อ่านสรุป บทที่ 929.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เก้า) จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 929.3 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (เก้า) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ยามที่ท่านเทพภูเขาผู้เฒ่าพูดจาไม่เกรงใจกลับแอบหันไปขยิบตาให้คนชุดเขียว ออกมาอยู่ข้างนอก อย่าได้ทำเรื่องที่ใช้แต่อารมณ์เลยนะ
คนต่างถิ่นอย่างเจ้า ทำไมถึงไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ ไม่รู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูดของคนเลยแม้แต่น้อย เจ้าไม่เห็นหรือว่าเหมยซานจวินหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว?
หย่างจื่อโบกพัดใบลาน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เหมยฝู่จวิน เรื่องของการจ่ายเงินซื้อสถานที่ประกอบพิธีกรรม คราวหน้าข้าจะไปเยือนจวนชิงอวิ๋นเพื่อปรึกษากับท่านด้วยตัวเอง วันนี้อย่าเพิ่งพูดกันเลยดีกว่า มีแขกอยู่ด้วย”
นางกังวลว่าเจ้าเหมยเฮ้อผู้นี้พูดจาไม่เข้าหูอาจถูคนฟันตายเอาได้
แม้ว่าเหมยเฮ้อจะแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนใจ แต่กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก ลุกขึ้นเดินจากไป เดินไปขึ้นรถที่ทาเคลือบด้วยสีเขียว ทะยานเมฆหวนกลับไปยังจวนของตัวเอง
กงซินโจวดึงตัวเด็กสาวแม่ย่าลำคลองให้ไปส่งอีกฝ่ายด้วยกัน รอกระทั่งไม่เห็นร่องรอยของราชรถแล้วถึงได้กลับมาที่ร้านเหล้า ดื่มเหล้าต่อ ชามเหล้าบนโต๊ะล้วนว่างเปล่าแล้วจึงถือชามด้วยมือข้างละใบเดินไปยังถังบรรจุสุรา คนหนุ่มชุดเขียวก็ยืนอยู่ที่ถังเหล้าแล้ว ตอนที่ท่านเทพภูเขาไปตักเหล้า คนต่างถิ่นที่ไม่เข้าใจเรื่องการวางตัวในสังคมแม้แต่น้อยผู้นี้ เวลานี้กลับเหมือนสติปัญญาเปิดออก ไม่ได้ตักเหล้าให้ตัวเองเสร็จแล้วเดินกลับไป ถึงกับเป็นฝ่ายช่วยตักเหล้าให้ ท่านเทพภูเขาผู้เฒ่าถอนหายใจอยู่ในใจเบาๆ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ ยืนกรานจะถกถียงในเรื่องที่ไม่เจ็บไม่คันไม่สลักสำคัญกับเหมยฝู่จวินให้จงได้ไปทำไมกัน
เฉินผิงอันกลับมานั่งที่โต๊ะ ร้องหึหนึ่งที “ตราประทับข้าแพร่ไปทั่วใต้หล้า คนที่เลียนแบบย่อมมีมากมาย”
หย่างจื่อถามชวนคุย “เจ้าเกลียดแค้นเลี่ยจี่หรือไม่?”
