บนยอดเขาของภูเขาพีอวิ๋นมหาบรรพตอุดร
ต้นสนโบราณสูงเสียดฟ้า เบื้องใต้ต้นสนมีบุรุษคนหนึ่งนอนเอนกายอยู่บนเตียงหยกขาว เท้าคางด้วยมือข้างเดียว คล้ายหลับคล้ายไม่หลับ สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
บนร่างสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะ สวมรองเท้าย่ำเมฆา รัดเข็มขัดหลากสีเส้นหนึ่ง ตรงติ่งหูห้อยห่วงทอง
ดุจเทพดุจเซียนดุจผี งดงามประหนึ่งภาพวาด
เล่าลือกันว่าซานจวินของห้าขุนเขาใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีปต่างก็มีมาดสง่างามต่างกันไป
จิ้นชิงแห่งขุนเขากลางอายุมากที่สุด มีกลิ่นอายความโบราณมากที่สุด ฟ่านจวินเม่าซานจวินหญิงแห่งขุนเขาใต้กลับกลายเป็นว่ามีความองอาจมากที่สุด
ซานจวินขุนเขาตะวันออกมีกลิ่นอายความเป็นเซียน ซานจวินขุนเขาตะวันตกมีกลิ่นอายของจอมยุทธ
ส่วนเว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือ เป็นที่ยอมรับว่ารูปงามที่สุดในบรรดาซานจวินทั้งห้าของในหนึ่งทวีป เป็นเหตุให้มีกลิ่นอายความเป็นเทพมากที่สุด
ว่ากันว่าตามคำกล่าวของเทพแจ้งข่าว (เปรียบเปรยถึงคนขี้ฟ้อง) ตัวเล็กๆ บางคนที่กุมอำนาจสำคัญของภูเขาลั่วพั่ว อาณาเขตของขุนเขาเหนือพวกเราในทุกวันนี้ กลุ่มคนเพียงหนึ่งเดียวที่รอคอยให้งานเลี้ยงท่องราตรีถูกจัดขึ้นมากที่สุดก็คือผู้ฝึกตนหญิงและเทพธิดาจากฝ่ายต่างๆ ที่ได้ครอบครองสถานะบนทำเนียบแล้ว พวกนางที่อยู่ในงานเลี้ยง เพียงแค่มองเว่ยซานจวินที่หน้าแดงก่ำน้อยๆ เพราะเริ่มเมากรึ่ม ต่อให้พวกนางไม่ต้องดื่มเหล้าก็เมาตามไปด้วยได้แล้ว
พอได้ยินเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็จะต้องทวงความเป็นธรรมแทนเว่ยซานจวินทันที จึงถามหมี่ลี่น้อยว่านี่เป็นข่าวลือที่ใครแพร่ออกไป
หมี่ลี่น้อยบอกว่าก็ป๋ายเสวียนไงล่ะ แต่ดูเหมือนป๋ายเสวียนจะฟังมาจากจิ่งชิงอีกที
อีกทั้งจิ่งชิงยังเคยยุยงป๋ายเสวียนว่าจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งหน้าให้จงได้ จะต้องกดข่มความมีหน้ามีตาของเว่ยป้อสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้เว่ยซานจวินของพวกเราท่านนี้หางชี้ขึ้นฟ้ามากเกินไป
เวลานี้เว่ยป้อเบิกดวงตาสีทองบริสุทธิ์คู่นั้นขึ้น ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ล่ะ?”
ถามได้ดี
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “แนะนำเจ้าว่าเลิกคิดจะหลอกขูดรีดจากเสี่ยวโม่ได้เลย!”
เว่ยป้อหัวเราะร่วน “ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของข้าแล้วล่ะสิ?”
แนะนำให้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าวางแผนเล่นงานต้นไผ่ไม่กี่ต้นนั้นของข้าให้น้อยลงหน่อย ได้ผลไหมล่ะ?
ปีนั้นหมี่ลี่น้อยก็ไม่ใช่ว่าถูกยุแยงให้มานับต้นไผ่ที่ภูเขาพีอวิ๋นของข้าบ่อยๆ หรอกหรือ?
ชิงถงยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน อาศัยหมวกคลุมหน้าโปร่งบางมองประเมินซานจวินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วไพศาลผู้นี้ เพียงแต่ทุกวันนี้เรื่องของงานเลี้ยงท่องราตรีกลับแทบจะกลายเป็นชื่อเรียกแทนเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นไปแล้ว
ว่ากันว่าซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ของหนึ่งทวีปผู้นี้เคยเป็นกากเดนของแคว้นเสินสุ่ยในอาณาเขตสู่โบราณ ถูกลดระดับขั้นให้เป็นเพียงเทพแห่งผืนดิน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รับความโปรดปรานจากราชครูชุย กระโดดเลื่อนขั้นเป็นซานจวินของราชสำนักต้าหลีได้ในก้าวเดียว
คนผู้นี้ประสบพบเจอกับความตกต่ำและความรุ่งโรจน์ที่ทำให้คนต้องทอดถอนใจด้วยความทึ่ง
แจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปในทุกวันนี้ สองทวีปเหนือใต้ต่างก็รู้กันดีว่าภูเขาพีอวิ๋นกับภูเขาลั่วพั่วก็คือพันธมิตรที่สนิทสนมกันราวกับสวมกางเกงตัวเดียวกัน
แต่จะว่าไปแล้วก็น่าสนใจ ครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วตรงหน้าผู้นี้ได้เหยียบย่างขึ้นมาบนภูเขาพีอวิ๋นก็คือตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มและยังเป็นลูกศิษย์ของเตาเผาเครื่องปั้น รอกระทั่งเว่ยป้อเข้ามาเป็นนายของที่แห่งนี้ รับหน้าที่เป็นซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลี เฉินผิงอันก็ได้เป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่หลังจากนั้นส่วนใหญ่กลับเป็นเว่ยป้อที่ไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกลับไม่เคยเป็นฝ่ายมาเยือนภูเขาพีอวิ๋นด้วยตัวเองมาก่อน
กระทั่งคราวก่อนที่เฉินผิงอันไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วได้หวนกลับมายังบ้านเกิด ถึงได้พาเสี่ยวโม่เดินขึ้นเขามาด้วยกัน ความอุดมสมบูรณ์ของของขวัญพบหน้าชิ้นนั้นทำให้เว่ยป้อรอคอยที่จะได้พบหน้ากันครั้งถัดไป
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่มัวพูดไร้สาระกับเจ้าแล้ว”
จากนั้นเมื่อเว่ยป้อรู้จุดประสงค์ในการปล่อยดวงจิตเดินทางในความฝันของเฉินผิงอันครั้งนี้แล้วก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เพียงแค่อดไม่ไหวทอดถอนใจเอ่ยว่า “เดิมทีรู้ว่าเจ้าแย่งชิงโชคชะตาน้ำที่อุดมสมบูรณ์ของลำคลองเย่ลั่วมาได้ ข้ายังนึกว่าเจ้าจะปิดด่านช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากโชคดีทนไปอีกสักสองสามร้อยปี ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีโอกาสที่จะช่วยเจ้าแย่งชิงตำแหน่งของ ‘บุคคลอันดับหนึ่งแห่งวิชาน้ำ’ จากใต้หล้ามาให้ได้ ผลกลับดีนัก อย่าว่าแต่โชคชะตาน้ำพวกนี้ที่รั้งเอาไว้ไม่อยู่เลย ตอนนี้แม้แต่คุณความชอบก็ไม่ต้องการแล้ว”
เวทห้าอสนีของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ คาถาไฟของฮว่อหลงเจินเหริน และยังมีวิชาดินของเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ล้วนพอจะถือว่าเลื่อนสู่อาณาเขตของบนยอดเขาที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้แล้ว
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันตระหนักได้อย่างแท้จริงว่ามหามรรคาของตัวเองใกล้ชิดกับสายน้ำก็เป็นเพราะคำเตือนจากเว่ยป้อเช่นกัน
