เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร?”
เว่ยป้อตอบ “จิตใจหนักแน่นยืดหยุ่น คุณสมบัติธรรมดา อายุหกสิบปี ยังเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ข้าเคยตรวจสอบรากฐานของเขามาก่อน ชาติกำเนิดขาวสะอาด คือคนของเฉียนโจวเก่าของราชวงศ์ป๋ายซวง มาจากตระกูลปัญญาชน ไม่มีความคิดที่จะสอบเคอจวี่ มุ่งมั่นอยู่แต่กับมรรคา เคยเป็นตูเจี่ยง (ผู้ช่วยอาจารย์ที่สอนหนังสือ) ให้กับอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งในพื้นที่ของเฉียนโจว สงครามครั้งนั้นทำให้อารามเต๋าถูกทำลายภายในค่ำคืนเดียว หลังจากสงครามผ่านพ้นเขาอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือ รอกระทั่งเขาได้อ่านรายงานฉบับนั้นถึงมุ่งมั่นอยากมาฝึกตนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับไม่ใช่พวกคนที่ชอบฉวยโอกาสเอาเปรียบใคร ไม่ใช่ว่าอยากจะใช้ภูเขาลั่วพั่วเป็นทางลัดในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แค่รู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มแห่งแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือวีรบุรุษที่เลิศล้ำยอดเยี่ยม จึงคิดอยากจะขอความรู้ด้านมรรคกถากับเจ้าขุนเขาเฉินที่ทั้งเวทกระบี่ วิชาหมัด ความรู้และวิชาสายยันต์ล้วนเข้าขั้นชำนาญถึงจุดสุดยอด”
เฉินผิงอันนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับเซียนเว่ยครั้งแรกในเมืองหลวงต้าหลี ต่อให้ไม่พูดถึงสถานะอีกชั้นหนึ่งของเซียนเว่ย แม้แต่คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างตนก็ยังเกือบจะถูกคำพูดเหลวไหลของอีกฝ่ายสยบเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมได้ในฉับพลัน จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “หากไม่ใช่คนใสซื่อก็ไม่มีทางถูกเซียนเว่ยหลอกได้หรอก”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงอยากจะให้ข้ายอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยายสินะ”?
เว่ยป้อตอบไม่ตรงคำถาม “นักพรตผู้นี้คล้ายจะมีสติปัญญามาตั้งแต่เกิด มีชื่อว่าหลินเฟยจิง”
การที่เฉินผิงอันผ่านหน้าประตูบ้านตัวเองแต่ไม่เข้าไป คำที่บอกว่ายิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งขลาดกลัวก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงเพราะไม่ต้องการให้ชิงถงได้พบเจอกับคนเฝ้าประตูคนใหม่ที่มีฉายาว่าเซียนเว่ยเร็วเกินไปนัก
เพียงแต่ว่าพอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนใจ ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ชิงถงมองลมปราณของภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นรอกระทั่งชิงถงได้เห็นนักพรตเซียนเว่ยที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาแล้ว
ชิงถงจึงตกใจยิ่งกว่าตอนที่ได้พบอาจารย์ผู้เฒ่าในป๋ายอวี้จิงจำลองมากนัก
เห็นเพียงว่าตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วมีคนผู้หนึ่งปักปิ่นเต๋าชิ้นหนึ่ง
ชิงถงหน้าขาวซีดในชั่วพริบตา ยกมือหยิบหมวกคลุมใบหน้าขึ้นมาปิดบังโฉมหน้าอีกครั้งเงียบๆ
นี่ก็คือรากฐานที่แท้จริงของภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?
‘นักพรต’ คนแรกของโลกมนุษย์
หนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้าของยุคบรรพกาล!
ตรงหน้าประตูของขุนเขากลาง
สีเขียวขจีเต็มขุนเขาไล่ระดับจากบนลงล่าง ประหนึ่งสายน้ำที่ไหลจากด้านบนลงสู่ตีนเขา
เวลานี้จิตแห่งมรรคาที่ตุ้มๆ ต่อมๆ ของชิงถงเริ่มค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติได้แล้ว จึงใช้เสียงในใจเอ่ยสัพยอกว่า “มิน่าเล่าในชื่อของซานจวินผู้นี้ถึงได้มีคำว่าชิง (เขียว)”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จิ้นซานจวินไม่ใช่คนที่ชอบพูดล้อเล่น อีกเดี๋ยวเจ้าก็ฟังให้มากพูดให้น้อย”
ในลานประกอบพิธีกรรมที่ถูกอำพรางอยู่ใกล้กับศาลบนยอดเขา เห็นซานจวินจิ้นชิงแห่งขุนเขากลางเปิดประตูต้อนรับแขก เฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ทางฝั่งของภูเขาเซียนตูที่เป็นสำนักเบื้องล่างมีผู้ถวายงานไม่บันทึกชื่ออยู่สองคนคือเส้าพอเซียนและสาวใช้เหมิงหลง อีกเดี๋ยวพวกเขาจะได้ก่อตั้งแคว้นในอาณาเขตของลำคลองหลินเหอภาคกลางของใบถงทวีป แซ่แคว้นคือตู๋กู แต่สตรีจะตั้งตนเป็นกษัตริย์ เส้าพอเซียนที่เป็นรัชทายาทแคว้นล่มสลายจะไม่ใช้ชื่อจริงซึ่งเป็นชื่อเดิม แต่จะรับหน้าที่เป็นราชครู บุตรสาวคนโตของเจ้าขุนเขาเฉิง อู๋อี้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยางจะใช้สถานะที่คล้ายคลึงกับเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น ในเมื่อเรื่องนี้ข้าเป็นคนที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีทางทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านแน่”
