ซุนเติงเซียนยิ้มเอ่ย “ปีนั้นเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้หากได้เจอกัน ยังจะพูดคุยกันได้อีกหรือไม่”
เซียวหลวนลังเลเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าให้เจ้าไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว ทำไมเจ้าถึงไม่เคยยอมไป ทางฝั่งของจวนวารีไม่คิดจะให้เจ้าต้องทำอะไรสักหน่อย ก็แค่เหมือนการแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนกันในวันปีใหม่ ดื่มเหล้าพูดคุยเรื่องน่าสนใจในยุทธภพกับอิ่นกวานเท่านั้น”
ทั้งบอกเป็นนัยและบอกอย่างชัดเจน เซียวหลวนเคยทดลองมาหมดแล้ว ทว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของจวนวารีบ้านตนท่านนี้กลับไม่ยอมพยักหน้าตอบตกลง ไม่เคยบอกกล่าวสาเหตุ ดื้อยิ่งนัก
ซุนเติงเซียนหัวเราะ ยังคงไม่ได้อธิบายอะไร
ถึงอย่างไรเหนียงเนียงเทพวารีก็ไม่ใช่คนในยุทธภพ ยากจะพูดคุยภาษายุทธภพอย่างแท้จริงได้
เป็นฝ่ายไปขอเหล้าดื่มก่อน นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไปของมนุษย์
สุราที่เป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนก็ดื่มได้ไม่เมา รสชาติก็ไม่เหมือนเหล้าชั้นเลวในตลาดที่พบเจอกันโดยบังเอิญ
ใต้หล้ามีคนฉลาดมากมายขนาดนั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นขาดข้าซุนเติงเซียนไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก
เซียวหลวนเองก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง ไม่มีทางจะคิดจะให้ซุนเติงเซียนไปตีสนิทอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเพื่อตัวเองหรือจวนวารีแม่น้ำป๋ายหูจริงๆ
เพียงแต่เซียวหลวนเองก็ยังมีเรื่องลับที่ยากจะเอื้อนเอ่ยอยู่เรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่นึกถึงก็แทบอยากจะขุดรูมุดลงไป
เรื่องนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่หล่นไปอยู่ในมือของอู๋อี้แล้ว
ซุนเติงเซียนเอ่ยขอตัวลากับเหนียงเนียงเทพวารี ออกมาจากห้อง เตรียมไปจะฝึกเดินนิ่งอยู่ในเรือนเพื่อยืดเส้นยืดสาย
อันที่จริงเขาพักอยู่ในห้องด้านข้างของเรือนนี่เอง
ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันตามลำพัง หญิงชายไม่ควรใกล้ชิด? ไม่ได้จัดให้พวกเจ้าสองคนอยู่ในห้องเดียวกันก็ถือว่าจวนจื่อหยางมีมารยาทในการรับรองแขกมากแล้ว
พอดีกับที่นอกเรือนหลังเล็กมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เดินไปเปิดประตู ซุนเติงเซียนก็ต้องอึ้งตะลึงไปทันใด นอกจากอู๋อี้จะมาเยือนด้วยตัวเองแล้ว
ข้างกายอู๋อี้ยังมีคนหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว บุคลิกสง่างามอ่อนโยน ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคา
เซียวหลวนเองก็เดินเร็วๆ ออกมาจากห้องแล้ว ดวงตาเรียวยาวทอประกายเหมือนสายน้ำฤดูสารทคู่นั้นมีแววเขินอายวูบผ่าน ทว่าไม่นานก็กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
คนผู้นั้นกุมมือคารวะ คลี่ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “จอมยุทธใหญ่ซุน เซียวฮูหยิน เจอกันอีกแล้วนะ”
ซุนเติงเซียนเป็นแค่ผู้ถวายงานของจวนเทพวารี เซียวหลวนกลับเป็นเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ทว่าคนตรงหน้าผู้นี้กลับจงใจเรียกซุนเติงเซียนก่อนแล้วค่อยเรียกเซียวหลวนคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา
เซียวหลวนหรือจะกล้าถือสาในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ รีบย่อเข่ายอบกายคารวะอย่างสำรวมทันที หลุบตาลงต่ำเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เซียวหลวนแห่งแม่น้ำป๋ายหูคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน!”
อู๋อี้เบ้ปาก เซียวหลวนผู้นี้ช่างโชคดีจริงๆ ดูเหมือนว่ามักจะได้เจอเจ้าคนข้างกายตนผู้นี้อยู่เสมอ สตรีผู้นี้ถือว่ามาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะบังเอิญหรือไม่?
