ตอน บทที่ 935.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่) จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 935.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร?”
เว่ยป้อตอบ “จิตใจหนักแน่นยืดหยุ่น คุณสมบัติธรรมดา อายุหกสิบปี ยังเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ข้าเคยตรวจสอบรากฐานของเขามาก่อน ชาติกำเนิดขาวสะอาด คือคนของเฉียนโจวเก่าของราชวงศ์ป๋ายซวง มาจากตระกูลปัญญาชน ไม่มีความคิดที่จะสอบเคอจวี่ มุ่งมั่นอยู่แต่กับมรรคา เคยเป็นตูเจี่ยง (ผู้ช่วยอาจารย์ที่สอนหนังสือ) ให้กับอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งในพื้นที่ของเฉียนโจว สงครามครั้งนั้นทำให้อารามเต๋าถูกทำลายภายในค่ำคืนเดียว หลังจากสงครามผ่านพ้นเขาอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือ รอกระทั่งเขาได้อ่านรายงานฉบับนั้นถึงมุ่งมั่นอยากมาฝึกตนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่กลับไม่ใช่พวกคนที่ชอบฉวยโอกาสเอาเปรียบใคร ไม่ใช่ว่าอยากจะใช้ภูเขาลั่วพั่วเป็นทางลัดในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แค่รู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มแห่งแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือวีรบุรุษที่เลิศล้ำยอดเยี่ยม จึงคิดอยากจะขอความรู้ด้านมรรคกถากับเจ้าขุนเขาเฉินที่ทั้งเวทกระบี่ วิชาหมัด ความรู้และวิชาสายยันต์ล้วนเข้าขั้นชำนาญถึงจุดสุดยอด”
เฉินผิงอันนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับเซียนเว่ยครั้งแรกในเมืองหลวงต้าหลี ต่อให้ไม่พูดถึงสถานะอีกชั้นหนึ่งของเซียนเว่ย แม้แต่คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างตนก็ยังเกือบจะถูกคำพูดเหลวไหลของอีกฝ่ายสยบเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมได้ในฉับพลัน จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “หากไม่ใช่คนใสซื่อก็ไม่มีทางถูกเซียนเว่ยหลอกได้หรอก”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงอยากจะให้ข้ายอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยายสินะ”?
เว่ยป้อตอบไม่ตรงคำถาม “นักพรตผู้นี้คล้ายจะมีสติปัญญามาตั้งแต่เกิด มีชื่อว่าหลินเฟยจิง”
การที่เฉินผิงอันผ่านหน้าประตูบ้านตัวเองแต่ไม่เข้าไป คำที่บอกว่ายิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดก็ยิ่งขลาดกลัวก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงเพราะไม่ต้องการให้ชิงถงได้พบเจอกับคนเฝ้าประตูคนใหม่ที่มีฉายาว่าเซียนเว่ยเร็วเกินไปนัก
เพียงแต่ว่าพอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนใจ ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ชิงถงมองลมปราณของภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นรอกระทั่งชิงถงได้เห็นนักพรตเซียนเว่ยที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาแล้ว
ชิงถงจึงตกใจยิ่งกว่าตอนที่ได้พบอาจารย์ผู้เฒ่าในป๋ายอวี้จิงจำลองมากนัก
เห็นเพียงว่าตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วมีคนผู้หนึ่งปักปิ่นเต๋าชิ้นหนึ่ง
ชิงถงหน้าขาวซีดในชั่วพริบตา ยกมือหยิบหมวกคลุมใบหน้าขึ้นมาปิดบังโฉมหน้าอีกครั้งเงียบๆ
นี่ก็คือรากฐานที่แท้จริงของภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?
‘นักพรต’ คนแรกของโลกมนุษย์
หนึ่งในสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้าของยุคบรรพกาล!