บางทีอาจเป็นเพราะการออกกระบี่ของเลี่ยจี่ ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้ออกจากคฤหาสน์หลบร้อนไปอย่างลับๆ ไปเยือนคุก แล้วถึงได้เจอกับคนเย็บผ้า ถึงได้แบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจ ถึงได้ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง…
เรื่องที่แน่นอนเรื่องหนึ่ง ไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเกิดจากความบังเอิญกี่มากน้อยที่ร้อยเรียงต่อกัน
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะไปเกลียดแค้นเขาทำไม ก็เป็นแค่เรื่องที่มีเหตุผลกับไม่มีเหตุผลเท่านั้น”
ปีนั้นพวกผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเซียวสวิ้น ลั่วซาน จู๋อาน คนที่ทรยศก็ดี หรือคนอย่างเลี่ยจี่ที่ตายอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ช่าง หรือจะเป็นคนอย่างจางลู่ที่ตั้งแต่ต้นจนจบเลือกที่จะนิ่งดูดายอย่างเดียว
ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บางทีพวกเขาอาจจะแค่เกลียดใต้หล้าไพศาลอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ยินดีจะให้ใต้หล้าไพศาลที่สงบสุขมานานนับหมื่นปีสงบสุขอีกต่อไป
ผู้ฝึกกระบี่พวกนั้นเคารพนับถือเฉินชิงตูที่เฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองมานานนับหมื่นปี แต่ส่วนลึกในใจย่อมไม่เห็นด้วยกับการเลือกของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส จะต้องรู้สึกว่าขี้ขลาดเกินไป อัดอั้นตันใจเกินไป
ส่วนเลี่ยจี่ผู้นั้น อันที่จริงยังเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนคนแรกๆ ไปที่จ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มที่ร้านเหล้าเล็กร้านนั้นด้วย
ปีนั้นอยู่บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันรับเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ตัวเองหมักเองกาหนึ่งมาจากมือของเลี่ยจี่
คิดไม่ถึงว่าการรับเหล้ากานี้จะเป็นการรับกระบี่ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น หันไปยังทิศทางหนึ่งเล็กน้อย จากนั้นกระดกดื่มจนหมด
ไม่ถ่วงรั้งการแบ่งเป็นตายบนสนามรบบางแห่งของคนทั้งสอง ทั้งยังไม่ขัดขวางการที่ในใจเฉินผิงอันจะเห็นว่าคนอย่างเลี่ยจี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว
หย่างจื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “หมี่อวี้เคยออกกระบี่ที่สนามรบของนครมังกรเฒ่า ได้ยินว่าพอออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไปพึ่งพาภูเขาลั่วพั่วของเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หย่างจื่อถาม “เขาฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใกล้แล้วล่ะ”
หย่างจื่อไม่เห็นเป็นสำคัญ “ฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ของใต้หล้าไพศาล มีความหมายที่ใด หากจะให้ข้าพูด คนที่จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์อย่างหมี่อวี้ ปีนั้นก็ควรจะติดตามเซียวสวิ้นไปอยู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อยู่ต่อที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีสถานะบนทำเนียบเพิ่มมา มีแต่จะถูกมัดมือมัดเท้า ก็เหมือนคนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการ คิดจะออกเดินทางไกลสักครั้งก็ยังต้องไปลงชื่อ จะต้องหาเรื่องลำบากให้ตัวเองไปไย”
“อย่าได้ใช้ความคิดของตัวเองไปวัดความคิดของคนอื่น”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเอ่ย “ในเมื่อไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็อย่าสอนผู้ฝึกกระบี่ว่าไม่ควรทำอะไร”
ไม่ยินดีจะพูดถึงเรื่องนี้ให้มากความ เฉินผิงอันหันไปมองเด็กสาวแม่ย่าลำคลอง ถามว่า “ขายเหล้าอยู่ที่นี่ทุกวัน อยู่ว่างๆ ก็เบื่อ เจ้าไม่คิดจะรับกานโจวเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ ถ่ายทอดวิชาคาถาน้ำให้นางสักบทสองบทบ้างหรือ?”
แม่ย่าลำคลองเฉาชิวผู้นี้คล้ายจะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่าคันฉ่องงูรัด ชื่อของกระจกตั้งมาจากภาษาโบราณที่มีพลังอำนาจมหาศาลประโยคหนึ่ง
‘ข้าพิศมองห้วงมหรณพกว้างใหญ่ คลื่นยักษ์ถาโถมซัดสาด เก้าทวีปอยู่ตรงกลาง ดุจงูรัดพันคันฉ่อง’
เล่าลือกันว่าความเป็นมาของขอบเขตชมมหาสมุทรของผู้ฝึกลมปราณก็มีที่มาจากประโยคนี้เช่นกัน
แม้ว่าระดับขั้นของกระจกบานนี้ของเด็กสาวจะไม่สูง เป็นแค่อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับหย่างจื่อแล้ว หากคิดตามกฎเกณฑ์บนภูเขา ก็ถือว่าเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งได้เช่นกัน
หย่างจื่อมองเด็กสาวแม่ย่าลำคลองที่ไม่ได้น่ารังเกียจเลยจริงๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อวันนี้เจ้าพูดแบบนี้แล้ว วันหน้าก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์แล้วกัน”
เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าสองคนคุยกันเสร็จแล้วหรือ?”