ทำไม หรือว่าในจวนวารีแม่น้ำป๋ายหูแอบตั้งป้ายวิญญาณไม้เอาไว้?
เพียงแต่อู๋อี้ก็จำต้องยอมรับว่า เซียวหลวนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือโฉมสะคราญคนหนึ่งที่ ‘โฉมงามเลิศล้ำ มากพอจะทำให้คนหลงใหล จิตใจหวั่นไหว มองตามตาไม่กะพริบ’ จริงๆ
สตรีเห็นแล้วก็ยังรู้สึกว่าน่ารักน่าถนอม
ก็ไม่แปลกที่ในอาณาเขตของแคว้นหวงถิงจะมีหนังสือมากมายที่สร้างชื่อเสียงให้นางอย่างอ้อมๆ เอ่ยชื่นชมนางไม่ซ้ำรูปแบบ อะไรที่บอกว่าบนแม่น้ำมีเทพหญิง บนศีรษะโพกผ้าสีม่วงดอกบัว ใต้ฝ่าเท้าสวมรองเท้าลายใยบัว เดินแหวกคลื่นน้ำฝุ่นมิอาจแปดเปื้อน
เหอะ บทกวีที่คล้ายคลึงกันนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเซียวหลวนที่ไหว้วานให้คนมาช่วยเขียนแทนหรือไม่
อู๋อี้มองเซียวหลวนแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เซียวฮูหยิน ว่ามาเถอะ มาหาข้ามีธุระอะไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าคุยธุระกันไปเถอะ ข้ากับจอมยุทธใหญ่ซุนจะไปดื่มเหล้ากัน”
ซุนเติงเซียนมีสีหน้าลำบากใจ ตนออกจากบ้านไม่ได้พกสุรามา ในเรือนหลังนี้ก็ไม่ได้เตรียมสุราไว้ให้ แต่เฉินผิงอันกลับช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เขาแล้ว “ที่ข้ามีเหล้าหมักถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่หมักเองอยู่สองกา”
ไปถึงในห้องของซุนเติงเซียน รินเหล้าลงชามใหญ่สองชาม อันที่จริงซุนเติงเซียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เฉินผิงอันกลับถามจอมยุทธใหญ่ซุนว่าเคยเดินทางไปเที่ยวเยือนอำเภอสุ้ยอันหรือไม่ เมื่อมีหัวข้อสนทนาเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มพูดคุยกันได้แล้ว และพอมีเหล้าสองชามลงท้อง เฉินผิงอันก็ถอดรองเท้าผ้านั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้เสียเลย ซุนเติงเซียนก็เอาอย่าง ร่างทั้งร่างไม่แข็งเกร็งอีกต่อไป คนเก่าแก่ในยุทธภพ ขอแค่ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากนัก อันที่จริงก็ล้วนพูดคุยกันได้ ไม่ต้องให้อิ่นกวานหนุ่มหาเรื่องมาชวนคุย ซุนเติงเซียนก็เป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งให้ฟัง ถามเจ้าขุนเขเฉินว่ายังจำพวกคนที่เจอบนเทือกเขาสันตะขาบในปีนั้นได้หรือไม่ เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าต้องจำได้อยู่แล้ว ซุนเติงเซียนเช็ดปาก ยิ้มเอ่ยว่าเจ้าแก่พวกนั้น ขอแค่ได้มารวมตัวกันก็มักจะพูดคุยถึงเจ้าขุนเขาเฉินเสมอ แต่ตนน่ะไม่กล้าบอกว่ารู้จักเจ้า บางครั้งสอดปากพูดไปสองสามประโยคก็จะต้องถูกคนเถียงกลับมาทันทีว่าอิ่นกวานหนุ่มบอกเจ้าหรือ? หรือไม่ก็พูดว่าตอนนั้นเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือไร?
ซุนเติงเซียนดื่มเหล้าแล้วก็แสดงออกทางใบหน้าได้ง่าย เพียงไม่นานหน้าทั้งหน้าก็แดงก่ำ แต่อันที่จริงเขาแค่เพิ่งจะดื่มพอกรึ่มๆ เท่านั้น ถามว่า “ขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จอมยุทธใหญ่ซุนอยากถามว่าวิชาหมัดของเฉาสือเป็นอย่างไรหรือ?”
ซุนเติงเซียนถาม “ใช่ว่าเรื่องไหนไม่ควรพูดดันพูดเรื่องนั้นหรือไม่?”
