เด็กสาวพึมพำ “มาวางอำนาจอีกแล้ว น่ารำคาญนัก”
เทพภูเขาผู้เฒ่ารีบเอ่ยเตือน “ระดับขั้นของขุนนางใหญ่ทับคนตายได้ ตัวเจ้าเองลองคำนวณดูเถอะว่า พวกเราสองคนสูงได้กี่ขั้นกันเชียว? อีกเดี๋ยวเมื่อเจอกับเหมยซานจวิน เจ้าก็อย่าทำหน้าบูดบึ้งให้เขาเห็นเหมือนคราวก่อน คนดูแลของจวนเหมยซานจวิน คราวก่อนมาดื่มเหล้ากับข้า พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับข้าอยู่บ้าง เขาแอบบอกข้าว่ากองตรวจสอบของจวนชิงอวิ๋นมีอคติต่อเจ้าแล้ว การทดสอบแห่งขุนเขาสายน้ำของปีหน้า เกินครึ่งเจ้าคงต้องอยู่อันดับท้ายแล้ว”
เด็กสาวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อันดับท้ายแล้วอย่างไร ข้าไม่ได้อยากจะเลื่อนขั้นขุนนางให้ร่ำรวยเสียหน่อย ก็เป็นแค่แม่ย่าลำคลองปลายแถวคนหนึ่ง ไม่อาจลดระดับขั้นไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว งานเหนื่อยยากที่ไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชาแม้แต่น้อย กระเป๋าเงินขุนนางฟีบๆ รวมเงินร้อนน้อยออกมาไม่ได้แม้แต่เหรียญเดียว เฉาชิวสายนี้ของข้ามีสภาพการณ์อย่างไร ใครบ้างที่ไม่รู้ ท่านเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอหัวเราะจนฟันร่วงแล้ว ต่อให้เจ้าคนแซ่เหมยถอนตำแหน่งข้าออก เหล่ากงเจ้าลองถามพวกเทพหญิงที่อ่อนหวานบอบบางในจวนชิงอวิ๋นพวกนั้นดูเอาเถิดว่า พวกนางมีใครยินดีมารับโทษทัณฑ์อยู่ที่นี่หรือไม่? ขอแค่มีใครยินดีพยักหน้าตอบตกลง กูไหน่ไนอย่างข้าก็ไม่อยู่ปรนนิบัติเขาแล้วจริงๆ ใครอยากจะเป็นแม่ย่าลำคลองก็เป็นไปเถอะ อย่างมากวันหน้าข้าก็แค่ไปอยู่กับเจ้าเหล่ากงเท่านั้น”
เทพภูเขาผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็เกือบจะกลอกตามองบน มาอยู่กับข้าเหล่ากง? เจ้ายากจน เงินไม่กี่เหรียญที่ข้าสะสมมาได้จากการมานะอดออมอย่างยากลำบาก สามารถปรนนิบัติกูไหน่ไนที่ดื่มเหล้าชามใหญ่กินเนื้อก้อนโตอย่างเจ้าได้หรือ หากวันใดเจ้าอยากจะแต่งงานขึ้นมา ข้าก็ไม่ต้องออกสินเดิมให้เจ้าด้วยหรือไร? กงซินโจวได้แต่เอ่ยโน้มน้าวด้วยความหวังดีต่อว่า “เชื่อข้าสักคำเถอะ เจอใครมีรอยยิ้มส่งให้ย่อมถูกต้องเสมอ ต่อให้เฉาชิวจะเล็กแค่ไหน ก็แค่เป็นการก้มหัวให้คนกันเอง ปิดประตูลงแล้วก็ไม่ต้องรองรับอารมณ์ใครแล้ว”
พวกภูตทั้งหลายที่ฉวยจังหวะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้ากันใหม่เรียบร้อยพากันไปหลบอยู่ด้านหลังเทพภูเขาและแม่ย่าลำคลองอย่างกล้าๆ กลัวๆ คอยสะบัดสาบเสื้อตัวเองแรงๆ อยู่ตลอดเพื่อให้กลิ่นเหล้าเข้มข้นบนร่างจางหายลงไปบ้าง
อูฐตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ต่อให้เหมยเฮ้อจะไม่ใช่ซานจวินแล้ว อีกทั้งยังเป็นแค่นายท่านเทพภูเขาที่ได้บุกเบิกจวนคนหนึ่ง แต่ศาลเทพภูเขาที่สร้างขึ้นบนเส้นทางม้าวิ่งแห่งนั้นก็เรียกได้ว่ามีมาดอันน่าเกรงขาม
ทุกครั้งที่ซานจวินออกตรวจตราก็ยิ่งแผ่นดินภูเขาโยกคลอน พอลองมามองเหล่ากงที่ยืนถูมืออยู่ตรงหน้า เป็นนายท่านเทพภูเขาเหมือนกัน เรือนผุๆ หลังนั้น ต่อให้ถือรองเท้าหิ้วถังส้วมให้นายท่านเหมยก็ยังไม่คู่ควรเลยจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่มีคำเล่าลือที่พูดกันน่าเชื่อถือว่า เรือนชิงอวิ๋นของนายท่านเหมย งานเลี้ยงฉลองวันเกิดฝู่จวินที่จะจัดขึ้นทุกๆ หกสิบปี ทุกครั้งจะต้องได้เห็นแสงกระบี่หลายเส้นที่ทำให้ผีตกใจตายได้
หย่างจื่อเหลือบมองเหมยเฮ้อที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม ถามว่า “ตรงเอวเจ้าหมอนี่ห้อยป้ายหยกไว้แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนอักษรไว้สี่คำว่า ‘ขอบฟ้าลมเย็น’ หมายความว่าอย่างไร มีข้อพิถีพิถันหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีข้อพิถีพิถันใหญ่อะไรหรอก คือประโยคพูดบ่นที่คับแค้นใจในความผิดพลาดของตัวเองเท่านั้น ความหมายคร่าวๆ ก็คือตัวเองถูกเนรเทศมาอยู่ในสถานที่ห่างไกลสุดขอบฟ้า อยู่ไกลจากราชสำนัก ตัวอยู่ในยุทธภพ ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไกล ยากที่จะแสดงปณิธานของตัวเองออกมาได้ คงจะถือว่าเป็นคนว่างงานผู้สูงศักดิ์ที่ชะตาชีวิตไม่ธรรมดาคนหนึ่งกระมัง?”