ชิงถงพยักหน้า “วันหน้าหากข้ามีโอกาสได้มาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ค่อยมาหาสหายหย่างจื่อใหม่”
หย่างจื่อยิ้มเอ่ย “ชิงถง บนร่างเจ้ามีหนังสือเบ็ดเตล็ดสักสองสามเล่มมามอบให้ข้าบ้างได้ไหม”
นอกจากตำราลับที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งหลาย รวมไปถึงหนังสือโบราณที่มีเล่มเดียวซึ่งหาได้ยากที่ลำคลองเย่ลั่วเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี บนร่างของนางก็มีหนังสือเบ็ดเตล็ดอยู่แค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น หลายปีมานี้เปิดอ่านไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว หากจะบอกว่าจะต้องเปิดปากขอจากศาลบุ๋นในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ หย่างจื่อก็เปิดปากไม่ได้จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้นางหน้าหนาเช่นนี้จริง ผลคือศาลบุ๋นมอบตำราอริยะปราชญ์กองหนึ่งมาให้ จะไม่ยิ่งเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเข้าไปใหญ่หรอกหรือ
ชิงถงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เรื่องเล็กน้อย ชอบอ่านตำราประเภทไหนล่ะ? เป็นตำราของสามลัทธิ เกร็ดพงศาวดาร หรือว่านิยายเรื่องเล่าประหลาด บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ นิยายต่อสู้?”
หย่างจื่อเองก็ไม่เกรงใจชิงถง เอ่ยว่า “เอามาทุกชนิด ชนิดล่ะหลายๆ เล่ม”
ชิงถงหันไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเดาความคิดของพวกเขาออก จึงยิ้มเอ่ยว่า “หากพวกเจ้าสองคนสามารถทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยใต้เปลือกตาของหลี่เซิ่งได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ ข้าจะขวางได้อย่างไร”
ดังนั้นชิงถงจึงวางใจได้ แอบร่ายเวทคาถาบทหนึ่งมอบหนังสือให้หย่างจื่อไว้ร้อยกว่าเล่ม
หย่างจื่อเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
จากนั้นหย่างจื่อที่ลังเลเล็กน้อยก็จ้องเป๋งมาที่เฉินผิงอัน ถามว่า “การค้าที่ข้าเสนอไปก่อนหน้านี้ เจ้าไม่มีความเห็นอะไรจริงๆ หรือ?”
จิตของเทพภูเขาเฒ่าขยับไหวเล็กน้อย รีบเปิดหน้าหนังสือ ในหน้าท้ายของตำราตราประทับเล่มนั้นมีตราประทับใหม่เอี่ยมอันหนึ่งที่เมื่อก่อนต้องไม่เคยมีมาก่อนแน่นอน
‘ต่อให้ภูเขาไม่สูง แต่มีเทพก็ศักดิ์สิทธิ์ได้’
เด็กสาวแม่ย่าลำคลองยืดคอมามองแล้วก็ไม่ได้เห็นเป็นสำคัญอะไร เพียงแค่สังเกตเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยะกลับลุกขึ้นกะทันหัน คล้ายว่ามีแขกผู้สูงศักดิ์อย่างแท้จริงมาเยือน มองตามสายตาของสตรีคนขายเหล้าไป คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่กลิ่นอายตำรามีเต็มร่าง มองดูแล้วค่อนข้างคุ้นหน้าอยู่บ้าง ข้างกายบัณฑิตคือบัณฑิตเฒ่าลักษณะยากจน หน้าตาไม่คุ้น บัณฑิตทั้งสองเดินตรงมาที่นี่ด้วยกัน จากนั้นแม่ย่าลำคลองเฉาชิวคล้ายจะตาลายไปวูบหนึ่ง ผู้เฒ่ายากจนก็เหมือนหดย่อพื้นที่มาอยู่ข้างโต๊ะเหล้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังตบไหล่ของเทพภูเขาเฒ่า หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พี่ชายเทพภูเขาท่านนี้ ตราประทับบนตำราสง่างามหรือไม่?!”
