แคว้นหวงถิง ในอำเภอเล็กแห่งหนึ่ง อำเภอมีชื่อว่าสุ้ยอัน สุ้ยที่แปลว่าสมปรารถนา อันคือสงบสุขปลอดภัย อยู่ใต้อาณัติของจังหวังเหยียนโจว และจังหวัดเหยียนโจวนี้ก็เป็นสถานที่ที่ได้เปรียบทางการด้านการศึกษา มีจ้วงหยวนและจิ้นซื่อมากที่สุดในแคว้นหวงถิง อำเภอแห่งนี้ไม่มีทางหลวง แต่มีปัญญาชนอยู่มากมาย ก่อนที่เฉินผิงอันจะเข้ามาในอำเภอก็สามารถมองเห็นเจดีย์เหวินชางที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งได้แล้ว
นับแต่โบราณมาสถานที่ที่ขนบธรรมเนียมฝ่ายบุ๋นรุ่งโรจน์ก็มักจะเป็นเช่นนี้ ยังไม่เห็นเมืองก็เห็นเจดีย์เหวินชางก่อนแล้ว
ชิงถงแผ่พลังจิตออกไปตรวจสอบในอำเภอแห่งนี้พักหนึ่ง ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือน หากจะบอกว่าเป็นเพราะ ‘ต่อให้น้ำไม่ลึก แต่เมื่อมีมังกรก็ศักดิ์สิทธิ์’ ทว่าด้วยขอบเขตและสายตาของชิงถง ตามหลักแล้วก็ควรจะมองเบาะแสออกบ้างถึงจะถูก เพียงแต่ว่าลำธารลำคลองโดยรอบอำเภอเหมือนจะไม่มีแม่ย่าลำคลองอยู่แม้แต่คนเดียว อำเภอแห่งหนึ่ง ปราณวิญญาณเบาบางอย่างถึงที่สุด โชคชะตาบู๊ก็ยิ่งเจือจางจนน่าอนาถ สามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง ส่วนโชคชะตาบุ๋นกลับมีลางเป็นกลุ่มๆ เป็นเส้นๆ เพียงแต่ว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย ส่วนใหญ่คือการสืบทอดที่ทอดยาวมาจากบุญกุศลที่บรรพบุรุษสร้างไว้ มาจากซุ้มประตูหินบางแห่ง รวมไปถึงกรอบป้ายหน้าศาลบรรพชนของพวกที่เป็นคำว่า ‘จิ้นซื่อจี๋ตี้’ เสียมากกว่า ในตระกูลคนยากจนของตรอกเก่าโทรมก็มีอยู่บ้าง ชิงถงยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าตัวเองจะตาไม่ดี มีพวกผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตยอดเขาหรือไม่ก็พวกอริยะผู้มีคุณธรรมที่ไม่เผยตัวบนโลกมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ จึงจงใจปิดบังความลับสวรรค์ส่วนนี้เอาไว้อย่างนั้นหรือ?
ชิงถงจึงอดไม่ไหวถามว่า “คราวนี้พวกเราจะมาหาใคร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่ได้มาหาใคร แค่แวะมาดูเฉยๆ รอให้เรื่องสำนักเบื้องล่างของใบถงทวีปสิ้นสุดลงแล้ว ข้ากลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว ในอนาคตจะมาอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน…ก็ไม่ถือว่านานเท่าไร ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการขานชื่อเข้าเวรของที่ว่าการมากกว่า ก็คือจะมาเปิดโรงเรียนสอนเด็กเล็กสักแห่ง”
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันยืมใช้มรรคกถาของลู่เฉินชั่วคราวทำให้อยู่ในสถานะของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ ในระหว่างการเดินทางไกลครั้งนั้นเขาก็ได้หมายตาที่แห่งนี้ เดิมทีแคว้นหวงถิงก็อยู่ติดกับอาณาเขตของต้าหลีเก่า ไม่ไกลไม่ใกล้จากภูเขาลั่วพั่ว เขาจึงคิดว่าในอนาคตจะมาเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่นี่
ชิงถงนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “โรงเรียนสอนเด็กเล็ก?! เปิดโรงเรียนสอนหนังสือ เป็นอาจารย์?”
