จากนั้นก็ถามจางเย่เกี่ยวกับเรื่องของพรรคหลางหวน ในฐานะเจ้าขุนเขาคนหนึ่ง เฉินผิงอันจึงรับปากแทนภูเขาลั่วพั่วว่า วันหน้าขอแค่ลูกศิษย์ของพรรคหลางหวนออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกก็สามารถแวะไปที่ภูเขาลั่วพั่วได้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีคุณสมบัติไม่เลว ขอแค่จางเย่ยินดีก็สามารถไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อยู่สักสองสามปีก็ไม่เป็นปัญหา ระหว่างนั้นย่อมมีคนช่วยถามหมัดป้อนหมัดให้เอง
หลิวจื้อเม่าเอ่ยอย่างจนใจว่า “เดิมทีอยากจะขอให้ใต้เท้าอิ่นกวานช่วยข้าโน้มน้าวเขาสักสองสามประโยค ตอนนี้ดูท่าคงไม่สำเร็จแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีผู้แข็งแกร่งประเภทหนึ่งที่สามารถใช้ชีวิตอย่างยากลำบากให้ผ่านไปอย่างจริงจังได้ ไม่โทษฟ้าไม่ตำหนิคน”
จางเย่โบกมือ “ก็แค่ชีวิตที่เรียบง่ายยากจน ไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องอาหารการกินอยู่ ไม่ถือว่าเป็นชีวิตที่ยากลำบากอะไรหรอก”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ทว่าหลิวจื้อเม่ากลับหัวเราะดังลั่น
จางเย่เองก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองหนึ่งประโยค ชูชามเหล้าขึ้น “เถียงเจ้าไม่ทัน ดื่มเหล้าๆ”
หลักการเหตุผลบางอย่างก็เหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง หลักการเหตุผลอีกอย่างที่มองดูคล้ายเป็นการปฏิเสธ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นแค่กระแสน้ำทางแยกของแม่น้ำสายนั้นเท่านั้น
หลังจากเถียนหูจวินหายอึ้งแล้วก็ตั้งใจครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง กว่าจะขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทันใดนั้นนางก็ยิ่งรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ คล้ายกับว่ามีเพียงตนที่หัวทึบที่สุด ย่ำแย่ที่สุด
คนคนหนึ่งที่ไม่เข้าพวกมักอยู่ในสถานการณ์แค่สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ อีกหนึ่งคือไก่ในฝูงนกกระเรียน
หลิวจื้อเม่าถามหยั่งเชิง “คิดจะมาพบหูจวินท่านใหม่หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “วางใจเถอะ ไม่จำเป็นต้องให้หลิวอันดับหนึ่งช่วยแนะนำให้หรอก”
ดื่มเหล้าไปอีกชาม เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นขอตัวลา เพียงแค่ให้จางเย่ไปส่งที่หน้าประตู
จางเย่ใช้เสียงในใจเอ่ย “หากหลังจากนี้หลิวจื้อเม่าขอให้เจ้าช่วยเหลือ เห็นแก่หน้าที่ใหญ่แค่ก้นของข้า หวังว่าหากช่วยได้เจ้าจะช่วยเขาสักหน่อย แต่หากช่วยไม่ได้ก็ช่างเถิด”
สุดท้ายผู้ฝึกตนเฒ่ายังเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “อย่างน้อย อย่างน้อยก็หวังว่าเจ้าจะไม่พลิกบัญชีเก่ากับเจ้าหมอนั่น”
เฉินผิงอันยิ้มตอบกลับด้วยเสียงในใจ “เมื่อก่อนยากจะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง ไม่ใช่ว่าหลักการเหตุผลข้อนั้นเล็กไป ตอนนี้ง่ายที่จะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อเดียวกันอย่างชัดเจน ก็ไม่ใช่ว่าเพราะหลักการเหตุผลข้อนั้นใหญ่”
จางเย่ได้ยินก็เข้าใจถึงความหมายลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ พยักหน้า “คราวหน้าจะไปดื่มเหล้ากับเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าจะต้องแจ้งให้ทางภูเขาลั่วพั่วทราบก่อน ไม่ใช่ว่าข้าวางมาด แต่เป็นเพราะข้ามักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ไม่แน่เสมอไปว่าจะอยู่บนภูเขา”
จางเย่ยิ้มตอบตกลง
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าประมุขพรรคอย่างเจ้ากลับว่างงานนัก”
จางเย่หัวเราะ ทุกวันนี้แม้จะบอกว่ามีพรรคบนภูเขา แต่ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ล้วนผ่านการคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบมาก่อน บอกตามตรงว่า ในพรรคจำเป็นต้องเช่าที่ดินดีๆ ไว้กี่มากน้อย มีเรือนให้คนข้างนอกเช่ากี่หลัง ล้วนต้องให้จางเย่ตรวจสอบกับตัวเองทั้งหมด ทุกครั้งที่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว จางเย่ยังถึงขั้นยินดีจะลงนาเองด้วยซ้ำ ภาพเหตุการณ์นั้นก็เหมือนกับชาวนาผมขาวยืนตระหง่านกลางคันนาดุจนกกระยาง
แล้วก็เป็นอย่างที่จางเย่คาดการณ์ไว้จริงๆ ออกจากห้องไปได้ไม่นานเท่าไร หลิวจื้อเม่าก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “สกัดคงคาเจินจวินไปเยือนก็จะรู้ได้เอง”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีพูดมาก หลิวจื้อเม่าก็ทำอะไรไม่ได้ อันที่จริงก็แค่อยากจะลองถามดูเท่านั้นว่าตอนนี้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของที่นั่นมีเยอะหรือไม่ แน่นอนว่าหากสามารถตีสนิทกับนครบินทะยานได้สักเล็กน้อย หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ สามารถผูกบุญสัมพันธ์กับคฤหาสน์หลบร้อนที่อยู่ในนครบินทะยานได้ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ปรารถนามานาน ตอนนี้มาลองนึกดูแล้ว หากตนได้ไปที่ใต้หล้าห้าสีจริง ขอแค่ไม่ถูกอิ่นกวานหนุ่มแอบขัดขาในทางลับก็น่าจะต้องจุดธูปขอบคุณพระขอบคุณเจ้าแล้วกระมัง?