หย่างจื่อจุ๊ปากพูด “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าวิจารณ์คนอื่นก็ช่างจี้ใจดำได้ดีจิรงๆ”
เฉินผิงอันถาม “เขาไม่เคยสงสัยมาก่อนเลยหรือว่าเจ้าอาจจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางขอบเขตคนหนึ่ง?”
หย่างจื่อย้อนถาม “หากเปลี่ยนเป็นเจ้า อยู่ในบ้านเกิดของตัวเอง ข้างทางมีคนมาตั้งร้านขายเหล้าเรียบง่ายร้านหนึ่ง จะรู้สึกว่าเป็นเซียนดินคนหนึ่งหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ย่อมต้องใช่ ใช่แน่นอน”
ที่บ้านเกิดของตน เซียนดินจะนับเป็นอะไรได้?
ต่อให้คำว่าเซียนดินที่หย่างจื่อพูดถึงจะเป็นเซียนดินในยุคบรรพกาลก็ตาม แต่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่นับเป็นอะไรได้เช่นกัน
ถึงขั้นพูดได้ว่ายิ่งขอบเขตสูง ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดหรือภูมิหลังอย่างไร กลับยิ่งกลายเป็นว่าต้องทำอะไรระมัดระวังมากขึ้น
หย่างจื่อสะอึกอึ้งไปทันที
เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าบ้านเกิดของอิ่นกวานหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น
เพราะเคยชินที่จะมองคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปแล้ว
ส่วนถ้ำสวรรค์หลีจู ในเมื่อถูกโจวมี่มองเป็นสถานที่เดินขึ้นฟ้า คิดดูแล้วก็คงไม่ขาดความมหัศจรรย์
รถหรูหราคันนั้นจอดลงบนพื้นช้าๆ กงซินโจวกระตุกชายแขนเสื้อของเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย ก้าวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า ประสานมือคารวะ “กงซินโจวเทพน้อยแห่งภูเขาเซียงเฝ่ยและกานโจวแม่ย่าลำคลองเฉาชิงคารวะเหมยฝู่จวิน”
พวกภูติที่อยู่ด้านหลังก็เอาอย่าง ประสานมือคารวะโค้งกายคำนับเหมยฝู่จวินอย่างเข้าท่าเข้าทีเสียงดังระงม
“พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกนี่แหละ”
เหมยเฮ้อออกคำสั่งแก่ขุนนางชั้นผู้น้อยของจวนเทพภูเขา ก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว ลงมาจากรถที่ทาด้วยสีเขียว พลิ้วกายลงบนพื้น โบกชายแขนเสื้อ “ไม่ต้องมากพิธี”
เห็นว่าโต๊ะของสตรีขายเหล้ามีกันอยู่สามคน สองคนเป็นคนแปลกหน้า ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าของตัวเอง ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ แม้ว่าในใจของใต้เท้าฝู่จวินจะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า พวกบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระพวกนี้ บางทีชั่วชีวิตนี้คงจะเคยอ่านตำรามาแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น ไม่รู้หลักมารยาทจึงจะสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไยตนต้องโมโหโกรธาด้วย
เหมยเฮ้อเดินก้าวเข้าไปในร้านเหล้า ยกมือขึ้นอุดจมูก ขมวดคิ้วน้อยๆ เทพภูเขาผู้เฒ่าใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ กานโจวเตรียมจะนั่งลงไปก่อน แต่กลับถูกกงซินโจวรีบยกเท้าเหยียบบนหลังเท้าของเด็กสาว เด็กสาวเจ็บเท้าจึงได้แต่ยืนต่อไป
เหมยเฮ้อไม่คิดจะมองภูติที่อยู่ใต้การปกครองพวกนั้น เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เปลี่ยนสถานที่ไปดื่มเหล้าเถอะ”
โต๊ะสามตัวในร้านเหล้ากว่าจะมีลูกค้ามานั่งกันเต็มได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือผีขี้เหล้าทั้งหลายเหมือนได้รับอภัยโทษ พากันเดินก้าวเร็วๆ หนีออกไปจากร้านเหล้า
เหมยเฮ้อเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทในวงการขุนนางกับกงซินโจวและกานโจวไปสองสามประโยค จากนั้นหันหน้าไปยิ้มถามสตรีขายเหล้าว่า “สหายจิ่งสิง ไม่เคยคิดจะบุกเบิกจวนหาลานประกอบพิธีกรรมที่มีปราณวิญญาณดีๆ สักหน่อยในแถบนี้บ้างหรือ?”
