินก้าวเร็วๆ หนีออกไปจากร้านเหล้า
เหมยเฮ้อเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทในวงการขุนนางกับกงซินโจวและกานโจวไปสองสามประโยค จากนั้นหันหน้าไปยิ้มถามสตรีขายเหล้าว่า “สหายจิ่งสิง ไม่เคยคิดจะบุกเบิกจวนหาลานประกอบพิธีกรรมที่มีปราณวิญญาณดีๆ สักหน่อยในแถบนี้บ้างหรือ?”
ขุนเขาสายน้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงของใต้หล้า สถานที่งดงามที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ได้ถูกสำนักตระกูลเซียนยึดครองไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทั้งยังถูกวัดวาอารามยึดครองไปอีกสองส่วน จากนั้นจึงถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำครอบครองไปอีกสองส่วน นี่ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าทองพันชั่งก็ยากจะซื้อถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กได้ พวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่เป็นโล้เป็นพายคิดจะหาสถานที่ดีๆ สักแห่งซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นลานประกอบพิธีกรรมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สตรีวัยกลางคนที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้ ในความคิดของเฮ้อเหมยแล้วก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่อยากจะสร้างโอสถทองอยู่ที่นี่ หากว่านางมีความคิดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเหมยเฮ้อออกเดินทางมาครั้งนี้ก็ได้พกแผนที่ฉบับหนึ่งติดตัวมาด้วย ยังช่วยวาดวงกลมสีแดงวงไว้ให้หลายจุด สามารถมอบให้นางเลือกได้ ตนไว้หน้านางมากแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ยังไม่สร้างโอสถทอง ทว่าตนกลับเป็นฝู่จวินผู้ยิ่งใหญ่ เท่ากับเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง นั่งบัญชาการณ์ขุนเขาสายน้ำ ถ้าอย่างนั้นขอแค่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้เป็นมังกรตัวหนึ่งก็ยังต้องหมอบแต่โดยดี!
สตรีวัยกลางคนหัวเราะ แต่กลับไม่เอ่ยอะไร เหมยเฮ้อจึงหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา บิดฝาเปิดออก กลิ่นบุปผาหอมโชยมาปะทะจมูก เขาสูดดมแล้วยิ้มถามว่า “สองท่านนี้คือ?”
หย่างจื่อถึงได้เปิดปากพูดว่า “คือสหายบนภูเขาสองคนของข้า คนหนึ่งแซ่เฉิน คนหนึ่งฉายาว่าชิงถง ต่างก็ไม่ใช่คนในพื้นที่”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ถือว่าเป็นสหาย แค่มาทวงหนี้เท่านั้น”
สีหน้าหย่างจือเป็นปกติ ทว่าในใจกลับเสียดายภายหลังอย่างยิ่งที่ตอนนั้นเจ้าหมอนี่สังหารหลีเจินแล้วยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบเพียงลำพัง ในมือถือกระบี่ ปลายกระบี่ชี้มายังราชาบนบัลลังก์เก่าอย่างพวกเขา ตอนนั้นตนกลับไม่ได้ยื่นนิ้วไปบดขยี้อีกฝ่ายให้ตายไปเสีย
เวลานี้หย่างจื่อได้จงใจปิดบังสภาพการณ์ในหัวใจของตัวเองแล้ว เฉินผิงอันย่อมไม่ได้ยินเสียงในใจที่ ‘เส้นเอ็นหัวใจสั่นสะเทือนเหมือนเสียงฟ้าผ่า’ นั่นอีก
“จิ่งสิงผู้นี้ อย่าเห็นว่านางแต่งกายเรียบง่าย แท้จริงแล้วทรัพย์สินของนางมากมหาศาล มีเงินเยอะ หากว่าเหมยซานจวินยินดี”
เฉินผิงอันยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาปาดตรงลำคอ “หากทำสำเร็จ พวกเราสองคนสามารถแบ่งกันคนละห้าส่วนได้”
เด็กสาวแม่ย่าลำคลองมองท่านเทพภูเขาผู้เฒ่า คำอ่านออกเสียงของอักษรคำว่าปี้ (สองร้อย) นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนกับที่เจ้าบอกนะ
