สรุปเนื้อหา บทที่ 930.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบ) – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 930.4 ยืมพันภูเขาหมื่นสายน้ำจากท่านทั้งหลาย (สิบ) ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ทุกครั้งที่เถียนหูจวินอยู่ในห้องนี้ แม้แต่จะดื่มเหล้าก็ยังไม่กล้าดื่มคำใหญ่จริงๆ
กลัวก็แต่ว่าจะทำให้อาจารย์ไม่พอใจ จากนั้นคิดบัญชีเก่าใหม่กับตนพร้อมกันทีเดียว
ได้ยินประโยคที่แฝงปราณสังหารนี้ของหลิวจื้อเม่า ใบหน้าของเถียนหูจวินก็ขาวซีดในฉับพลัน
คำว่า ‘คนเขา’ ที่อาจารย์พูดถึง แน่นอนว่าต้องหมายถึงอิ่นกวานผู้นั้นแล้ว
จางเย่ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เถียนหูจวินก็ไม่ถือว่าแย่สักหน่อย หรือว่าทุกวันนี้แม้แต่เซียนดินโอสถทองก็ไม่มีค่าแล้ว?”
หลิวจื้อเม่าหลุดหัวเราะพรืด “ที่ใบถงทวีปคงจะมีค่ามากเลยล่ะ เถียนเซียนดินของพวกเราไปที่นั่น คิดจะเปิดภูเขาตั้งสำนักก็ไม่ได้ยากเลย”
อันที่จริงสำหรับการเติบโตทีละก้าวของเถียนหูจวิน จางเย่ก็มีความประทับใจที่ไม่เลวอยู่เหมือนกัน ก็แค่ว่าจิตแห่งมรรคาของนางไม่แข็งแกร่งพอก็เท่านั้น หากจะพูดถึงใจที่คิดทำร้ายคนอื่น อันที่จริงนางไม่ได้มีมากนัก ทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ผู้ฝึกตนที่มีเพียงขอบเขต จิตใจไม่อำมหิตมากพอเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่ายากที่จะหยัดยืนอยู่ได้นาน เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผันผ่าน ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบของสำนักเจินจิ้งก็หนีไม่พ้นแค่ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่ต้องวางแผนปัดแข้งปัดขาคนอื่นมากเกินไป ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่ากับใคร กลับกลายเป็นว่าจะมีอนาคตยาวไกลได้มากกว่า
นี่ก็คงเป็นเหมือนประโยคหยอกล้อที่นักบัญชีในปีนั้นกล่าวไว้ คนของวันนี้ยากจะบอกเรื่องของวันพรุ่งนี้ได้อย่างชัดเจน
หลังจากนั้นยังมีประโยคที่มาจากใจจริงอีกประโยคว่า หากสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ววันนี้ยังคงไร้เรื่องราวใด นั่นก็คือช่วงเวลาอันดีของโลกมนุษย์
จางเย่เก็บความคิดจิตใจพวกนี้กลับคืนมา เอ่ยหยอกล้อว่า “สำนักเจินจิ้งของพวกเจ้าไม่มีความสามารถผายลมอะไรทั้งนั้น มีเพียงเปลี่ยนเจ้าสำนักบ่อยนี่แหละที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากยังเปลี่ยนคนอีก เจ้าสำนักคนถัดไปก็น่าจะถึงคราวเจ้าแล้วกระมัง?”
เจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋ง หลิวเหล่าเฉิง เก้าอี้อันดับหนึ่งในศาลบรรพจารย์ พวกเขาต่างก็นั่งกันเก้าอี้ยังไม่ทันร้อนก็ต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว
กับสหายเก่าแก่อย่างจางเย่ หลิวจื้อเม่าไม่ได้มีการปิดบังใดๆ ยิ้มเอ่ยว่า “หลิวเหล่าเฉิงเคยมาพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวอยู่ครั้งหนึ่ง ถามข้าว่ามีความต้องการนี้หรือไม่ หากว่ายินดี เขาก็สามารถวางแผนทำเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เมื่อโอกาสมาถึง หลิวเหล่าเฉิงก็จะแนะนำให้กับสำนักเบื้องบน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว ยากที่จะผ่านด่านทางฝ่ายสำนักกุยหยกไปได้ เพราะถึงอย่างไรเหวยอิ๋งผู้นั้นก็ไม่ได้กินหญ้า เขาจะต้องมีแผนการเป็นของตัวเองแน่นอน พูดถึงแค่ยอดเขาจิ่วอี้ ทุกวันนี้ก็มีเจ้าของคนใหม่แล้ว แต่ว่าข้าไม่ได้ตอบตกลงกับเรื่องนี้”
บอกตามตรง เจ้าสำนักสามรุ่นก่อนหลังของสำนักกุยหยก นับตั้งแต่สวินยวนมาจนถึงเจียงซ่างเจิน แล้วมาจนถึงเหวยอิ๋งในทุกวันนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นบุคคลที่ฝีมือร้ายกาจอย่างถึงที่สุด
จางเย่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ยื่นส่งขนมข้าวที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองชิ้นหนึ่งให้กับหลิวจื้อเม่า แล้วจึงส่งให้เถียนหูจวินหนึ่งชิ้น “ทำไมไม่ตอบตกลงล่ะ? เป็นบุคคลอันดับหนึ่งหรือบุคคลอันดับสอง รสชาติระหว่างนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะ”
หลิวจื้อเม่ารับขนมข้าวมาก้มหน้ากัดกิน “ข้ามองจนกระจ่างแล้ว สถานะทำเนียบที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือเสื้อผ้าที่ถอดไม่ออก คนอื่นมองแล้วรู้สึกว่ามันให้ความอบอุ่น แต่ตัวเองรังเกียจว่ามันร้อน อยากจะถอดกลับถอดไม่ได้ หากคิดจะถอดก็ต้องถอดทั้งเสื้อผ้าและเนื้อหนังชั้นหนึ่งออกมาพร้อมกันด้วย หากว่าข้ายังเป็นแค่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง วันหน้าไม่แน่ว่าอาจจะยังมีทางให้ถอยหนี แต่หากเป็นเจ้าสำนักคนถัดไป ชั่วชีวิตนี้ก็ต้องเดินไปบนทางสายนี้จนสุดทางนั่นแหละ”
ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับการเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ทำอะไรได้ตามใจปรารถนา จะกำเริบเสิบสานอย่างไรก็ได้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงอำนาจก็มากตามไปด้วย ในมือย่อมกุมอำนาจใหญ่ในการชี้เป็นชี้ตาย
ทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ใครที่คิดจะปีนป่ายสู่เบื้องบนก็จำเป็นต้องเหยียบย่ำผ่านเส้นทางสายโลหิตไปถึงจะได้ ลองย้อนนึกดู ปีนั้นไม่ว่าเจ้าเกาะคนใดก็ตาม จะเกาะเล็กหรือเกาะใหญ่ ใต้ฝ่าเท้าของใครบ้างที่ไม่มีโครงกระดูกเป็นหินรองเท้า?
แล้วทุกวันนี้ล่ะ
หนึ่งคือขอบเขตของตัวเองเป็นตัวตัดสิน
นอกจากนี้ก็คือต้องอาศัยเส้นสายและการสืบทอดทางสำนักเท่านั้น
สรุปก็คือขอบเขตของผู้ฝึกตนในสำนักอักษรจง อย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก
พูดถึงบนเกาะกงหลิ่วแห่งนั้นก็มีนังหนูคนหนึ่งชื่อว่าโจวไฉ่เจิน นางมีคุณสมบัติอะไรในการฝึกตน ผลล่ะเป็นอย่างไร? ไม่พูดถึงหลี่ฝูฉวีที่เห็นนางเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง เหมือนผู้สืบทอดยิ่งกว่าผู้สืบทอด ต่อให้เป็นเจ้าสำนักหลิวเหล่าเฉิง พอเห็นนางก็ยังต้องมีสีหน้าเมตตาเป็นมิตรอยู่หลายส่วน
และยังมีลูกศิษย์คนใหม่ที่หลี่ฝูฉวีรับมา ชื่อว่ากวอฉุนซี มาจากสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าอำเภอเซียนโหยว และยังเคยเป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งๆ กลางๆ คนหนึ่ง กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามได้ก็ล้วนอาศัยเงินเทพเซียนผลักดันมาทั้งสิ้น ในอนาคตอาจจะกลายเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้ หลี่ฝูฉวียินดีรับเขาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดจริงหรือ? ก็ไม่ใช่เรื่องเละเทะที่เจียงซ่างเจินโยนมาให้หรือไร หลี่ฝูฉวีไม่กล้าเพิกเฉยก็แค่นั้น นางมิอาจไม่ใส่ใจ ไม่ออกแรง
หลักการเหตุผลเดียวกัน หลี่ฝูฉวีที่เป็นผู้ถวายงานอันดับรอง อยู่กับเจียงซ่างเจินไม่กล้าแม้แต่จะผายลมสักครั้ง แต่อยู่ในกลุ่มสมาชิกศาลบรรพจารย์ของสำนักเจินจิ้ง นางคิดจะพูดกระทบกระเทียบใครสักคน มีใครกล้าไม่เก็บเอามาใส่ใจบ้าง?