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันที่ยังไม่มียศตำแหน่งอยู่ในศาลบุ๋นกำลังจะได้ดูแลหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ทำหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา หรือถึงขั้นไม่ได้เป็นรองเจ้าขุนเขา ชิงถงก็คงไม่ถึงขั้นตื่นตะลึงถึงเพียงนี้
เฉินผิงอันพยักหน้า “ด้วยความรู้น้อยนิดนี้ของข้า น้ำหมึกมีแค่ครึ่งถัง แน่นอนว่าต้องเป็นได้แค่อาจารย์สอนหนังสือของเด็กเล็กเท่านั้น”
ชิงถงหรือจะเชื่อคำพูดประโยคนี้ของเฉินผิงอัน รีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าทันใด รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ตอนที่ตนสอดส่ายพลังจิตออกไปสำรวจต้องพลาดร่องรอยอะไรไปเป็นแน่ จึงเป็นเหตุให้หาความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของที่แห่งนี้ไม่เจอ ทันใดนั้นอำเภอสุ้ยอันทั้งแห่งก็ถูกดวงจิตเมล็ดงาของชิงถงปกคลุมไว้ภายใน ที่ว่าการ ศาล บ้านเรือน ตรอกซอกซอย ร้านรวงทั้งหลาย แม้แต่ก้นบ่อน้ำเก่าๆ ก็ยังไม่ปล่อยผ่าน เพียงแต่ว่ายังคงหาอะไรไม่เจอ เพียงไม่กี่ชั่วพริบตาผ่านไป ชิงถงยังไม่ถอดใจ ไล่ตรวจตราภูเขาและกระแสน้ำไหลทั้งหลายนอกอำเภอไปอีกรอบ มองดูเส้นทางไปมาของภูเขาและธารน้ำอย่างละเอียด สุดท้ายก็เก็บพลังจิตกลับมา ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหมายตาตัวอ่อนผู้ฝึกตนคนใดที่อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัดไว้หรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “หากเจ้าอยู่กับศิษย์พี่ชุยของข้าจะต้องได้ดิบได้ดีมากแน่นอน”
ชิงถงฟังความนัยในประโยคนี้ออก คือกำลังบอกว่าหากไม่มีผลประโยชน์ตนก็ไม่ยอมตื่นเช้าสินะ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พาชิงถงเดินเท้าเข้าไปในอำเภอ ทั้งสองฝ่ายเหมือนเดินเข้ามาในดินแดนไร้ผู้คน
บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ เพราะเป็นวันสิ้นปี ต่อให้ร้านที่อยู่สองข้างทางต่างปิดหมด แต่กระนั้นก็ยังคึกคักจอแจ
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ผ่านมายังที่แห่งนี้ เคยได้เปิดอ่านอักขรานุกรมของที่ว่าการอำเภออยู่หลายเล่ม ร้อยกว่าปีแล้วที่ไม่มีจิ้นซื่อปรากฎตัว เหมือนเป็นปีแห้งแล้งที่ได้ผลเก็บเกี่ยวมาน้อย”
ชิงถงถึงนึกขึ้นได้ว่าในม้วนภาพมายาสิบสองภาพนั้น อิ่นกวานหนุ่มที่มาจากสายเหวินเซิ่งผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับระบบของการสอบเคอจวี่อย่างมาก
หรือคิดจะปิดบังชื่อแซ่มาเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ วันๆ คลุกคลีตีโมงอยู่กับเด็กน้อยสวมกางเกงเปิดก้น ขี้มูกไหลย้อยจริงๆ?
