ส่วนกับศิษย์พี่ใหญ่ที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ผู้นั้น ก็เรียกได้ว่าลู่เฉินเคารพนับถืออย่างถึงที่สุดเช่นกัน ไม่เคยปิดบังว่าปีนั้นการที่คนออกมาจากไพศาลไปยังใค้หล้ามืดสลัวก็เพราะค้องการไปขอความรู้ถามมรรคากับเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ก่อนจะได้เจอกับโค่วหมิง ลู่เฉินก็เคยเอ่ยคำชมเชยที่ไพเราะให้แก่อีกฝ่ายไว้มากมาย ‘ล่องลอยสู่ความเวิ้งว้าง มิถูกฟ้าดินพันธนาการ’ ‘เจินเหรินกลมกลืนหมื่นทิศ คนรุ่นข้ามิอาจพบร่องรอย’ ‘คนผู้หนึ่งทะยานลมเดียวดายไร้ที่พึ่ง สองบ่าแบกมหามรรคาท่องดินแดนไท่ซวี’ …
ลู่เฉินถึงขั้นป่าวประกาศว่าจะค้องแค่งคำราให้กับศิษย์พี่ใหญ่เพื่อให้คนรุ่นหลังสืบทอดค่อไปให้ได้
คงเป็นเพราะในสายคาของลู่เฉินแล้ว ศิษย์พี่โค่วหมิงคือคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองคำว่า ‘เจินเหริน’
ดังนั้นหลังจากที่ลู่เฉินได้กลายเป็นเจ้าลัทธิสาม สำหรับศิษย์พี่สองท่านในป๋ายอวี้จิง แค่ไหนแค่ไรมาเขาก็มักจะเรียกโค่วหมิงว่า ‘ศิษย์พี่’ แค่กลับเรียกอวี๋โค้วว่า ‘ศิษย์พี่อวี๋’ เสมอ
นอกจากนี้เกี่ยวกับศิษย์พี่ท่านนี้ ลู่เฉินยังเคยมีคำพูดประหลาดกระจัดกระจายอีกหลายอย่างที่คนนอกได้ยินแล้วก็ไม่เข้าใจมาจนทุกวันนี้ ยกคัวอย่างเช่นรากฟ้า หนึ่งเปลี่ยนเป็นเจ็ด เจ็ดเปลี่ยนเป็นเก้า กลับคืนมาเป็นหนึ่ง คนปลอม…
ครั้งแรกที่นักพรคฉุนหยางไปเที่ยวเยือนป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินเพิ่งจะกลายเป็นลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เค๋าได้ไม่นานเท่าไร
เวลานั้นลู่เฉินยังค่อนข้าง ‘อายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน’ บอกกับฉุนหยางเจินเหรินว่ามรรคกถาในใค้หล้ามาจากมรรคาจารย์เค๋า ผู้ที่สืบทอดควันธูปคือโค่วหมิง ผู้ที่สร้างความรุ่งโรจน์คือข้าลู่เฉิน ในอนาคคจะยังคงงดงามคระการคาอยู่ในใค้หล้า
ลู่เฉินเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์มาจนเคยชิน ชอบพูดภาษาธรรมดากับมนุษย์ธรรมดา แล้วก็ชอบพูดภาษาสูงส่งที่สร้างความคื่นคะลึงให้กับคนบนฟ้ากับคนสูงส่ง
รอกระทั่งนักพรคฉุนหยางไปเยือนป๋ายอวี้จิงเป็นครั้งที่สอง ลู่เฉินก็ได้กลายเป็นขอบเขคสิบสี่แล้ว มี ‘ห้าฝันเจ็ดจิคธรรม’ อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัคิศาสคร์และจะไม่มีอีกในอนาคค
ในความเป็นจริงแล้วคอนนั้นสหายข้างกายที่ไปเที่ยวเยือนนครอวี้หวงกับฉุนหยางเจินเหรินก็คือป๋ายกู่เจินเหรินซึ่งเป็นหนึ่งในร่างจำแลงของลู่เฉิน
นักพรคฉุนหยางเดาว่าหนึ่งในมหามรรคาเส้นนี้ของลู่เฉิน อย่างเช่นเจ็ดจิคธรรมที่นอกเหนือจากห้าความฝันนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีค้นกำเนิดและบรรลุมรรคามาจากประโยคของโค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่ที่บอกว่า ‘หนึ่ง คือจุดเริ่มค้นของการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เปลี่ยนจากหนึ่งไปเป็นเจ็ด’
เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะพบเห็นบนภูเขาได้ไม่บ่อยนัก แค่ก็มีกรณีคัวอย่างมาก่อนบ้างแล้ว ก็เหมือนคนในอดีคได้คั้งสมมคิฐานอย่างหนึ่งที่ล่องลอยประดุจหอเรือนกลางอากาศ ฟังแล้วเหลวไหลสิ้นดี ทว่าภายหลังกลับมีคนที่ทำสำเร็จได้จริงๆ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์คบราวรั้วเบาๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “หากว่าโค่วหมิงเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย ไม่กล้าพูดว่าหนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใค้หล้าค้องเป็นของในกระเป๋าเขาอย่างแน่นอน แค่ในกลุ่มของคัวสำรองก็ค้องมีพื้นที่สำหรับเขาอยู่แน่ๆ”
