ยามที่ท่านเทพภูเขาผู้เฒ่าพูดจาไม่เกรงใจกลับแอบหันไปขยิบตาให้คนชุดเขียว ออกมาอยู่ข้างนอก อย่าได้ทำเรื่องที่ใช้แต่อารมณ์เลยนะ
คนต่างถิ่นอย่างเจ้า ทำไมถึงไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ ไม่รู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูดของคนเลยแม้แต่น้อย เจ้าไม่เห็นหรือว่าเหมยซานจวินหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว?
หย่างจื่อโบกพัดใบลาน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เหมยฝู่จวิน เรื่องของการจ่ายเงินซื้อสถานที่ประกอบพิธีกรรม คราวหน้าข้าจะไปเยือนจวนชิงอวิ๋นเพื่อปรึกษากับท่านด้วยตัวเอง วันนี้อย่าเพิ่งพูดกันเลยดีกว่า มีแขกอยู่ด้วย”
นางกังวลว่าเจ้าเหมยเฮ้อผู้นี้พูดจาไม่เข้าหูอาจถูคนฟันตายเอาได้
แม้ว่าเหมยเฮ้อจะแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนใจ แต่กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก ลุกขึ้นเดินจากไป เดินไปขึ้นรถที่ทาเคลือบด้วยสีเขียว ทะยานเมฆหวนกลับไปยังจวนของตัวเอง
กงซินโจวดึงตัวเด็กสาวแม่ย่าลำคลองให้ไปส่งอีกฝ่ายด้วยกัน รอกระทั่งไม่เห็นร่องรอยของราชรถแล้วถึงได้กลับมาที่ร้านเหล้า ดื่มเหล้าต่อ ชามเหล้าบนโต๊ะล้วนว่างเปล่าแล้วจึงถือชามด้วยมือข้างละใบเดินไปยังถังบรรจุสุรา คนหนุ่มชุดเขียวก็ยืนอยู่ที่ถังเหล้าแล้ว ตอนที่ท่านเทพภูเขาไปตักเหล้า คนต่างถิ่นที่ไม่เข้าใจเรื่องการวางตัวในสังคมแม้แต่น้อยผู้นี้ เวลานี้กลับเหมือนสติปัญญาเปิดออก ไม่ได้ตักเหล้าให้ตัวเองเสร็จแล้วเดินกลับไป ถึงกับเป็นฝ่ายช่วยตักเหล้าให้ ท่านเทพภูเขาผู้เฒ่าถอนหายใจอยู่ในใจเบาๆ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ ยืนกรานจะถกถียงในเรื่องที่ไม่เจ็บไม่คันไม่สลักสำคัญกับเหมยฝู่จวินให้จงได้ไปทำไมกัน
เฉินผิงอันกลับมานั่งที่โต๊ะ ร้องหึหนึ่งที “ตราประทับข้าแพร่ไปทั่วใต้หล้า คนที่เลียนแบบย่อมมีมากมาย”
หย่างจื่อถามชวนคุย “เจ้าเกลียดแค้นเลี่ยจี่หรือไม่?”
บางทีอาจเป็นเพราะการออกกระบี่ของเลี่ยจี่ ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้ออกจากคฤหาสน์หลบร้อนไปอย่างลับๆ ไปเยือนคุก แล้วถึงได้เจอกับคนเย็บผ้า ถึงได้แบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจ ถึงได้ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง…
เรื่องที่แน่นอนเรื่องหนึ่ง ไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเกิดจากความบังเอิญกี่มากน้อยที่ร้อยเรียงต่อกัน
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะไปเกลียดแค้นเขาทำไม ก็เป็นแค่เรื่องที่มีเหตุผลกับไม่มีเหตุผลเท่านั้น”
ปีนั้นพวกผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเซียวสวิ้น ลั่วซาน จู๋อาน คนที่ทรยศก็ดี หรือคนอย่างเลี่ยจี่ที่ตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ช่าง หรือจะเป็นคนอย่างจางลู่ที่ตั้งแต่ต้นจนจบเลือกที่จะนิ่งดูดายอย่างเดียว
ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บางทีพวกเขาอาจจะแค่เกลียดใต้หล้าไพศาลอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ยินดีจะให้ใต้หล้าไพศาลที่สงบสุขมานานนับหมื่นปีสงบสุขอีกต่อไป
ผู้ฝึกกระบี่พวกนั้นเคารพนับถือเฉินชิงตูที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองมานานนับหมื่นปี แต่ส่วนลึกในใจย่อมไม่เห็นด้วยกับการเลือกของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส จะต้องรู้สึกว่าขี้ขลาดเกินไป อัดอั้นตันใจเกินไป
ส่วนเลี่ยจี่ผู้นั้น อันที่จริงยังเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนแรกๆ ไปที่จ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มที่ร้านเหล้าเล็กร้านนั้นด้วย
ปีนั้นอยู่บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันรับเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ตัวเองหมักเองกาหนึ่งมาจากมือของเลี่ยจี่
คิดไม่ถึงว่าการรับเหล้ากานี้จะเป็นการรับกระบี่ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น หันไปยังทิศทางหนึ่งเล็กน้อย จากนั้นกระดกดื่มจนหมด
ไม่ถ่วงรั้งการแบ่งเป็นตายบนสนามรบบางแห่งของคนทั้งสอง ทั้งยังไม่ขัดขวางการที่ในใจเฉินผิงอันจะเห็นว่าคนอย่างเลี่ยจี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว
หย่างจื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “หมี่อวี้เคยออกกระบี่ที่สนามรบของนครมังกรเฒ่า ได้ยินว่าพอออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไปพึ่งพาภูเขาลั่วพั่วของเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หย่างจื่อถาม “เขาฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใกล้แล้วล่ะ”