หรืออย่างเจิงเย่เจ้าคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ผู้นั้น ปีนั้นไปได้ตำราลับเล่มนั้นมาจากไหน แล้วเหตุใดถึงถูกคนอื่นเรียกขานว่า ‘สามารถเปิดประตูด้านวิชาคาถาอีกบานให้กับวิถีผี’ ได้?
หล่นลงมาจากฟ้าหรือไร? ก็พอจะถือว่าใช่ได้อย่างถูไถ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเจียงซ่างเจินที่โยนมาให้เจิงเย่จริงๆ จากนั้นเจิงเย่ที่เดินเล่นอยู่ข้างทางก็เก็บเอามาได้
จางเย่มองสหายเก่าแวบหนึ่ง พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หางตาของหลิวจื้อเม่าเหลือบมองลูกศิษย์ใหญ่ นางยังนั่งกินขนมข้าวอย่างสบายอารมณ์อยู่เลยนะ
มารดาเถอะ ช่างเป็นเศษสวะที่ไร้หัวสมองจริงๆ
ทำเอาสกัดคงคาเจินจวินโมโหเกือบตาย เกือบจะอดไม่ไหวตบฉาดเข้าที่ใบหน้านางเสียแล้ว
อันที่จริงคำพูดเหล่านี้ของหลิวจื้อเม่าซุกซ่อนความหมายสองอย่างเอาไว้
หลิวเหล่าเฉิงเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้แค่ไม่กี่ปี แต่กลับมีความมั่นใจที่จะเดินสูงขึ้นไปอีกขั้น แสวงหาขอบเขตบินทะยานในตำนาน!
ไม่อย่างนั้นทำไมหลิวเหล่าเฉิงถึงต้องแสดงความเป็นมิตรต่อหลิวจื้อเม่าเช่นนี้ด้วย? ก็ไม่ใช่เพราะวันหน้าอยากเป็นไท่ซ่างหวงของสำนักเจินจิ้งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์หรือไร?
อีกอย่างก็คือคำว่าทางถอยของหลิวจื้อเม่า เถียนหูจวินไม่เข้าใจ แต่จางเย่แค่ชี้นำเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้งทันที พูดถึงการเปิดประตูคราวหน้าของใต้หล้าห้าสี
มีความเป็นไปได้มากว่าหลิวจื้อเม่าจะไปก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ที่นั่น! ให้ตัวเองเป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักแห่งนั้น ไม่ใช่เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่สี่ของสำนักเบื้องล่างผายลมสุนัขนี่
เรื่องนี้มีโอกาสจะเป็นไปได้จริงๆ อีกทั้งไม่ต้องฉีกหน้าแตกหักกับสำนักกุยหยกด้วย ขาดผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างไปคนหนึ่ง แต่กลับมีสหายบนภูเขาที่ได้ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าห้าสีมาคนหนึ่ง แม้จะบอกว่าการเปิดและปิดประตูคราวหน้า หากคิดจะเดินทางข้ามผ่านใต้หล้าใหญ่สองแห่ง ถ้าไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานก็ไม่มีทางทำได้ แต่เรื่องราวในใต้หล้าล้วนไม่มีอะไรที่แน่นอน ยกตัวอย่างเช่นหากหลิวจื้อเม่าโชคดีได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานจริงๆ เล่า? หรือยกตัวอย่างเช่นว่าอยู่ดีๆ ทางฝั่งของศาลบุ๋นเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน อยากจะเปิดประตูเชื่อมโยงเพื่อไปมาหาสู่กับใต้หล้าห้าสีไปอีกนาน? ก็เหมือนอย่างการแลกเปลี่ยนสินค้าตามชายแดนของราชวงศ์ในโลกมนุษย์?
เห็นได้ชัดว่าเถียนหูจวินสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของอาจารย์ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน นางอัดอั้นยิ่งนัก รู้สึกเพียงว่าชีวิตของตัวเองช่างขมขื่น แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่น้อย ทำเพียงก้มหน้ากินขนมข้าว รสชาติเหมือนกลืนเทียน
จางเย่นึกถึงเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าคนมหัศจรรย์ที่เตร็ดเตร่อยู่ในนครฉือสุ่ยมานานหลายปีผู้นั้น ทุกวันนี้ได้กลายมาเป็นแขก (ชิงเค่อ หมายถึงแขกที่ตระกูลชั้นสูงหรือตระกูลขุนนางในสมัยโบราณจะเชิญให้มากินอยู่ในบ้านเพื่อช่วยออกหัวคิดทำเรื่องต่างๆ) ในจวนหูจวินแล้ว มีความเป็นมาอย่างไร หรือจะเป็นเหมือนคำกล่าวโบราณที่เอ่ยว่า นับแต่โบราณมาคนมหัศจรรย์ส่วนใหญ่ล้วนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มอาชีพต่ำต้อยจริงๆ?”