เว่ยป้อกล่าว “สองขุนเขาอย่างตะวันออกและตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมตอบตกลง หากไม่อาจทำให้ซานจวินใหญ่ของห้ามหาบรรพตในหนึ่งทวีปตอบตกลงเหมือนกันหมดได้ ถึงอย่างไรก็จะเหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจายถาดหนึ่ง ผลลัพธ์ของธูปภูเขาจะต้องถูกลดทอนลงไปมาก”
การพูดคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำยากก็ตรงที่ ‘ผลประโยชน์ใหญ่ไม่เท่ามรรคา’ เส้นทางในโลกมนุษย์ล่างภูเขา ผู้คนที่เดินสวนกันขวักไขว่ล้วนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ แต่เส้นทางเทพบนภูเขากลับไม่เหมือนกัน
ก็เหมือนอย่างเว่ยป้อที่ยินดีตอบตกลงกับเรื่องนี้ เขาจะแค่ละโมบในบุญกุศลส่วนนั้นได้อย่างไร หากถูกผลประโยชน์บดบังใจ ไม่แน่ว่าร่างทองซานจวินของเว่ยป้ออาจเกิดปัญหาก็เป็นได้
จะว่าไปแล้วด้านในนี้ก็มีเงื่อนไขใหญ่ข้อหนึ่งอยู่ด้วย นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จุดธูปทางใจ ยังจำเป็นต้องยอมรับในตัวเฉินผิงอันอย่างจริงใจด้วย
ดังนั้นเฉินผิงอันก็คือ ‘คนส่งธูปแห่งภูเขาสายน้ำ’ ที่สำคัญอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เตรียมใจพร้อมไว้กับการต้องกินน้ำแกงประตูปิดแล้ว ถึงได้มาหาเจ้าก่อน เพื่อหวังให้เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเริ่มต้น”
เว่ยป้อเอ่ย “ต้องให้ข้าบอกกล่าวกับสหายในวงการขุนนางสองคนนั้นก่อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าดีกว่า มีจดหมายฉบับนั้นของเจ้าหรือไม่ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร”
เว่ยป้อพยักหน้า เป็นเช่นนี้จริง ระดับขั้นของตำแหน่งเทพห้ามหาบรรพตล้วนเท่ากัน ไม่ว่าใครก็ควบคุมใครไม่ได้ นับประสาอะไรกับที่เว่ยป้อเองก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับซานจวินของสองขุนเขา ไม่ถือว่ามีมิตรภาพส่วนตัวกันแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่จวนซานจวินส่งจดหมายถึงกันล้วนหนีไม่พ้นพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน
เฉินผิงอันถาม “เย่ชิงจู๋เปลี่ยนใจแล้วใช่หรือไม่? วันนี้ได้มาเยี่ยมเยือนจวนซานจวินของเจ้า เป็นฝ่ายถอนเอกสารที่นางจะลาออกจากการเป็นเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงหรือไม่?”
เว่ยป้อส่ายหน้า “เจ้าเดาผิดแล้ว ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เย่ชิงจู๋รีบร้อนมาเยือนภูเขาพีอวิ๋นจริง แต่ขาดก็แค่ไม่ได้ร่ำร้องว่าจะผูกคอตายกับข้าเท่านั้น นางยิ่งยืนกรานในความคิดเดิม ต้องการเปลี่ยนไปรับตำแหน่งในที่แห่งอื่น ไม่คาดหวังว่าจะได้โยกย้ายไปในระดับที่เท่ากัน ต่อให้ถูกลดระดับขั้นลงก็ยังยอม นางหมายตาแม่น้ำอยู่สองสามแห่ง จุดเดียวที่เหมือนกันก็คืออยู่ห่างจากภูเขาลั่วพั่วค่อนข้างไกล ยังพูดจากระฟัดกระเฟียดใส่ข้า บอกว่าหากขุนเขาเหนือไม่อนุญาตเรื่องนี้ นางจะไปฟ้องถึงที่เมืองหลวง ตอนพูดก็ตาแดงก่ำ น้ำตาคลอดวงตาไปด้วย น่าสงสารยิ่งนัก”
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง “ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ก่อนหน้านี้ข้าก็คุยกับเหนียงเนียงเทพวารีที่จวนวารีแม่น้ำอวี้เจียงได้ดีนี่นา พูดจากันอย่างมีน้ำใสใจจริง ถือว่าละวางอคติก่อนหน้าที่มีต่อกันไปแล้วนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!