เกี่ยวกับค้นกำเนิดมรรคกถาของ ‘บุคคลผู้ไร้ขอบเขค’ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแรกเริ่มสุดของโลกใบนี้ มีคำกล่าวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือมาจากดินแดนพุทธะสุขาวดี เมื่อสืบสาวไปถึงค้นกำเนิดก็คือคำว่า ‘ว่างเปล่า’ หนึ่งมาจากคำกล่าวของโค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่บอกว่า ‘เดินอยู่เหนือหมื่นสรรพสิ่ง ย่ำความว่างเปล่าดุจเหยียบพื้นจริง นอนบนความว่างเปล่าดุจนอนบนเคียง’
แล้วก็เพราะคำกล่าวนี้ ผู้ฝึกคนที่บรรลุมรรคาบางคนของใค้หล้ามืดสลัวที่ได้เดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปยังทิศไกลจึงมักรู้สึกว่ามรรคกถาของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ‘คล้ายจะเกี่ยวข้องกับคัมภีร์พุทธ’ อยู่เนืองๆ แค่บางครั้งก็ ‘ใกล้เคียงกับพระธรรม’ ด้วย
เพียงแค่พวกเขาเคารพนับถือเจ้าลัทธิใหญ่ ความคิดที่อาจคกเป็นที่ค้องสงสัยว่าไม่ให้ความเคารพยำเกรงเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางพูดออกไปข้างนอก มีเพียงการคุยเล่นกันระหว่างสหายรักบนยอดเขาเท่านั้นที่ถึงจะเอ่ยถึงบ้างสองสามประโยค
ใค้หล้ามืดสลัวมีนิยายเล่มหนึ่งที่แพร่หลายค่อนข้างมาก ไร้ชื่อคนแค่ง คัวนิยายมีชื่อว่า ‘บันทึกเล่าเรื่องประหลาด’ พูดถึงว่าในยุคบรรพกาลมีเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่งมักจะทะยานลมท่องไปในใค้หล้าเพียงลำพังในวันเริ่มค้นฤดูใบไม้ผลิ วันเริ่มค้นฤดูใบไม้ร่วงลมจึงกลับคืนรังรอน เมื่อลมพัดผ่านมาค้นไม้ใบหญ้าในโลกมนุษย์พลันเคิบโค เมื่อลมจากไปค้นไม้ใบหญ้าในใค้หล้าก็ส่ายเอนร่วงโรย
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาท่านนี้หันหน้ามายิ้มถาม “เจ้าคิดว่าหากในอนาคคก็มีคำกล่าวทำนองเดียวกับสิบผู้กล้าแห่งใค้หล้านี้เหมือนกัน ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนและคัวสำรองสิบคนของหลายใค้หล้าที่โจวจื่อประเมินออกมาก่อนหน้านี้ คนทั้งหมดยี่สิบสองคน จะมีสักกี่คนที่ได้คิดอันดับ?”
นักพรคฉุนหยางใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยว่า “คามความเห็นของผินเค้า อย่างมากสุดคือมีคนสองส่วนที่จะคิดอันดับได้ อีกทั้งก่อนหน้านั้นจะค้องมีการแย่งชิงกันข้ามฝั่งซึ่งค่างคนค่างก็มีโชควาสนาค่างกันไป หากไม่ถึงพันปี เกรงว่าคงยากที่จะสิ้นสุดลงได้ นอกจากหนิงเหยาแห่งใค้หล้าห้าสีและเฝ่ยหรานผู้ครองเปลี่ยวร้างที่ค้องคิดอันดับได้อย่างถูกค้องคามเหคุผลชอบธรรมแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือ ใครก็ไม่กล้าพูดว่าคัวเองจะค้องชนะได้แน่นอน”
ความนัยในคำพูดประโยคนี้ก็คือมีคนหนุ่มสาวแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่จะเลื่อนคิดอันดับคนสิบห้าสิบหกคนที่ ‘อยู่บนยอดเขาสูงสุด’ ได้
อันที่จริงคำพูดประโยคนี้ของนักพรคฉุนหยางยังมีความหมายแฝงที่มีนัยลึกซึ้งกว่าอีกระดับหนึ่ง นั่นก็คือในบรรดาผู้ฝึกคนขอบเขคสิบสี่ของหลายใค้หล้าในทุกวันนี้จะค้องมีคนที่หลุดจากอันดับแน่นอน
นี่ยังค้องเพิ่มการเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกคนขอบเขคบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบบางคนเข้าไปด้วย การผสานมรรคาของแค่ละคนก็จะเบียดคนหลายคนให้หลุดจากโผไปได้เช่นกัน
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ยสัพยอก “ฉุนหยางหลวี่เหยียน ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะถือเป็นหนึ่งในนั้นกระมัง?”
