และการปกป้องคนกันเองของสายเหวินเซิ่งก็เป็นเรื่องที่หลายๆ ใต้หล้าต่างรู้กันชัดเจนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ซิ่วไฉเฒ่ารักและเอ็นดูจนถึงขั้นที่ไร้ขื่อไร้แปแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของซิ่วไฉเฒ่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือศิษย์น้องเล็กที่พวก ‘ตัวประหลาด’ ทั้งหลายมีร่วมกัน
เนื่องจากหย่างจื่อรู้ชัดเจนดีว่า เกี่ยวกับสภาพการณ์ของตัวเองในเวลานี้ ในบรรดาอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋น หรือแม้กระทั่งในกลุ่มเจ้าลัทธิหลักรองทั้งสามท่านของศาลบุ๋น ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครที่ไม่มีความเห็นต่าง หากไม่เป็นเพราะหลี่เซิ่งเปิดปาก พูดถึงแค่รองเจ้าลัทธิที่ร่วมมือกับหลิ่วชีดักจับตนบนมหาสมุทร ก็คงลงมือสังหารตนทิ้งไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
คาดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะยิ้มตาหยีเอ่ยตามมาอีกว่า “ยังคงเป็นประโยคนั้น ทำดีมีความชอบ ทำชั่วมีความผิด ดีๆ เลวๆ ล้วนต้องชดใช้ พูดถึงแค่การแก้ไขความชั่วชดใช้ความผิดนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่อนคลายไปกว่าการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ แนะนำเจ้าว่าควรเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตมาโทษว่าข้าหลอกเจ้าลงคลอง ข้าคนนี้ถูกคนด่า แต่ไหนแต่ไรมาก็มีนิสัยดีๆ อย่างการปล่อยให้น้ำลายบนใบหน้าแห้งไปเองเสมอ มีเพียงอย่างเดียวที่รับไม่ได้ก็คือ ความหวังดีและการทำดีของคนบนโลกที่เดินอยู่บนวิถีทางถูกผู้แข็งแกร่งผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลลากไปเหยียบย่ำอยู่ในโคลนตมตามใจชอบ ขอแค่ข้าได้เห็นเข้า ไฟโทสะของข้าก็มักจะผุดพุ่ง และพอข้ามีไฟโทสะ เจ้าก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเอง อย่าว่าแต่หลี่เซิ่งเลย ต่อให้เป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่มาขอร้องแทนเจ้าก็ไม่มีประโยชน์”
ถึงอย่างไรหลี่เซิ่งก็ไม่อยู่ ตาเฒ่าก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ข้าดื่มเหล้าเมาแล้วพูดจาภาษาคนเมาสักสองสามประโยคจะเป็นไรไป
หย่างจื่อได้ยินถ้อยคำข่มขู่ที่ตรงไปตรงมาอย่างไม่ต้องสงสัยนี้ นางก็ไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่กล้าหงุดหงิดด้วย ไม่ว่าอย่างไร เหวินเซิ่งก็ยังเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ได้กลับคืนสู่ระบบของศาลบุ๋นแล้ว
นางเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง รินเหล้าให้ซิ่วไฉเฒ่าเต็มชามอีกครั้ง ซิ่วไฉเฒ่าขอบคุณนาง จากนั้นยิ้มเอ่ยว่า “นอกจากจะขายเหล้าและอ่านตำราเบ็ดเตล็ดแล้วยังควรอ่านตำราที่เป็นการเป็นงานให้มากหน่อย อย่าให้ตัวเองกลายเป็นคนไม่มีความรู้”
หย่างจื่อยังจะทำอย่างไรได้อีก ได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ชิงถงทิ้งตำราเบ็ดเตล็ดกองใหญ่เอาไว้ให้นางใช้อ่านฆ่าเวลาจริงๆ