ไม่ผิดไปจากที่คาดแม้แต่น้อย ซานจวินใหญ่ท่านนี้หันหน้าไปทางทิศใต้แล้วประสานมือคารวะอีกครั้ง
จิ้นชิงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่ได้พูดอะไร”
เดิมทีปมในใจนี้คือเงื่อนตายอย่างหนึ่งที่อยู่ระหว่างสกุลซ่งต้าหลีกับจิ้นชิงแห่งขุนเขากลาง
ในฐานะซานจวินของมหาบรรพต จิ้นชิงนั้นสามารถถือว่าเป็นคนเก่าแก่ของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่สำคัญที่สุดอย่างที่ไม่มีหนึ่งใน
ดังนั้นธูปทางใจดอกนี้ของจิ้นชิงจะมีความจริงใจอย่างถึงที่สุด เพราะถือว่าได้ทำให้ความปรารถนาของเขากลายมาเป็นความจริงแล้ว
หากหลังจบเรื่องฮ่องเต้ต้าหลีซักไซ้ตำหนิ หนึ่งคือจิ้นชิงไม่คิดอะไรมาก ไม่เห็นเป็นสำคัญ เพราะไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ล้ำเส้นอะไร เพราะถึงอย่างไรกระทั่งถึงทุกวันนี้จิ้นชิงก็ยังไม่เคยติดต่อกับ ‘เส้าพอเซียน’ มาก่อน อีกอย่างจิ้นชิงก็ไม่ค่อยกังวลถึงภัยร้ายที่อาจทิ้งไว้ในภายหลัง เพราะถึงอย่างไรการค้าครั้งนี้ก็ทำกับเฉินผิงอัน แน่จริงราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าก็ไปหาเรื่องอิ่นกวานเอาสิ?
แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยและความใจกว้างของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้
เพราะถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปจิ้นชิงก็จะสามารถตั้งใจเป็นซานจวินขุนเขากลางของราชวงศ์ต้าหลีได้อย่างเต็มที่แล้ว
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่คนเป็นราชครูของแคว้นหนึ่งเท่านั้นถึงจะทำ อีกทั้งยังสามารถทำได้สำเร็จ
จิ้นชิงลูบคลำชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าขุนเขาเฉินก็จะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว น่าเสียดายที่มีภาระหน้าที่ติดตัว ติดขัดที่สถานะ ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจไปร่วมแสดงความยินดีได้ เรื่องของของขวัญแสดงความยินดี…คงได้แต่ถ่วงเวลาไว้ก่อนสักหลายวัน”
เพราะจิ้นชิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในความฝันของอีกฝ่าย
คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยิ้มกล่าวว่า “จิ้นซานจวินแค่เพ่งสมาธินิมิตดูสักครู่ ของขวัญแสดงความยินดีที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วชิ้นนั้นก็จะเปลี่ยนจากภาพมายามาเป็นของจริงได้”
จิ้นชิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็สามารถหยิบแบบคัดตัวอักษรเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อได้จริงดังคาด คือตำรารวบรวมตัวอักษรแกะสลักหน้าผาขนาดใหญ่ของขุนเขากลาง มีมากถึงสองพันกว่าบท คือตำราหายากที่ต้นฉบับเดิมได้หายสาบสูญไปนานแล้ว
จิ้นชิงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เหลือแค่เล่มนี้เล่มเดียวแล้ว โปรดเก็บรักษาให้ดี”
โดยทั่วไปแล้วแบบคัดตัวอักษร ส่วนใหญ่จะมอบให้กันระหว่างปัญญาชนล่างภูเขา สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วกลับมองคล้ายของขวัญเบาน้ำใจหนักมากกว่า
แต่เฉินผิงอันกลับรับแบบคัดตัวอักษรเล่มหนานี้มาด้วยท่าทางจริงจัง
เพราะสำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้ว นี่ก็คือการส่งถ่านท่ามกลางหิมะอย่างจริงแท้แน่นอน
บนเส้นทางการของการหลอมตัวอักษร เขาต้องการของสิ่งนี้อย่างเร่งด่วน
นี่ก็เหมือนกรอบป้ายสี่กรอบที่บ้านเกิดเรียกภาษาบ้านๆ ว่าซุ้มก้ามปูแห่งนั้น หลังจากที่ปีนั้นถูกขุนนางของกรมพิธีการคัดลอกไปหลายครั้งเข้าก็ค่อยๆ สูญเสียจิงชี่เสินไป เนื่องจากท่วงทำนองมรรคาอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนแฝงอยู่ในตัวอักษรพวกนี้ได้ถูกถ่ายโอนเข้าไปในฉบับคัดลอกทั้งหลายอย่างเงียบเชียบแล้ว มองดูเหมือนตัวอักษรบนกรอบป้ายชองซุ้มก้ามปูจะยังคงเดิม แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนแล้วกลับเป็นดั่ง ‘คนผมขาวไร้เรี่ยวแรง’ ไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!