เมื่อหลายปีก่อนนครฉือสุ่ยมีคนต่างถิ่นที่เป็นคนมหัศจรรย์ยากจะบอกได้ว่าตบะตื้นหรือลึกคนหนึ่งมาเยือน เขาสามารถเป่าขลุ่ยเหล็กได้ นิสัยประหลาด บางครั้งชอบสวมชุดสีแดงสดเหมือนลูกหลานตระกูลชั้นสูง บนศีรษะปักปิ่นดอกไม้ วางตัวเย่อหยิ่งจองหอง แต่บางครั้งกลับสวมเสื้อผ้าเก่าขาดเหมือนขอทาน เจอใครก็ขอเงินจากคนอื่นเขา หากว่ามีใครยินดีให้เงินก็จะช่วยทำนายชะตาให้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังหรือไม่ก็จะไล่ตามไปเอ่ยประโยคที่คล้ายคำทำนายให้ฟัง
ครั้งแรกที่พบกัน อีกฝ่ายก็เป็นแค่มดตัวน้อยที่คล้ายวิ่งวุ่นอยู่ข้างฝ่าเท้าของตน จะเหยียบให้ตายหรือไม่เหยียบล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตนเท่านั้น
ครั้งที่สองที่พบกัน อีกฝ่ายต้องเค้นสมองครุ่นคิด ใช้กลอุบายหมดสิ้น พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นบนเกาะชิงเสีย กว่าจะได้มานั่งดื่มเหล้าทัดเทียมกับตนอย่างถูไถ
ครั้งที่สามก็คือที่ภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นแขก เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วกลับสามารถจูงจมูกตนเดินได้แล้ว
ส่วนวันนี้
บางทีอีกฝ่ายอาจมองผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง เป็นแค่มดตัวน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น?
เด็กบ้านนอกจากตรอกเก่าโทรม นักบัญชีแห่งเกาะชิงเสีย เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว
อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงคนล่าสุด
สภาพจิตใจของเถียนหูจวินกลับแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
เพราะเรื่องที่ทำให้เถียนหูจวินกริ่งเกรงมากที่สุดไม่ใช่เรื่องราวหรือสถานะที่น่าตะลึงพรึงเพริดพวกนั้น แต่เป็น ‘เรื่องเล็ก’ ที่คาดว่าคงมีคนรู้แค่ไม่กี่คน
บุรุษชุดเขียวตรงหน้า ต่อให้ไม่พูดถึงตัวตนและวีรกรรมทั้งหมดของเขา
แต่เขาก็ยังคงเป็นคนคนหนึ่งที่สามารถตบหน้ากู้ช่านต่อหน้าต่อตาคนมากมายโดยที่กู้ช่านยังคลี่ยิ้มอย่างจริงใจให้กับเขา
หลิวจื้อเม่าลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวกลับมา กุมหมัดหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “คารวะอิ่นกวาน!”
จางเย่ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นแขกที่หาได้ยากจริงๆ คราวก่อนสำนักของพวกเราก่อตั้งก็ได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ภูเขาลั่วพั่ว แต่ก็ยังไม่อาจเชิญนักบัญชีเฉินมาได้ อีกเดี๋ยวต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งชาม”
เถียนหูจวินลุกขึ้นยืน พยายามฝืนประคองจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง เอ่ยเสียงเบาว่า “คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือมากดลงบนความว่างเปล่าสองสามที ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คนทั้งห้องล้วนเป็นสหายเก่ากันแล้ว จะเกรงใจกันไปไย”
ผลคือต่อให้เป็นจางเย่ก็ยังต้องรอให้เฉินผิงอันนั่งลงก่อนถึงจะนั่งตาม นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิวอันดับหนึ่งและเถียนเซียนดินเลย
“ตอนนั้นข้าไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว จะเชิญมาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าวางมาดหรอกนะ จะวางมาดกับใครก็ไม่มีทางวางมาดกับพี่จาง”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งชามจริงๆ แล้วจึงยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก “เหล้าอีกาครวญของนครฉือสุ่ยนอกจากแพงแล้วก็ไม่มีอะไรให้พูดอีก”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!