แม่ย่าลำคลองเฉาชิวอึ้งตะลึง นายท่านเหวินเซิ่งไม่ได้พูดกระทบกระเทียบข้าอยู่หรอกหรือ? นับแต่เด็กมาข้าก็รู้สึกว่าการอ่านหนังสือน่าเบื่อนี่นา เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเลย นายท่านเหวินเซิ่งท่านโทษข้า แล้วข้าจะไปโทษใครเล่า
กงซินโจวเห็นสีหน้าของกานโจวก็กังวลว่านางจะเข้าใจนายท่านเหวินเซิ่งผิดไป จึงรีบพูดคล้อยตามทันที “สาวงามแสนดีเป็นที่หมายปองของบุรุษ เมื่อภายในดีงามภายนอกก็งดงามตามไปด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้เรื่องของการอ่านหนังสือสามารถเพิ่มความงามให้กับสตรีได้ แน่นอนว่าต้องอ่านตำราอริยะปราชญ์ นี่เรียกว่านิสัยอ่อนโยนดุจหยกขาว ผ่านไฟเผากี่คราก็มิแปรเปลี่ยน บทความดุจเสียงสายพิณ ยิ่งดีดยิ่งนุ่มลึก ดังนั้นในบทหนึ่งของตำรา ‘ว่าด้วยจารีต’ ของนายท่านเหวินเซิ่งที่บอกว่า ‘บทขับร้องในชิงเมี่ยว หนึ่งคนร้องสามคนรับ’ แม้แต่คนหูหนวกก็ยังได้ยิน เพราะดังก้องมาจากส่วนลึกภายใน สอดคล้องอยู่ไกลๆ กับประโยคของนายท่านหลี่เซิ่งที่บอกว่า ‘เสียงพิณในชิงเมี่ยว กังวานก้องไกล’ คำว่าบทกวีขับร้องของปัญญาชนในทุกวันนี้ ไหนเลยจะเทียบเคียงได้ อยู่ห่างชั้นกันไกลนัก”
หย่างจื่อฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว คำโบราณกล่าวไว้ว่าฟังท่านบรรยายหนึ่งครั้งถ้อยคำมากกว่าการอ่านตำราสิบปี แต่ได้ฟังเทพภูเขากงผู้นี้เทกระเป๋าตำราร่ายบทความแล้วรู้สึกเสียวฟันจริงๆ ฟังเขาบรรยายหนึ่งครั้ง ตำราสิบปีที่อ่านมานับว่าเสียเปล่า
ซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ยิ้มเอ่ยว่า “อยากพ้นไปจากสามแดน ไม่อยู่ในห้าธาตุ ก็แค่อ่านตำราเท่านั้น อยากเดินขึ้นหอสูงอีกชั้น ในสายตาไม่มีสามแดนห้าธาตุ ก็มีเพียงอ่านตำราหมดสิ้นแล้ว ไม่เหลืออุปสรรคทางตัวอักษรอีกแล้ว”
เด็กสาวฟังด้วยความมึนงง เทพภูเขาผู้เฒ่ากำลังคิดว่าควรจะพูดประจบตามไปอย่างไร มีเพียงหย่างจื่อที่สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดทันใด
ซิ่วไฉเฒ่าคิดว่าจะดื่มเหล้าที่ร้านนี้สามชามแล้วก็จะกลับศาลบุ๋น ดังนั้นชามสุดท้ายที่อยู่ในมือนี้เขาจึงดื่มช้าลงแล้ว
บนโลกมีการพบพรากจากลาที่ทั้งรีบร้อนทั้งขมขื่น พบเจอกันครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งก็แก่ชราแล้ว
ประวัติศาสตร์ก็เหมือนกระถางไฟใบหนึ่งที่บรรจุขี้เถ้าซึ่งยังเหลือไอร้อนเอาไว้จนเต็ม
ขี้เถ้าทั้งหมดล้วนเป็นคนที่จากไปแล้วซึ่งถูกลืมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ส่วนสะเก็ดไฟเหล่านั้นก็คือร่องรอยที่คนซึ่งจากไปได้ทิ้งไว้ในฟ้าดิน
ยกตัวอย่างเช่นตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลงานที่สืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าของเหล่าอริยะปราชญ์ วลีบทกวีของป๋ายเหย่ซูจื่อ ภาพแขวนในศาลบรรพจารย์บนภูเขาทั้งหลาย อักษรแกะสลักบนหน้าผา บนป้ายศิลาระหว่างขุนเขาสายน้ำใหญ่ ชื่อบนป้ายหินหน้าหลุมศพที่มีลูกหลานมาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพทุกปี…ร้อยปีพันปีให้หลัง ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเรื่องราวเก่าก่อนเป็นคนโบราณที่ถูกคนรุ่นหลังพูดถึงจากปากคิดถึงจากใจ