เจ้าสำนักของสำนักสองแห่งผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่ง คิดจะเสียเวลาหลายปีหรืออาจถึงขั้นหลายสิบปีเพียงเพื่ออบรมปลูกฝังนายท่านจิ้นซื่อคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันพูดกับตัวเองว่า “นามแฝงคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ชื่อว่าโต้วอี้”
ชิงถงถาม “คือคำว่าอี้จากในประโยค ‘ชาวประชามีธัญพืช ใต้หล้าก็สงบสุข’ ของบทอี้จี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันคล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง ร้องเอ๊ะหนึ่งที “คิดไม่ถึงว่าความรู้ของสหายชิงถงก็ไม่ตื้นเขินเหมือนกัน”
ชิงถงมุมปากกระตุก “อิ่นกวานชมเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เกินหรือไม่เกินไม่รู้ แต่คำชมนี้เป็นของจริง”
พอชิงถงคิดถึงประโยค ‘ล้วนสำคัญ’ ที่อิ่นกวานหนุ่มเอ่ยกับเฉินเจินหรงที่ชายฝั่งของชีหลี่หลงก่อนหน้านี้ก็ปลอบใจตัวเองว่า เทียบกับบนไม่พอ เทียบกับล่างมากเหลือแหล่
ชิงถงถามยิ้ม “หากใต้เท้าอิ่นกวานลงแรงกับการสอบเคอจวี่ จะสามารถสอบติดอันดับหนึ่งสามครั้งรวดเลยหรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “สอบติดสามครั้งรวด? เรื่องที่แม้แต่จะคิดก็ไม่ต้องคิด หากว่าอยู่ในราชวงศ์ต้าหลี อย่าว่าแต่สามอันดับของขั้นที่หนึ่งเลย ข้าคิดจะสอบติดเป็นจิ้นซื่อขั้นสองก็ยังยาก แต่หากจะพูดถึงแคว้นหวงถิง ช่วยช่วงชิงกรอบป้ายจิ้นซื่อจี๋ตี้แผ่นหนึ่งกลับมาให้อำเภอสุ้ยอันกลับยังพอจะมีหวังอยู่มาก ไม่แน่เสมอไปว่าวิชาความรู้ของข้าสูงส่ง ก็แค่ว่าในเรื่องของการเขียนบทความ ยิ่งเป็นแคว้นเล็กก็ยิ่งมีเคล็ดลับมากมาย ยิ่งมีทางลัดให้เดิน รูปแบบตัวอักษรบนกระดาษข้อสอบมีการแบ่งปลีกย่อยไปอีก สามารถเขียนตามแนวทางความรู้ของพวกอาจารย์ที่คุมห้องสอบและอาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบได้ เอาเป็นว่าสามารถเขียนตามความชื่นชอบของพวกเขาได้ก็แล้วกัน”
ชิงถงเอ่ย “ได้ยินมาว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้ามีเมล็ดพันธ์บัณฑิตนามว่าเฉาฉิงหล่างอยู่คนหนึ่งที่เคยสอบติดเป็นปั้งเหยี่ยนของราชสำนักต้าหลี?”
หากรู้จักพูดแบบนี้แต่แรก ข้าก็คงเลี้ยงเหล้าผู้อาวุโสชิงถงไปนานแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอเสริมสักหน่อย นอกจากเป็นปั้งเหยียนในการสอบหน้าพระที่นั่งแล้ว ก่อนหน้านั้นเฉาฉิงหล่างยังเป็นฮุ่ยหยวนของการสอบรอบฤดูใบไม้ผลิในเมืองหลวงด้วย ดังนั้นถึงได้บอกว่าสายตาของฮ่องเต้ซ่งเหอช่างธรรมดาเสียเหลือเกิน”
หากว่าเลือกเฉาฉิงหล่างเป็นจ้วงหยวน คราวก่อนที่พบเจอกันในงานเลี้ยงแต่งงานที่เมืองหลวง ต่อให้ตนไม่ตอบตกลงกับเรื่องนั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะลุกขึ้นยืนต้อนรับ
พูดถึงแค่สำนักศึกษาชุนซานในภายหลัง เฉินผิงอันคุยเล่นกับอาจารย์เรื่องนี้ก็มีคำกล่าวที่แทบไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ? คนผู้หนึ่งเพื่อลูกศิษย์ คนผู้หนึ่งเพื่อลูกศิษย์ของลูกศิษย์ ต่างก็ช่วยพูดทวงความเป็นธรรให้แก่เขา
พาชิงถงเดินทะลุถนนตรอกซอกซอยไปด้วยความคุ้นเคยตลอดทาง ระหว่างนั้นอยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยถามเรื่องหนึ่งว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านเหล้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดคุยกับหย่างจื่อเรื่องของเสี่ยวโม่ ทั้งยังคุยกันอย่างอารมณ์ดีด้วย? มี…เรื่องราวในอดีตกันหรือ?”
ชิงถงส่ายหน้า “ไม่มี! ไม่มีเด็ดขาดเลย!”
ท่าทางร้อนตัวอย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไหนลองเล่ามาสิ ข้ารับรองว่าจะไม่เอาไปบอกเสี่ยวโม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!