หย่างจื่อสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง ใช้เสียงในใจสอบถาม “หลี่เซิ่งมาได้อย่างไร?”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “มิอาจต้านทานการกระทำที่ผิดปกติของใครบางคนได้ ถึงกับไม่ได้อาละวาดโวยวายอย่างที่แล้วมา แค่ดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่คนเดียวเท่านั้น จนซีผิงยังรู้สึกกลัวเขา จึงได้แต่มาแจ้งข้า เพื่อจะได้ให้ใครบางคนสบายใจ”
คนแต่ละรุ่นล้วนต้องมีบุคคลที่ยากจะทัดเทียมได้
ป๋ายเหย่ ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของโลกมนุษย์ ผู้ประสบความสำเร็จด้านยันต์อย่างอวี๋เสวียน ซูจื่อผู้ห้าวหาญ หลิ่วชีผู้สง่างาม
เทียนซือภูใหญ่เขามังกรพยัคฆ์รุ่นก่อน เหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ คนพิฆาตมังกร โจวเสินจือแห่งแผ่นดินกลาง ไหวอิน…
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว กวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก เผยเปย เฉาสือ…
ทว่าต่อให้เป็นผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในไพศาลอย่างป๋ายเหย่ คนที่นิสัยพยศยากกำราบอย่างคนพิฆาตมังกร คนที่ลึกลับยากจะคาดเดาอย่างเจิ้งจวีจง คาดว่าเมื่อมาอยู่กับจอมปราชญ์น้อยที่อยู่ในรูปลักษณ์ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นี้ก็คงจะยังยึดหลักมารยาทของผู้เยาว์อย่างยินยอมพร้อมใจกระมัง
แม่ย่าลำคลองเฉาชิวถามอย่างระมัดระวัง “นายท่านหลี่เซิ่ง?”
หลี่เซิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ซิ่วไฉเฒ่าจัดระเบียบเสื้อผ้า กระแอมหนึ่งที ก่อนจะกระแอมติดๆ กันอีกหลายที เด็กสาวได้แต่รู้สึกสงสัย ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย อะไร เจ้าเป็นใครกัน ต่อให้เป็นนายท่านขุนนางในศาลบุ๋น เป็นผู้อำนวยการรองผู้อำนวยการหรือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอะไรนั่น แต่ข้าก็ไม่รู้จักเจ้านี่นา จะให้ข้าพูดประจบได้อย่างไร?
ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่แนะนำตัวเอง สะบัดชายแขนเสื้อ “ข้าคืออาจารย์ของมือกระบี่ชุดเขียวคนเมื่อครู่นี้”
กงซินโจวเหม่อมองนายท่านหลี่เซิ่ง กลืนน้ำลายเอื้อก ถ้อยคำนับพันนับหมื่นถูกอุดอยู่ตรงปาก ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดเช่นไร ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าไปหลายชาม ต้องโทษสุราเลยทีเดียว
จากนั้นไหล่ของเทพภูเขาผู้เฒ่าก็ถูกซิ่วไฉฒ่าตบอีกที “ดีๆๆ พี่เทพภูเขาช่างมีความกล้าหาญจริงๆ ต่อให้เจอกับหลี่เซิ่งของพวกเราแล้วจะอย่างไร ก็ยังแน่วนิ่งไม่สะทกสะท้านดุจมหาบรรพต...”
ระหว่างที่พูดซิ่วไฉเฒ่าได้เดินอ้อมผ่านโต๊ะเหล้ามาช่วยขยับยกม้านั่งยาวให้หลี่เซิ่งแล้ว จากนั้นก็วิ่งตุปัดตุเป๋ไปตักเหล้า ยกเหล้ามาวางบนโต๊ะ ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ ทำเหมือนกับเทพภูเขาผู้เฒ่าก่อนหน้านี้ไม่มีผิด จากนั้นก็วิ่งไปที่ถังเหล้าอีกรอบ แม้แต่ส่วนของเทพภูเขาผู้เฒ่าและเด็กสาวแม่ย่าลำคลองก็ยังไม่ลืม เพียงชั่วพริบตาก็ทำสำเร็จได้ในรวดเดียว กงซินโจวที่ถูกคนเรียกว่าพี่ชายเทพภูเขาคำแล้วคำเล่ารับชามเหล้ามา ถามเสียงสั่นว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์คือใครหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจยาวเหยียด บ่นว่า “ถามเรื่องนี้ทำไม แค่รู้ว่าลูกศิษย์ปิดสำนักของข้าเป็นใครก็พอแล้ว”
หลี่เซิ่งมองซิ่วไฉเฒ่าที่ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง แล้วจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “พวกเรานั่งลงดื่มเหล้ากันเถอะ”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในสวนกงเต๋อไม่ได้เป็นเช่นนี้ จิงเซิงซีผิงไม่เคยเห็นซิ่วไฉเฒ่าที่เงียบงันเช่นนั้นมาก่อน
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!