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัดคารวะ เรือนกายเปล่งวูบหายไป
หลิวจื้อเม่าจึงอำพรางเรือนกายพาเถียนหูจวินทะยานลมกลับไปที่เกาะชิงเสีย
หลุบตาลงมองทะเลสาบซูเจี่ยน เกาะแห่งหนึ่งในนั้น รอบริมน้ำมีต้นหลิวไหวพลิ้วคล้ายเอวบางของดรุณี
ส่วนจวนวารีของหูจวินท่านนั้นตั้งอยู่ในจุดลึกใต้น้ำของทะเลสาบซูเจี่ยน รากภูเขาและรากน้ำล้วนยอดเยี่ยม เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งเรียงรายติดกันซึ่ง ‘สร้างขึ้นลดหลั่นตามภูเขา’ เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่โอ่อ่าหรูหรา แต่ก็ไม่ธรรมดา
เกาะหลายแห่งที่อยู่ใกล้เคียงบนผิวน้ำ สำนักเจินจิ้งล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว บนเกาะใหญ่แห่งหนึ่งในนั้นก็ได้สร้างศาลหูจวินแห่งใหม่ขึ้นมา ถือว่าสำนักเจินจิ้งมีความจริงใจอย่างยิ่งแล้ว
เซี่ยฝานหูจวินคนใหม่กับอู๋กวานฉีที่เป็นกุนซือ เวลานี้กำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง
หูจวินมีรูปโฉมอ่อนเยาว์สวมชุดคลุมมังกรสีมรกต การกระทำเช่นนี้ไม่ถือว่าล้ำเส้น
ปัญญาชนชุดขาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขามีรูปโฉมของวัยกลางคน มือข้างหนึ่งถือพัดพับ มืออีกข้างคีบเม็ดหมาก
เซี่ยฝานวางเม็ดหมากลงบนกระดานเบาๆ ถามว่า “จะหยั่งเชิงหลิวเหล่าเฉิงอีกรอบหรือไม่?”
อู๋กวานฉีพยักหน้ารับ “แน่นอน แต่อย่าได้รีบร้อนเกินไป หนึ่งเพราะไม่มองหน้าภิกษุก็ต้องมองหน้าพระพุทธรูป เหวยอิ๋งแห่งสำนักเบื้องบนมีความห้าวหาญไม่น้อย อีกอย่างไม่ว่าอย่างไรหลิวเหล่าเฉิงก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง ทั้งยังมีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ โชคชะตาอยู่บนร่างของเขา มิอาจดูแคลนได้ หากคิดอยากจะฝ่าสถานการณ์ใหญ่ออกไปให้ได้ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้แรงมาก แค่หาจุดตัดเหมาะๆ ก็ฝ่าออกไปได้อย่างง่ายดายแล้ว”
เซี่ยฝานยิ้มเอ่ย “หลิวเหล่าเฉิงรู้กาลเทศะดียิ่งนัก ดูเหมือนว่าพวกเราจะหาโอกาสเป็นขุนนางใหม่ไฟแรงสามกองไม่ได้เลย”
ตอนที่ตนมารับตำแหน่ง หลิวเหล่าเฉิงก็เป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนถึงที่ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกโฉนดที่ดินมอบเกาะพวกนั้นมาให้
เซี่ยฝานถามต่ออีกว่า “อาจารย์อู๋มีโอกาสจะได้พูดคุยกับหลิวจื้อเม่า ดึงตัวเขามาเป็นพวกบ้างหรือไม่?”
อู๋กวานฉีส่ายหน้า “จวนหูจวินมิอาจมอบสิ่งที่หลิวจื้อเม่าต้องการได้ พวกเราก็อย่าหาเรื่องอัปยศใส่ตัวเลย จะทำให้สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นเห็นเรื่องตลกเสียเปล่า”
สถานการณ์หมากต่อจากนั้นก็เป็นเซี่ยฝานที่ต้องใช้เวลาคิดนานอยู่หลายครั้ง ทว่าอู๋กวานฉีกลับวางเม็ดหมากแต่ละเม็ดรวดเร็วราวกับบิน
เพียงแต่ว่าสองฝ่ายที่เล่นหมากล้อมกันกลับไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่งของกระดานหมากมี ‘วิญญูชนที่แท้จริง’ ที่ไม่ส่งเสียงยามดูคนอื่นเล่นหมากล้อมยืนอยู่เช่นนั้น
ชิงถงอดไม่ไหวเอ่ยเตือนอีกครั้งว่า “ทำไมถึงปล่อยให้เวลาเสียเปล่าไปเช่นนี้?”
เฉินผิงอันเพียงแค่เอาสองมือไพล่หลัง มองสถานการณ์หมากบนโต๊ะ เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ไม่รีบร้อน รอให้พวกเขารู้ผลแพ้ชนะก่อนก็แล้วกัน”
แต่ละคนต่างก็วางหมากกันอีกสิบกว่าครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!