ขุนเขาสายน้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงของใต้หล้า สถานที่งดงามที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ได้ถูกสำนักตระกูลเซียนยึดครองไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทั้งยังถูกวัดวาอารามยึดครองไปอีกสองส่วน จากนั้นจึงถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำครอบครองไปอีกสองส่วน นี่ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าทองพันชั่งก็ยากจะซื้อถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กได้ พวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่เป็นโล้เป็นพายคิดจะหาสถานที่ดีๆ สักแห่งซึ่งพอจะเรียกได้ว่าเป็นลานประกอบพิธีกรรมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สตรีวัยกลางคนที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้ ในความคิดของเฮ้อเหมยแล้วก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่อยากจะสร้างโอสถทองอยู่ที่นี่ หากว่านางมีความคิดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเหมยเฮ้อออกเดินทางมาครั้งนี้ก็ได้พกแผนที่ฉบับหนึ่งติดตัวมาด้วย ยังช่วยวาดวงกลมสีแดงวงไว้ให้หลายจุด สามารถมอบให้นางเลือกได้ ตนไว้หน้านางมากแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ยังไม่สร้างโอสถทอง ทว่าตนกลับเป็นฝู่จวินผู้ยิ่งใหญ่ เท่ากับเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง นั่งบัญชาการณ์ขุนเขาสายน้ำ ถ้าอย่างนั้นขอแค่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้เป็นมังกรตัวหนึ่งก็ยังต้องหมอบแต่โดยดี!
สตรีวัยกลางคนหัวเราะ แต่กลับไม่เอ่ยอะไร เหมยเฮ้อจึงหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา บิดฝาเปิดออก กลิ่นบุปผาหอมโชยมาปะทะจมูก เขาสูดดมแล้วยิ้มถามว่า “สองท่านนี้คือ?”
หย่างจื่อถึงได้เปิดปากพูดว่า “คือสหายบนภูเขาสองคนของข้า คนหนึ่งแซ่เฉิน คนหนึ่งฉายาว่าชิงถง ต่างก็ไม่ใช่คนในพื้นที่”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ถือว่าเป็นสหาย แค่มาทวงหนี้เท่านั้น”
สีหน้าหย่างจือเป็นปกติ ทว่าในใจกลับเสียดายภายหลังอย่างยิ่งที่ตอนนั้นเจ้าหมอนี่สังหารหลีเจินแล้วยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบเพียงลำพัง ในมือถือกระบี่ ปลายกระบี่ชี้มายังราชาบนบัลลังก์เก่าอย่างพวกเขา ตอนนั้นตนกลับไม่ได้ยื่นนิ้วไปบดขยี้อีกฝ่ายให้ตายไปเสีย
เวลานี้หย่างจื่อได้จงใจปิดบังสภาพการณ์ในหัวใจของตัวเองแล้ว เฉินผิงอันย่อมไม่ได้ยินเสียงในใจที่ ‘เส้นเอ็นหัวใจสั่นสะเทือนเหมือนเสียงฟ้าผ่า’ นั่นอีก
“จิ่งสิงผู้นี้ อย่าเห็นว่านางแต่งกายเรียบง่าย แท้จริงแล้วทรัพย์สินของนางมากมหาศาล มีเงินเยอะ หากว่าเหมยซานจวินยินดี”
เฉินผิงอันยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาปาดตรงลำคอ “หากทำสำเร็จ พวกเราสองคนสามารถแบ่งกันคนละห้าส่วนได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!