ตรงหน้าประตูของขุนเขากลาง
สีเขียวขจีเต็มขุนเขาไล่ระดับจากบนลงล่าง ประหนึ่งสายน้ำที่ไหลจากด้านบนลงสู่ตีนเขา
เวลานี้จิตแห่งมรรคาที่ตุ้มๆ ต่อมๆ ของชิงถงเริ่มค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติได้แล้ว จึงใช้เสียงในใจเอ่ยสัพยอกว่า “มิน่าเล่าในชื่อของซานจวินผู้นี้ถึงได้มีคำว่าชิง (เขียว)”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จิ้นซานจวินไม่ใช่คนที่ชอบพูดล้อเล่น อีกเดี๋ยวเจ้าก็ฟังให้มากพูดให้น้อย”
ในลานประกอบพิธีกรรมที่ถูกอำพรางอยู่ใกล้กับศาลบนยอดเขา เห็นซานจวินจิ้นชิงแห่งขุนเขากลางเปิดประตูต้อนรับแขก เฉินผิงอันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ทางฝั่งของภูเขาเซียนตูที่เป็นสำนักเบื้องล่างมีผู้ถวายงานไม่บันทึกชื่ออยู่สองคนคือเส้าพอเซียนและสาวใช้เหมิงหลง อีกเดี๋ยวพวกเขาจะได้ก่อตั้งแคว้นในอาณาเขตของลำคลองหลินเหอภาคกลางของใบถงทวีป แซ่แคว้นคือตู๋กู แต่สตรีจะตั้งตนเป็นกษัตริย์ เส้าพอเซียนที่เป็นรัชทายาทแคว้นล่มสลายจะไม่ใช้ชื่อจริงซึ่งเป็นชื่อเดิม แต่จะรับหน้าที่เป็นราชครู บุตรสาวคนโตของเจ้าขุนเขาเฉิง อู๋อี้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยางจะใช้สถานะที่คล้ายคลึงกับเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น ในเมื่อเรื่องนี้ข้าเป็นคนที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีทางทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านแน่”
ไม่ผิดไปจากที่คาดแม้แต่น้อย ซานจวินใหญ่ท่านนี้หันหน้าไปทางทิศใต้แล้วประสานมือคารวะอีกครั้ง
จิ้นชิงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่ได้พูดอะไร”
เดิมทีปมในใจนี้คือเงื่อนตายอย่างหนึ่งที่อยู่ระหว่างสกุลซ่งต้าหลีกับจิ้นชิงแห่งขุนเขากลาง
ในฐานะซานจวินของมหาบรรพต จิ้นชิงนั้นสามารถถือว่าเป็นคนเก่าแก่ของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่สำคัญที่สุดอย่างที่ไม่มีหนึ่งใน
ดังนั้นธูปทางใจดอกนี้ของจิ้นชิงจะมีความจริงใจอย่างถึงที่สุด เพราะถือว่าได้ทำให้ความปรารถนาของเขากลายมาเป็นความจริงแล้ว
หากหลังจบเรื่องฮ่องเต้ต้าหลีซักไซ้ตำหนิ หนึ่งคือจิ้นชิงไม่คิดอะไรมาก ไม่เห็นเป็นสำคัญ เพราะไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ล้ำเส้นอะไร เพราะถึงอย่างไรกระทั่งถึงทุกวันนี้จิ้นชิงก็ยังไม่เคยติดต่อกับ ‘เส้าพอเซียน’ มาก่อน อีกอย่างจิ้นชิงก็ไม่ค่อยกังวลถึงภัยร้ายที่อาจทิ้งไว้ในภายหลัง เพราะถึงอย่างไรการค้าครั้งนี้ก็ทำกับเฉินผิงอัน แน่จริงราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าก็ไปหาเรื่องอิ่นกวานเอาสิ?
แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยและความใจกว้างของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้
เพราะถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปจิ้นชิงก็จะสามารถตั้งใจเป็นซานจวินขุนเขากลางของราชวงศ์ต้าหลีได้อย่างเต็มที่แล้ว
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่คนเป็นราชครูของแคว้นหนึ่งเท่านั้นถึงจะทำ อีกทั้งยังสามารถทำได้สำเร็จ
จิ้นชิงลูบคลำชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าขุนเขาเฉินก็จะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว น่าเสียดายที่มีภาระหน้าที่ติดตัว ติดขัดที่สถานะ ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจไปร่วมแสดงความยินดีได้ เรื่องของของขวัญแสดงความยินดี…คงได้แต่ถ่วงเวลาไว้ก่อนสักหลายวัน”
เพราะจิ้นชิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในความฝันของอีกฝ่าย
คาดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยิ้มกล่าวว่า “จิ้นซานจวินแค่เพ่งสมาธินิมิตดูสักครู่ ของขวัญแสดงความยินดีที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วชิ้นนั้นก็จะเปลี่ยนจากภาพมายามาเป็นของจริงได้”
จิ้นชิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็สามารถหยิบแบบคัดตัวอักษรเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อได้จริงดังคาด คือตำรารวบรวมตัวอักษรแกะสลักหน้าผาขนาดใหญ่ของขุนเขากลาง มีมากถึงสองพันกว่าบท คือตำราหายากที่ต้นฉบับเดิมได้หายสาบสูญไปนานแล้ว
จิ้นชิงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เหลือแค่เล่มนี้เล่มเดียวแล้ว โปรดเก็บรักษาให้ดี”
โดยทั่วไปแล้วแบบคัดตัวอักษร ส่วนใหญ่จะมอบให้กันระหว่างปัญญาชนล่างภูเขา สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้วกลับมองคล้ายของขวัญเบาน้ำใจหนักมากกว่า
แต่เฉินผิงอันกลับรับแบบคัดตัวอักษรเล่มหนานี้มาด้วยท่าทางจริงจัง
เพราะสำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้ว นี่ก็คือการส่งถ่านท่ามกลางหิมะอย่างจริงแท้แน่นอน
บนเส้นทางการของการหลอมตัวอักษร เขาต้องการของสิ่งนี้อย่างเร่งด่วน
นี่ก็เหมือนกรอบป้ายสี่กรอบที่บ้านเกิดเรียกภาษาบ้านๆ ว่าซุ้มก้ามปูแห่งนั้น หลังจากที่ปีนั้นถูกขุนนางของกรมพิธีการคัดลอกไปหลายครั้งเข้าก็ค่อยๆ สูญเสียจิงชี่เสินไป เนื่องจากท่วงทำนองมรรคาอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนแฝงอยู่ในตัวอักษรพวกนี้ได้ถูกถ่ายโอนเข้าไปในฉบับคัดลอกทั้งหลายอย่างเงียบเชียบแล้ว มองดูเหมือนตัวอักษรบนกรอบป้ายชองซุ้มก้ามปูจะยังคงเดิม แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนแล้วกลับเป็นดั่ง ‘คนผมขาวไร้เรี่ยวแรง’ ไปแล้ว
บนภูเขาและวงการขุนนางภูเขาสายน้ำทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ต่างก็ชอบรอดูเรื่องตลกของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก
และประโยคที่เอ่ยโดยไม่ได้เจตนาของซานจวินแห่งขุนเขากลาง อันที่จริงเมื่อชิงถงได้ฟังกลับมีนัยให้ขบคิดอย่างมาก รสชาตินั้นยังค้างคาให้ขบคิดอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เฉินผิงอันหัวเราะ ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแค่ย้อนถามว่า “หลังจากกลายมาเป็นสำนักกระบี่หวงซาน อิงตามกฎเดิมของศาลบุ๋นก็จำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนัก ถ้าอย่างนั้นหยวนป๋ายก็ไม่อาจเป็นเจ้าสำนักได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไรต่อ? จะย้อนกลับไปที่ภูเขาตะวันเที่ยงอีกครั้งหรือว่าจะมาเป็นเค่อชิงอยู่กับจิ้นซานจวิน?”