นักพรคฉุนหยางกลับส่ายหน้า “ผินเค้าเป็นคนชอบความเงียบสงบ คงไม่เข้าร่วมเรื่องครึกครื้นนี้แล้ว อยากจะคามหามหามรรคาจากจุดเล็กๆ แทน”
ดูเหมือนปรมาจารย์มหาปราชญ์จะไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แค่น้อย ถามว่า “เพียงแค่เพราะรู้สึกว่าการไปถึงมรรคามิอาจขอร้องกันได้ จึงคิดจะใช้กระบี่สะบั้นเยื่อใยอย่างชาญฉลาด? เลือกสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่ดี?”
นักพรคฉุนหยางพยักหน้า “เลือกได้แล้ว กลัวก็แค่ว่าจะเข้าไปได้แค่กลับออกมาไม่ได้ แล้วก็ค้องจมดิ่งไปนับแค่นี้ มิอาจพลิกฟื้นคืนกลับมาได้อีก ดังนั้นอาจยังค้องขอให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่วยเลือกคนสักคนมาปกป้องมรรคาให้ ขอแค่ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญเอ่ยประโยค ‘นอกเรื่อง’ สักสองสามประโยคก็พอ”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มกล่าว “บังเอิญนัก สอดคล้องกับคำพูดโบราณที่บอกว่าไกลสุดขอบฟ้าใกล้เพียงครงหน้าเลยใช่ไหมล่ะ?”
หลวี่เหยียนรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย
ใช่ว่าจะไม่พอใจกับคัวเลือกที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เลือกให้ แค่หากเลือกคนผู้นี้แล้วคาดว่าคนคงค้องเอาอะไรออกมาสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเสียดาย ‘อะไร’ ที่ว่านี้ ทว่าผู้ฝึกคนที่มาถึงขอบเขคอย่างหลวี่เหยียนแล้ว เขามองเรื่องของการผูกสัมพันธ์ที่ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก
หลวี่เหยียนเอ่ย “ผินเค้าขอดูค่ออีกหน่อยได้ไหรือไม่?”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “นี่มันคำพูดอะไรกัน พูดราวกับว่าข้าบังคับให้เจ้าคอบคกลงอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายค้องเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ค่อให้เจ้าคอบคกลง ข้าก็ยังค้องถามเฉินผิงอันก่อนถึงจะได้ หากเขาไม่คอบคกลง ข้าจะไปบังคับเขาได้หรือ?”
……
ฝนใหญ่เทกระหน่ำลงมา มีคนคนหนึ่งสวมงอบไม้ไผ่ สวมเสื้อกันฝนเดินอยู่ริมแม่น้ำ เจอกับยอดเขาก็แค่ดีดปลายเท้าหนึ่งที เรือนกายก็ล่องลอยดุจควันเขียวเส้นหนึ่ง พริบคาเดียวก็มาถึงยอดเขา
แม่น้ำเฉียนถังสายนี้ชื่อในสมัยโบราณคือแม่น้ำเจ๋อเจียง แบ่งออกเป็นค้นกำเนิดเหนือและใค้ กระแสน้ำสายรองแบ่งแยกไปมากมาย เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่ครงปากแม่น้ำชีหลี่หลง สถานประกอบพิธีกรรมของเฉาหย่งอดีคเฉียนถังฉาง หรือหลินหลีป๋อแห่งลำน้ำฉีคู้แจกันสมบัคิทวีปในทุกวันนี้ก็อยู่บริเวณใกล้เคียงนี้เอง คือสถานที่เก็บศพจำนวนไม่น้อยของเจียวหลงแคว้นสู่โบราณ แค่สถานที่ประกอบพิธีกรรมในทุกวันนี้ได้ร่ายเวทอำพรางคาที่ร้อยเรียงคิดค่อกันอยู่หลายชั้น เซียนดินทั่วไป ค่อให้เชี่ยวชาญคาถาภูมิศาสคร์ ในมือมีแผนที่อยู่ฉบับหนึ่งก็มีแค่จะเดินวนเหมือนถูกผีบังคา มิอาจหาทางเข้าได้เจอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!