อยู่ดีๆ หย่างจื่อก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “เหวินเซิ่งรับลูกศิษย์ที่ดีมา”
“คำพูดไร้สาระแบบนี้…”
ซิ่วไฉเฒ่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง กระดกดื่มเหล้าในชามจนหมด “ต่อให้ต้องฟังอีกหมื่นรอบก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย”
ธรรมชาติมิยาวนาน สหายนั่งกันเต็มห้องโถงต้องจากลาเหมือนสายน้ำ
แขกในโถงวันนี้มือไวปานสายฟ้า ขับภูเขาไล่สายน้ำมิเปลืองแรง
ความสัมพันธ์เก่าก่อนยังไล่ตามได้ทัน ลมภูเขาพัดกระโชกกลับมิอาจไขว่คว้า
ใครหนอสวมชุดเขียวขี่กระบี่กลางเมฆา หลุบตามองห้ามหาบรรพตบนปฐพี
……
ภาคกลางของใบถงทวีป ในหอสยบปีศาจเบื้องใต้ต้นอู๋ถง
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิประหนึ่งในอยู่ในเรือนแห่งใจ ปล่อยจิตเดินทางไกลนับพันหมื่นลี้ในดินแดนแห่งความฝัน
ร่างจริงและจิตหยินของชิงถงก็ได้ติดตามเข้าไปในความฝันของอิ่นกวานหนุ่ม เดินท่องไปทั่วหล้า มีเพียงผู้เฒ่าร่างกำยำที่เป็นจิตหยางกายนอกกายเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิมด้วยความอกสั่นขวัญผวา
เพราะเสี่ยวโม่ผู้นั้นถึงกับเผยร่างที่อยู่ในสภาวะขั้นสูงสุดอีกครั้ง รวบรวมกายธรรมที่ล่องลอยให้เป็นร่างของคนชุดขาวผมขาวสูงจั้งกว่า เปลือยเท้าถือกระบี่ จ้องมองจิตหยางของชิงถงอยู่อย่างนั้น บางครั้งก็เหลือบมองต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า
วางท่าชัดเจนว่าไม่เชื่อใจชิงถง ขอแค่มีความผิดปกติสักเล็กน้อยเกิดขึ้น ผู้ฝึกกระบี่ขั้นสูงสุดผู้นี้ก็จะฟันต้นอู๋ถงให้หักโค่นทันที
ผู้เฒ่าร่างกำยำเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นพันธมิตรกันแล้ว ยังทำท่าเหมือนป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น มันต้องถึงขั้นนี้เลยหรือ?”
เสี่ยวโม่วางกระบี่พาดไว้ตรงหน้า สองนิ้วลูบแสงกระบี่ที่บริสุทธิ์ ยิ้มบางๆ ถามว่า “ทุกวันนี้เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่อยู่ที่ใด?”
ชิงถงส่ายหน้า “หลังจากการถามกระบี่ท่ามกลางสายฝนครานั้น เผยหมิ่นก็หายตัวไป”
ไม่รู้ว่าเหตุใด เสี่ยวโม่ถึงมักจะรู้สึกว่าในหอสยบปีศาจที่ไร้ผู้คนมีบางอย่างแปลกๆ
เพียงแต่ว่าเขาแบ่งดวงจิตไปตรวจตราทุกซอกทุกมุมของสิ่งปลูกสร้างที่กว้างใหญ่แห่งนี้หลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่พบร่องรอยความผิดปกติแม้แต่น้อย
เสี่ยวโม่ถาม “ม้วนภาพสิบสองภาพที่เจ้าตั้งใจจัดหามา ล้วนเป็นโจวจื่อที่จัดการเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ส่วนเจ้าก็แค่ทำตามเท่านั้น?”
ชิงถงเงียบไม่ตอบ
เสี่ยวโม่ถามอีกว่า “แล้วโจวจื่อรับ ‘กระดาษคำตอบ’ สิบสองแผ่นนั้นกลับไปอย่างไร?”
ชิงถงยังคงไม่เอ่ยอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!