จิ้นชิงเอ่ยว่า “นี่ก็ยังต้องดูที่ความต้องการของตัวหยวนป๋ายเอง ไปอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงก็คือไปใช้ชีวิตพักผ่อนในช่วงบั้นปลาย อาจยังต้องถูกศาลบรรพจารย์เกณฑ์ตัวให้มาเข้าร่วมการประชุมอยู่เป็นระยะ ด้วยนิสัยของหยวนป๋าย เปลี่ยนใจไปแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่น่าจะมาฝึกตนอยู่ที่จวนซานจวินของข้าแล้ว เกินครึ่งน่าจะเลือกอยู่ต่อที่สำนักเบื้องล่างกระมัง ไม่มีตำแหน่งขุนนางไม่มีภาระหน้าที่ก็ตัวเบา”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนจิ้นซานจวินบอกกล่าวกับหยวนป๋ายสักคำว่า สำนักกระบี่ชิงผิงแห่งภูเขาเซียนตู สำนักกระบี่แห่งแรกของใบถงทวีป กำลังตั้งตารอคอยอยู่ ยินดีต้อนรับให้มาเยือนอยู่เสมอ”
จิ้นชิงหัวเราะเสียงดังกังวาน “นี่ใต้เท้าอิ่นกวานจะมาขุดมุมกำแพงบ้านคนอื่นหรือ?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ซานจวินต้องบอกเรื่องนี้ให้หยวนป๋ายทราบด้วย ทางที่ดีที่สุดคือช่วยโน้มน้าวเขาให้ด้วย”
จิ้นชิงประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย “เจ้าให้ความสำคัญกับหยวนป๋ายขนาดนี้เชียวหรือ?”
หยวนป๋ายเดินมาถึงปลายทางของเส้นทางหัวขาดแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนอีก ไม่มีวาสนากับคำว่าเซียนกระบี่อย่างสิ้นเชิง นี่แทบจะเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว
หากจะพูดถึงสำนักทั่วไป ต่อให้เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีผู้มากพรสวรรค์อยู่มากมาย แน่นอนว่ายังยินดีที่จะเคารพนับถือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มหามรรคาหยุดชะงักมิอาจเดินหน้าได้ต่อ
แต่สำหรับเฉินผิงอันที่ได้ครอบครองยศ ‘อิ่นกวาน’ แล้ว อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น มีผู้ฝึกกระบี่แบบใดบ้างที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน?
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่มีสูงมีต่ำ มีเพียงคำว่าบริสุทธิ์เท่านั้นที่ไม่แบ่งสูงต่ำ”
จิ้นชิงกล่าว “รอให้เรื่องบางเรื่องสำเร็จได้จริงเมื่อไหร่ ข้าจะนำความไปบอกให้ ให้หยวนป๋ายตัดสินใจเองว่าจะไปฝึกตนอยู่ที่ไหน”
ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากสถานประกอบพิธีกรรมของจิ้นชิง ได้มอบพัดพับไผ่เขียวด้ามหนึ่งให้กับเขา ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือว่าสำคัญอะไร”
จิ้นชิงรับพัดพับเล่มนั้นมา พอมาอยู่ในมือก็รู้ทันทีว่า ‘ไม่ถือว่าสำคัญ’ อย่างที่บอกจริงๆ จึงยิ้มเอ่ยประโยคตามมารยาทว่า “รับรองแขกได้ไม่ดีพอ โปรดให้อภัยด้วย”
รอกระทั่งเฉินผิงอันกับผู้ติดตามออกไปจากอาณาเขตขุนเขากลางแล้ว จิ้นชิงก็คลี่พัดพับออก หน้าพัดมีตัวอักษรเป็นประโยคว่า
พันภูเขาครองบรรพต ร้อยวารีรวมเป็นหนึ่ง ประตูแคว้นโอฬาร เทพจวี้หลิงพิทักษ์ขุนเขา กระบี่ฟาดน้ำค้างแข็ง หมื่นปีบ่มเพาะเหล่าวีรชนผู้โดดเด่น
เรียนรู้จากปรมาจารย์ เส้นลมปราณแห่งมนุษย์ จิตวิญญาณแห่งแคว้น ความกล้าหาญแห่งผู้ทรงธรรม ใช้เรือนกักกันโชคลาภ ตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง ทุ่มเทสุดชีวิตและจิตใจ
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!