ได้ยินการตัดสินใจนั้นของบรรพจารย์ ทุกคนซึ่งรวมถึงหวงฉู่ก็หันมามองหน้ากันตาปริบๆ
นี่บรรพจารย์คิดจะทำอะไร? ยังไม่ทันกินอาหารมื้อข้ามปีเลยนะ จะเริ่มแยกบ้านตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ?
อู๋อี้ใช้นิ้วเคาะที่พักแขนเก้าอี้เบาๆ ยกปลายเท้าขึ้นเหยียบลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
หัวใจของหวงฉู่หดตัว รีบเอ่ยทันทีว่า “ข้าจะไปเอาทำเนียบของศาลบรรพจารย์มาให้ท่านบรรพจารย์เลือกลูกศิษย์เดี๋ยวนี้”
หวงฉู่ไปเอาตำราเล่มหนึ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ใช้สองมือถวายให้กับบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาอย่างนอบน้อม
อู๋อี้คลี่กางทำเนียบจวนจื่อหยางเล่มนั้นออก เห็นชื่อของคนที่ถูกชะตาบนนั้น นางก็จะใช้นิ้วชี้แล้ววาดวงกลมลงไปบนชื่อ
ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดจนกระทั่งเข็มตกก็คงได้ยิน มีเพียงเสียงแกรกๆ ตอนท่านบรรพจารย์เปิดหน้าหนังสือเท่านั้น หวงฉู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรแง เพียงแต่ในใจพอจะสงบได้บ้างเล็กน้อย เพราะบรรพจารย์วาดวงกลมในช่วงหน้าๆ ของสมุดทำเนียบไม่เยอะนัก กลับเป็นช่วงกลางๆ ที่เลือกจำนวนคนไปเยอะที่สุด นี่หมายความว่าในอนาคตจวนจื่อหยางก็ยังมีผู้ฝึกตนและผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรและขอบเขตชมมหาสมุทรที่เป็นแกนกลางสำคัญอยู่ค่อนข้างมาก หากบรรพจารย์ยินดีรักษาสัญญาว่าต่อจากนี้จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องในจวนอีกจริงๆ การที่อีกฝ่ายเดินทางไกลไปอยู่ใบถงทวีป สำหรับเจ้าจวนที่เป็นเหมือนหุ่นเชิดอย่างหวงฉู่แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งเลยจริงๆ
อู๋อี้ยังคงอยู่ในท่วงท่าเกียจคร้านก้มหน้าเปิดสมุดอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่จู่ๆ ก็ขยับเปลือกตามองขึ้นมาด้านบน หวงฉู่กลับหลุบสายตาลงต่ำไปก่อนแล้ว
อู๋อี้โยนสมุดเล่มนั้นกลับคืนให้หวงฉู่ แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อ “นอกจากหวงฉู่แล้วคนอื่นๆ ถอยออกไปให้หมด ไปทำธุระของตัวเองต่อเถอะ”
หวงฉู่เก็บสมุดทำเนียบใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพ่งลมหายใจทำสมาธิ รอให้บรรพจารย์ออกคำสั่ง
อู๋อี้ลุกขึ้นยืน เดินลงบันไดมา หวงฉู่ถอยไปข้างหลังหลายก้าว จากนั้นเบี่ยงตัวหันข้าง รอกระทั่งบรรพจารย์เดินผ่านตัวเองไปแล้วเขาถึงค่อยหมุนตัวเดินตามไป
อู๋อี้ถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เซียวหลวนมาเองโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ นางคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หวงฉู่แข็งใจตอบกลับว่า “นางปิดปากสนิทมาก ข้าเจอกับนางสองครั้งก็ยังถามไม่รู้ความ นางบอกแค่ว่าต้องการพูดคุยกับท่านบรรพจารย์ต่อหน้า”
สีหน้าของอู๋อี้ยิ่งมืดทะมึน นางไม่เคยเห็นเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูอยู่ในสายตา ปีนั้นเซียวหลวนกลับมาเยี่ยมเยือนจวนจื่อหยาง อู๋อี้ก็เคยทำให้นางลำบากใจสุดขีด หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นเฉินผิงอันช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ เดิมทีเวลานั้นอู๋อี้ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องทำให้เซียวฮูหยินที่ถูกเรียกขานอย่างไพเราะว่า ‘สาวงามพุทธรักษา’ ผู้นี้ดื่มในห้องโถงใหญ่บ้านตนไปมากเท่าไรก็ต้องอาเจียนออกมามากเท่านั้น ต่างก็พูดกันว่าเหนียงเนียงเทพแม่น้ำอย่างเจ้ามีรูปโฉมงดงามเลอค่า บุคลิกท่วงท่าสูงส่งไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้เซียวหลวนต้องเผยความอัปลักษณ์ออกมาให้เห็น คอยดูเถอะว่าพวกคนใต้กระโปรงที่เห็นเจ้าเป็นเทพหญิงในภาพวาดพวกนั้น พอคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ ‘งดงามจนมิอาจบรรยาย’ นั้นแล้วจะมีความรู้สึกเช่นไร?