หย่างจื่อไม่เห็นเป็นสำคัญ “ฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ของใต้หล้าไพศาล มีความหมายที่ใด หากจะให้ข้าพูด คนที่จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์อย่างหมี่อวี้ ปีนั้นก็ควรจะติดตามเซียวสวิ้นไปอยู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อยู่ต่อที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีสถานะบนทำเนียบเพิ่มมา มีแต่จะถูกมัดมือมัดเท้า ก็เหมือนคนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการ คิดจะออกเดินทางไกลสักครั้งก็ยังต้องไปลงชื่อ จะต้องหาเรื่องลำบากให้ตัวเองไปไย”
“อย่าได้ใช้ความคิดของตัวเองไปวัดความคิดของคนอื่น”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ย “ในเมื่อไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็อย่าสอนผู้ฝึกกระบี่ว่าไม่ควรทำอะไร”
ไม่ยินดีจะพูดถึงเรื่องนี้ให้มากความ เฉินผิงอันหันไปมองเด็กสาวแม่ย่าลำคลอง ถามว่า “ขายเหล้าอยู่ที่นี่ทุกวัน อยู่ว่างๆ ก็เบื่อ เจ้าไม่คิดจะรับกานโจวเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ ถ่ายทอดวิชาคาถาน้ำให้นางสักบทสองบทบ้างหรือ?”
แม่ย่าลำคลองเฉาชิวผู้นี้คล้ายจะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่าคันฉ่องงูรัด ชื่อของกระจกตั้งมาจากภาษาโบราณที่มีพลังอำนาจมหาศาลประโยคหนึ่ง
‘ข้าพิศมองห้วงมหรณพกว้างใหญ่ คลื่นยักษ์ถาโถมซัดสาด เก้าทวีปอยู่ตรงกลาง ดุจงูรัดพันคันฉ่อง’
เล่าลือกันว่าความเป็นมาของขอบเขตชมมหาสมุทรของผู้ฝึกลมปราณก็มีที่มาจากประโยคนี้เช่นกัน
แม้ว่าระดับขั้นของกระจกบานนี้ของเด็กสาวจะไม่สูง เป็นแค่อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับหย่างจื่อแล้ว หากคิดตามกฎเกณฑ์บนภูเขา ก็ถือว่าเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งได้เช่นกัน
หย่างจื่อมองเด็กสาวแม่ย่าลำคลองที่ไม่ได้น่ารังเกียจเลยจริงๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อวันนี้เจ้าพูดแบบนี้แล้ว วันหน้าก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์แล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าสองคนคุยกันเสร็จแล้วหรือ?”
ชิงถงพยักหน้า “วันหน้าหากข้ามีโอกาสได้มาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ค่อยมาหาสหายหย่างจื่อใหม่”
หย่างจื่อยิ้มเอ่ย “ชิงถง บนร่างเจ้ามีหนังสือเบ็ดเตล็ดสักสองสามเล่มมามอบให้ข้าบ้างได้ไหม”
นอกจากตำราลับที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งหลาย รวมไปถึงหนังสือโบราณที่มีเล่มเดียวซึ่งหาได้ยากที่ลำคลองเย่ลั่วเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี บนร่างของนางก็มีหนังสือเบ็ดเตล็ดอยู่แค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น หลายปีมานี้เปิดอ่านไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว หากจะบอกว่าจะต้องเปิดปากขอจากศาลบุ๋นในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ หย่างจื่อก็เปิดปากไม่ได้จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้นางหน้าหนาเช่นนี้จริง ผลคือศาลบุ๋นมอบตำราอริยะปราชญ์กองหนึ่งมาให้ จะไม่ยิ่งเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเข้าไปใหญ่หรอกหรือ
ชิงถงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เรื่องเล็กน้อย ชอบอ่านตำราประเภทไหนล่ะ? เป็นตำราของสามลัทธิ เกร็ดพงศาวดาร หรือว่านิยายเรื่องเล่าประหลาด บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ นิยายต่อสู้?”
หย่างจื่อเองก็ไม่เกรงใจชิงถง เอ่ยว่า “เอามาทุกชนิด ชนิดล่ะหลายๆ เล่ม”
ชิงถงหันไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเดาความคิดของพวกเขาออก จึงยิ้มเอ่ยว่า “หากพวกเจ้าสองคนสามารถทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยใต้เปลือกตาของหลี่เซิ่งได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ ข้าจะขวางได้อย่างไร”
ดังนั้นชิงถงจึงวางใจได้ แอบร่ายเวทคาถาบทหนึ่งมอบหนังสือให้หย่างจื่อไว้ร้อยกว่าเล่ม
หย่างจื่อเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
จากนั้นหย่างจื่อที่ลังเลเล็กน้อยก็จ้องเป๋งมาที่เฉินผิงอัน ถามว่า “การค้าที่ข้าเสนอไปก่อนหน้านี้ เจ้าไม่มีความเห็นอะไรจริงๆ หรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!