หลี่เซิ่งดื่มเหล้าจากร้านเหล้าไปหนึ่งชามแล้วก็ถามว่า “เอาอย่างไร?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มจนใบหน้าแก่ๆ ยับย่นเข้าด้วยกัน “โอกาสหาได้ยาก ขอให้ข้าได้แอบอู้สักหน่อยเถอะ ดื่มกันอีกสักเดี๋ยว ฮ่องเต้ไม่ควรให้กองทัพหิวโหยไม่ใช่หรือ”
ศาลบุ๋นและสวนกงเต๋อในทุกวันนี้ อันที่จริงล้วนเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ เอ่ยประโยคว่า ‘แอบอู้’ ก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ
หลี่เซิ่งลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยเตือนว่า “จำไว้ว่าอย่าทำเรื่องที่ได้คืบแล้วจะเอาศอก ศาลบุ๋นทำอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าจะไปหาเฉินผิงอัน”
มีน้อยคนนักที่จะทำให้หลี่เซิ่งยอม ‘ตักเตือน’ เพิ่มเติมเช่นนี้
เพราะถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว หลักการเหตุผลของหลี่เซิ่งก็ล้วนใช้ได้ผลเสมอ
ซิ่วไฉเฒ่าบ่น “คำพูดนี้เอ่ยได้เกินความจำเป็นแล้ว”
ยังมีคนนอกอยู่ด้วยนะ ช่วยไว้หน้าข้าหน่อยได้ไหม
หลี่เซิ่งกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเหวินเซิ่งบอกมาให้แน่ชัดหน่อยเถอะ ข้าไม่อยากให้คราวหน้าที่ศาลบุ๋นมีการประชุม ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเปิดปากขอร้องกับศาลบุ๋นก็คือช่วยอาจารย์ตัวเองเก็บกวาดเรื่องเละเทะ”
การที่จิงเซิงซีผิงเรียกตนมายังเป็นเพราะกังวลว่าซิ่วไฉเฒ่าจะวู่วาม ไม่ว่าใครก็ขวางไว้ไม่อยู่
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หลักการเหตุผลน้อยนิดแค่นี้ ข้าหรือจะไม่เข้าใจ มีเพียงหลักการเหตุผลที่ลูกศิษย์ลงมืออาจารย์ตีแผ่หมดเปลือกเท่านั้น ไหนเลยจะมีหลักการเหตุผลที่อาจารย์ลงมือลูกศิษย์เป็นคนตีแผ่หมดเปลือก”
หลี่เซิ่งเอ่ย “ดื่มเหล้าของเจ้าไปให้ดีเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าตบอกรับรอง “เหล้าดีแน่นอนว่าต้องดื่มให้ดี!”
พอหลี่เซิ่งจากไป ซิ่วไฉเฒ่าก็ยกขานั่งไขว่ห้าง ม้วนชายแขนเสื้อเตรียมจะดื่มเหล้าให้เต็มคราบ
คนหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ ก็สามารถนั่งดื่มเหล้า พูดคุยเรื่องการค้า พลิกเปิดบัญชีเก่าบนโต๊ะเดียวกันกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าที่มีอายุการฝึกตนนานนับหมื่นปีได้
คนชุดเขียวสวมงอบมีท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ เจรจาพาทีอย่างเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หย่างจื่อก็ล้วนรับฟังอย่างตั้งใจ ทั้งยังต้องใคร่ครวญให้ดี ครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา หวังว่าจะขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่ออกมาได้
สำหรับซิ่วไฉเฒ่าแล้ว มีกับแกล้มกินคู่กับสุราที่เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเหล้าตัวใดก็ตามในใต้หล้าก็ล้วนถือเป็นสุราดี
ซิ่วไฉเฒ่ายกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าหนึ่งอึก ดวงตาทั้งคู่พลันหรี่ลง ห่อไหล่ สยิวร่างเยือก คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
ดื่มเหล้าน่าสนใจขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ลำพังแค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวย่อมไม่มีความหมายอะไร แต่ที่น่าสนใจคือคนบนโต๊ะที่มาดื่มเหล้าและเรื่องราวนอกโต๊ะเหล้าต่างหาก
เห็นแม่นางน้อยที่เป็นแม่ย่าลำคลองเฉาชิวทำท่าจะพูดไม่พูดอยู่หลายครั้ง ซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ้มถามว่า “มีอะไรอยากถามหรือ? ถามมาได้เลย บนโต๊ะเหล้าไม่มีตำแหน่งฐานะอะไรทั้งนั้น”
เทพภูเขาผู้เฒ่าเริ่มหันมาส่งสายตาให้อีกครั้ง เตือนกานโจวว่าอย่าพูดอะไรเหลวไหล
ทว่าแต่ไหนแต่ไรมากานโจวก็เป็นคนเก็บปากเก็บคำไม่ได้อยู่แล้ว “นายท่านเหวินเซิ่ง ทำไมท่านถึงไม่เห็นเหมือนภาพเหมือนที่แขวนไว้ในศาลบุ๋นสักนิดเลยล่ะเจ้าคะ?”
ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าเหวินเซิ่งได้ตำแหน่งเทพในศาลบุ๋นกลับคืนมาแล้ว นางเคยแอบดอดออกไปดูที่อำเภอมาครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าต้องไปที่ศาลบุ๋น เหวินเซิ่งที่อยู่ในภาพเหมือนคือผู้เฒ่าร่างผอมเพรียวคนหนึ่ง รูปลักษณ์สง่างาม เทียบกับผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยตัวผอมราวท่อนฟืนตรงหน้าผู้นี้แล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “นี่ต้องโทษฝีมือการวาดภาพที่ไม่ได้เรื่องของตาเฒ่าอู๋แล้ว”
แม่นางน้อยฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามอย่างใคร่รู้ “ซิ่วหู่ฉุยชาน ปีนั้นอยู่ดีๆ ทำไมถึงทรยศออกจากสายเหวินเซิ่งเล่า?”
เทพภูเขาผู้เฒ่าได้เริ่มทำการตามองจมูกจมูกมองใจแล้ว
แม้แต่หย่างจื่อก็จำต้องกระแอมหนึ่งที เตือนแม่นางน้อยว่าอย่าได้กำเริบเสิบสานเกินไปนัก
ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย มองทัศนียภาพเปลี่ยวร้างเงียบสงัดนอกร้านเหล้าที่นอกจากภูเขาแล้วก็ยังคงเป็นภูเขา สูงๆ ต่ำๆ ทับซ้อนเป็นชั้นๆ เขาเงียบไปพักใหญ่ กว่าจะคลี่ยิ้มเอ่ยเนิบช้าว่า “คนที่เป็นลูกศิษย์ถูกอาจารย์ทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง คนฉลาดมิอาจหลอกตัวเองได้ ทั้งไม่ยินดีจะพูดจาร้ายกาจกับอาจารย์ ก็ได้แต่จากไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่บอกลาสักคำ”
อะไรคือคำว่าเสียดาย ของที่มิอาจได้มาครองอีกครั้ง คนที่มิอาจได้พบเจออีกครั้ง ก็คือความเสียดาย
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจ หยิบชามเหล้าขึ้นมา ดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก “คำพูดของพวกเราทั้งสามารถกลายเป็นอุปสรรคขวางกางกั้นในพันภูเขาหมื่นสายน้ำ แล้วก็สามารถปูเส้นทางสร้างสะพาน หลิ่วโรยราบุปผาผลิบาน เป็นเหตุให้เมื่ออยู่กับคนที่ใกล้ชิดนานวันเข้าจึงไม่ควรพูดด้วยโทสะ ไม่ควรกลับคำ ไม่ควรไม่พูดจา”
กงซินโจวทอดถอนใจเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “คำกล่าวประโยคนี้ของเหวินเซิ่งคือสัจธรรมที่ไม่ว่าจะถูกกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่ปริแตกจริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะ “คือความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ของลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ข้าก็แค่ยืมเอามาใช้เท่านั้น”
กงซินโจวรีบขับเรือตามกระแสลมทันใด “มิน่าเล่าอิ่นกวานถึงกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของนายท่านเหวินเซิ่งได้”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบโบกมือปฏิเสธ “ลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอัน กว่าข้าจะหลอกเอามาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเลือกอาจารย์มากเลยล่ะ”
เทพภูเขาผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าประโยคนี้กล่าวได้ดีนัก ไม่เสียแรงที่เป็นนายท่านเหวินเซิ่งที่ไม่เคยแพ้ในการโต้วาทีของสามลัทธิ
กานโจวถามอีกว่า “ต่างก็พูดกันว่าฮ่องเต้รักบุตรคนเล็ก นายท่านเหวินเซิ่งก็เป็นเหมือนกันหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!