ส่วนเนื้อหาในตำราตราประทับ กานโจวไม่ได้สนใจ ผลงานของบัณฑิต อ่านแล้วตาไม่เหนื่อยแต่เหนื่อยใจ
ท่านเทพภูเขาผู้เฒ่าใช้เสียงในใจอธิบายกับนาง “อันที่จริงมันคือตัวอักษรที่ออกเสียงได้หลายแบบ ข้าเองก็ไม่ถือว่าอ่านผิดหรอกนะ”
เหมยเฮ้อเปิดตำราอีกสองสามหน้า “พูดถึงแค่ตราประทับ ‘ภูเขาสายน้ำ’ สองคำนี้ มีหรือจะแกะสลักให้แยกห่างกันได้ขนาดนี้ แล้วก็คำว่า ‘วีรบุรุษ’ นี่อีก มีความผิดพลาดตรงขาดความนุ่มนวลและละเอียดอ่อน เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้เอาเวลาไปใช้กับการฝึกหมัดและฝึกกระบี่หมดแล้ว ดังนั้นเรื่องของการเขียนอักษรพู่กันจีนจึงทุ่มเทความตั้งใจไม่มาก แต่ก็ถือว่ามีเหตุให้อภัยได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง”
ในคำนำของตำราตราประทับเล่มนี้มีคำชมประโยคหนึ่งที่ให้คำวิจารณ์ไว้สูงมาก สองตำราร้อยสองร้อยดุจมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล สูงส่งเหนือใครดุจภิกษุผู้เดียวดาย”
เหมยเฮ้อส่ายหน้า โยนตำราตราประทับเล่มนั้นไว้บนโต๊ะ ก้มหน้าสูดกลิ่นดอกไม้จากในขวด
“ก็แค่คนที่ไม่เชี่ยวชาญศาสตร์การแกะสลักหินทอง”
“เหอะๆ อายุน้อยๆ ชื่อเสียงเลื่องลือเกินความจริง”
หย่างจื่อมองเหมยฝู่จวินที่พูดจาวางโต แล้วจึงหันไปมองเฉินผิงอันที่คลี่ยิ้ม รู้สึกสนุกสุดขีด ให้ตายอย่างไรก็คงเดาไม่ได้กระมังว่าตัวต้นเรื่องนั่งอยู่ตรงนี้นี่เอง
ก็เหมือนวาดยันต์แผ่นหนึ่งต่อหน้าฝูลู่อวี๋เสวียน แล้วยังติเตียนคุณสมบัติในการเขียนยันต์ของเขา บอกว่าตรงนี้ไม่ถูก ตรงนั้นไม่ได้
เหมือนผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกธาตุไฟคนหนึ่ง บอกว่าคาถาสายฟ้าของฮว่อหลงเจินเหรินแค่พอใช้ได้ น่าเสียดายที่วิถีแห่งคาถาไฟกลับขาดแรงไฟไปบ้างเล็กน้อย?
“ตราประทับยี่สิบกว่าตราที่อยู่มีบนตำราเครื่องประทินโฉมนี้ มาตรฐานไม่สูงเลยจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่าต่อให้อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้จะมีความมั่นใจแค่ไหน แต่ก็บอกให้รู้ถึงระดับตื้นลึกได้แล้ว”
“อะไรที่บอกว่าเส้นผมสีนกกาน้ำฟันขาวดุจก้อนเมฆดวงตาสว่างดุจแสงจันทร์ อะไรที่บอกว่าผมสีนิลเอวบาง ช่างธรรมดาสามัญจริงๆ ไม่อาจเข้าตาได้เลย เสียแรงที่ปีนั้นใต้เท้าอิ่นกวานได้มีดแกะสลักเล่มนี้ไป เอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ความสามารถในการศึกษาหาความรู้ของใต้เท้าอิ่นกวานก็ธรรมดาอย่างมาก”
เห็นได้ชัดว่าหย่างจื่อรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกถูกชะตากับเหมยฝู่จวิน ไม่เคยรู้สึกว่าเขาพูดจาน่าฟังขนาดนี้มาก่อน
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น เหลือบมองหน้าหนังสือบนตราประทับแล้วเอ่ยว่า “ตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่น่าจะไม่มีตราประทับที่บรรยายรูปโฉมของสตรีไว้โดยเฉพาะเช่นนี้นะ”
กงซินโจวไม่สบอารมณ์ทันที “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่างน้อยที่สุดฉบับจัดพิมพ์เล่มแรกก็ไม่มีทางมีเนื้อหาแบบนี้แน่นอน หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เหมือนจะไม่มีการจัดเรียงพิมพ์เป็น ‘ตำราเครื่องประทินโฉม’ ‘ตำราร่ำสุรา’ อะไรนี่ด้วย”
กงซินโจวหลุดหัวเราะพรืด “ฉบับจัดพิมพ์เล่มแรกของตำรานี้หายากถึงเพียงใด หรือเจ้าเคยเห็นเองกับตามาก่อน? คนหนุ่มคุยโว จะดีจะชั่วก็ช่วยคิดร่างถ้อยคำหน่อยเถอะ”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!