เคยมีเซียนกระบี่อาวุโสก่อกำเนิดจากต่างถิ่นคนหนึ่งเดินทางผ่านแคว้นหวงถิง โดยสารเรือล่องแม่น้ำ ร่ำสุราใต้แสงจันทร์กับสหาย เกิดนึกสนุกขึ้นมาในฉับพลัน โยกจอกสุราทิ้งลงน้ำ มันก็กลายร่างเป็นห่านฟ้าขาวตัวหนึ่ง (ป๋ายหู)
ภายหลังเคยมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นของแคว้นหวงหลวนอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
และ ‘สหาย’ ของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้นก็คือบิดาของอู๋อี้ เฉิงหลงโจวเจียวเฒ่าอายุหมื่นปี ซึ่งได้ขอความรู้ด้านมรรคกถาจากนักพรตเต๋าที่พเนจรท่องเที่ยวมาจนถึงที่แห่งนี้อย่างนอบน้อม
ดังนั้นในสายตาของอู๋อี้แล้ว เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูที่ความเป็นมาไม่เที่ยงตรง ไม่มีคำว่าชาติกำเนิดให้กล่าวถึงผู้นี้จะคู่ควรมานั่งทัดเทียมกับตนได้อย่างไร?
เพียงแต่จนถึงทุกวันนี้อู๋อี้ก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนักพรตผู้นั้น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ทราบ
จำได้แค่ว่าเป็นนักพรตต่างถิ่นที่มีรูปโฉมเป็นวัยกลางคน สวมเสื้อสีเหลืองรองเท้าผ้าป่าน สะพายกระบี่ถือแส้ปัดฝุ่น มีมาดของเซียนอยู่มากจริงๆ
ภายหลังอู๋อี้เคยถามบิดาอยู่ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่กล้าถามอีก
ปีนั้นเฉิงหลงโจวแค่เอ่ยมาสองประโยคราวกับการทายคำปริศนา พูดก็เหมือนไม่ได้พูด
‘ใช้เรือนกายที่มีจำกัดหลอมเรือนแห่งเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด’
‘สร้างโอสถทองที่ไร้ผู้ใดทัดทาน เซียนดินไม่ถูกเซียนฟ้าหมิ่นเกียรติ’
เห็นได้ชัดว่าบิดาเลื่อมใสในตัวนักพรตพเนจรผู้นั้นมาก
หากไม่เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ในชั้นนี้อยู่ เซียวหลวนก็อย่าหวังว่าจะได้นั่งตำแหน่งของเทพวารีแม่น้ำป๋ายหูได้อย่างมั่นคง
อู๋อี้เพิ่มน้ำหนักเสียงถามว่า “ทางฝั่งนั้นยังปิดภูเขาอยู่อีกหรือ?”
หวงฉู่พยักหน้า “ยังคงห้ามไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไป ห้ามใครมาเยี่ยมเยือน”
อู๋อี้เบ้ปาก พูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “กล้าเชื่อหรือไม่?”