“นี่จะมีอะไรกันเล่า ก็แค่ถามหมัดกับเฉาสือแล้วแพ้ติดต่อกันสี่ครั้งไม่ใช่หรือ”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าชนกับอีกฝ่ายเบาๆ ต่างฝ่ายต่างดื่มอึกใหญ่ ยกหลังมือเช็ดปาก “วิชาหมัดของเฉาสือประหนึ่งเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ทุกครั้งที่ลงมือก็ราวกับว่าทำนายได้ล่วงหน้ามาก่อน ร้ายกาจมากเลยล่ะ ข้าสู้เขาไม่ได้จริงๆ”
แต่เฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าแค่ชั่วคราว เปรียบเทียบกับปีนั้นที่ข้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วไร้เรี่ยวแรงให้ต่อสู้ตลอดการถามหมัดทั้งสามครั้ง การต่อสู้ที่สวนกงเต๋อครานั้นก็ถือว่าดีกว่าเดิมมากแล้ว”
ซุนเติงเซียนถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขาเฉินเรียนวิชาหมัดได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนตอบว่า “ในอดีตมีอาจารย์คอยสอนหมัดป้อนหมัดให้ ข้าเองก็ถือว่าอดทนกับความยากลำบากได้ บวกกับที่ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยเกียจคร้าน หากจะบอกว่าสถานะของผู้ฝึกกระบี่ที่ได้มาภายหลังคือเส้นทางการเดินขึ้นสู่ที่สูง ถ้าอย่างนั้นการฝึกวิชาหมัดเรียนวรยุทธในช่วงแรกก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”
ซุนเติงเซียนยิ้มถาม “คิดอย่างไรถึงหมักเหล้าเอง?”
เฉินผิงอันพูดหยอกล้อ “หาเงินอย่างไรล่ะ ตอนเด็กยากจนจนกลัว ในมือมีเงินอยู่แค่ไม่กี่แดง ในใจก็มักจะว่างโหวงอยู่เสมอ ทรัพย์สินของคนยากจนก็คือเหงื่อบนฝ่ามือ หากไม่เหนื่อยก็ไม่มี แต่เหนื่อยแล้วก็ยังไม่มี”
จิบเหล้าหนึ่งอึก เฉินผิงอันก็พูดต่ออีกว่า “ทุกวันนี้แน่นอนว่าไม่ขาดเงินแล้ว แต่เรื่องอย่างการหาเงินก็เหมือนกับการดื่มเหล้า ทำให้เสพติดได้ง่าย อย่างมากสุดก็แค่มักจะเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าอย่าได้หาเงินที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ คิดถึงเงินทองที่ไม่ชอบธรรมให้น้อยหน่อย เพราะพวกมันมักจะรั้งไว้ไม่อยู่ นอกจากนี้ก็คือพอมีเงินบ้างแล้วก็ต้องพยายามทำสิ่งที่ตัวเองสบายใจ เพราะเคยได้ยินคนเก่าคนแก่ของบ้านเกิดบอกว่า เก็บสะสมเงินให้กับลูกหลาน ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นความสุข รับไว้ไม่อยู่ก็คือรับไว้ไม่อยู่ มีเพียงทำความดีสะสมบุญกุศล ทิ้งความโชคดีไว้ให้กับลูกหลานเท่านั้น พวกเขาไม่อยากจะรับไว้ก็ไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า ทุกบ้านทุกครัวเรือนล้วนมีผืนนาแห่งหนึ่งที่เรียกว่าผืนนาแห่งความสุข ด้านในผืนนาแห่งความสุขง่ายที่จะมีรากแห่งปัญญาเติบโต ดังนั้นผืนนาแห่งความสุขที่ทิ้งไว้ให้กับลูกหลานจึงดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดีกว่าทรัพย์สินเงินทอง ถึงขั้นดียิ่งกว่าตำราด้วยซ้ำ”
ซุนเติงเซียนพยักหน้า “น่าเสียดายที่ตอนนี้คนมากมายไม่คิดแบบนี้ ใจเอาแต่คิดว่าหากไม่เด็ดขาดมากพอก็จะหาเงินก้อนใหญ่ไม่ได้”
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เพียงแต่จำต้องยอมรับว่า ในหลายๆ ครั้งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ พวกคนที่จิตใจเด็ดขาดมักจะมีชีวิตที่มีหน้ามีตาได้มากกว่า”
ซุนเติงเซียนถอนหายใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!