หวงฉู่ปิดปากอย่างรู้กาลเทศะ
ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบปี ภูเขาลั่วพั่วก็เปลี่ยนจากภูเขาที่ไม่มีชื่อเสียงกลายมาเป็นสำนักอักษรจงแห่งหนึ่ง
จวนเซียนบนภูเขาหลายแห่งที่กว่าจะก่อตั้งสำนักได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเวลาสามสิบปีผ่านไปอาจจะได้แค่รับลูกศิษย์มาไม่กี่คน สร้างจวนซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม สร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาได้สำเร็จ แค่พอจะถือว่ามีรูปมีร่างอย่างถูไถ และหากสามารถหยัดยืนอยู่ในพื้นที่ได้อย่างมั่นคง คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับจวนเซียนหรือแคว้นล่างภูเขาใกล้เคียงก็ต้องจุดธูปขอบคุณพระขอบคุณเจ้าแล้ว
ดังนั้นหวงฉู่ย่อมไม่กล้าเชื่อ
เพียงแต่เขาหรือจะกล้าปากมากวิพากษ์วิจารณ์การลุกผงาดของภูเขาลั่วพั่ว
อันที่จริงสำหรับภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น ปีนั้นอู๋อี้และจวนจื่อหยางไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักเท่าไร แล้วก็ไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์ดึงมาเป็นพวก ประคับประคองความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันด้วย
แต่พอมาถึงวันนี้ ต่อให้จวนจื่อหยางอยากจะไปตีสนิทด้วยก็ไม่มีทางปีนป่ายได้ถึง
ภูเขาลั่วพั่วที่ไม่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นแห่งนั้น ตอนไม่ส่งเสียงก็เงียบงัน พอส่งเสียงทีกลับสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คน ภูเขาตะวันเที่ยงที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นสำนักก็เหมือนหินรองเท้าน่าเวทนาที่ได้แต่ช่วยขับดันให้ภูเขาลั่วพั่วโดดเด่นขึ้น
ก็เหมือนอย่างฝั่งของศาลลมหิมะที่เอ่ยประโยคเป็นธรรม บอกว่าการจัดงานพิธีเฉลิมฉลองของเจ้าสำนักจู๋หวงครั้งนี้คือการจัดงานให้กับภูเขาลั่วพั่วโดยแท้
อู๋อี้รีบให้เจ้าจวนคนปัจจุบันของหวงฉู่เดินทางไปเยือนเขตหลงโจวเก่าด้วยตัวเองรอบหนึ่งทันที เพื่อนำของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่มาถึงอย่างเชื่องช้าไปมอบให้ ต่อให้จะไม่เป็นที่ชื่นชอบ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครยื่นมือมาตบหน้าคนที่ยิ้มให้
ตอนนั้นเจ้าขุนเขาหนุ่มไม่อยู่บ้าน ออกเดินทางไกลอีกครั้งแล้ว คนที่รับรองแขกของฝั่งภูเขาลั่วพั่วคือผู้ดูแลจูเหลี่ยน ซึ่งก็ถือว่าเป็นคุ้นหน้าคุ้นตากันครึ่งตัว ปีนั้นเขาเคยติดตามเฉินผิงอันมาเป็นแขกที่จวนจื่อหยางด้วย จึงพูดคุยกับหวงฉู่คล้ายรำลึกความหลัง ถือว่าคุยกันได้ถูกคออยู่มาก
การที่อู๋อี้ไม่ได้ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง จะว่าไปแล้วก็น่าขำ เพราะว่านางวางหน้าไม่ลง แล้วก็ยิ่งเพราะนาง…ไม่กล้าไป
ปีนั้นข้างกายของเฉินผิงอันมีแม่นางน้อยถ่านดำติดตามมาด้วย ใครจะไปคิดว่านางก็คือเจิ้งเฉียนปรมาจารย์ใหญ่หญิงในภายหลัง! คือเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว
สงครามที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปครั้งนั้น อู๋อี้เคยออกแรงมาก่อน แล้วก็เคยเห็นเจิ้งเฉียนปล่อยหมัดอยู่บนสนามรบไกลๆ มาก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!