สรุปเนื้อหา บทที่ 935.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่) – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 935.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่) ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
บนใบหน้าของจิ้นชิงปรากฎรอยยิ้ม หุบพัดพับเข้าด้วยกัน กำไว้ในมือ ทอดสายตามองไกลไปยังขุนเขาสายน้ำ เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างความยุติธรรม ย่อมได้รับการสนับสนุนจากคนมากมาย”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาชิงถงไปเยือนขุนเขาตะวันออกและขุนเขาตะวันตก
ซานจวินทั้งสองท่านนับว่ายังเกรงใจกันอยู่ เปิดประตูต้อนรับแขก ถึงขั้นยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเฉินผิงอัน
แต่พอได้ยินจุดประสงค์การมาเยือนของเฉินผิงอัน ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือคำกล่าวสองแบบที่มีความหมายเดียวกัน
คนหนึ่งพูดจาค่อนข้างละมุมละม่อม ซานจวินขุนเขาตะวันออกผู้นั้นยิ้มเอ่ยว่าเรื่องนี้ผิดต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง คงต้องให้อิ่นกวานมาเสียเที่ยวแล้ว
ส่วนซานจวินขุนเขาตะวันตกบอกว่า ใบถงทวีปที่ใจคนเละเทะแห่งนั้นก็เหมือนดินโคลนเละๆ กองหนึ่งที่จับปั้นไม่ได้ เจ้าขุนเขาเฉินท่านเคยเห็นใครเอาธูปไปปักในโคลนเละๆ บ้างเล่า?
ชิงถงพึมพำ “ซานจวินของแจกันสมบัติทวีปยังเป็นเช่นนี้ อย่างมากก็แค่ไม่ให้เจ้าต้องกินน้ำแกงประตูปิด จะดีจะชั่วก็ยังเข้าไปในภูเขาได้ ยังเลี้ยงน้ำชาเจ้าถ้วยหนึ่ง ทว่าห้ามหาบรรพตของขุนเขากลางต่อจากนี้ ซานจวินทั้งห้าท่านมีแต่จะวางมาดใหญ่ยิ่งกว่า ทีนี้จะทำอย่างไร?”
เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่ชิงถงโดนจูงจมูกเดินไปตลอดทางแล้ว การท่องความฝันออกเดินทางไปเยือนกลุ่มเทือกเขาในครั้งนี้ ต้องไปพบเจอใครที่ไหนบ้าง เฉินผิงอันล้วนบอกกล่าวให้ชิงถงรู้ชัดเจน
คนชุดเขียวเหยียบย่างอยู่บนความว่างเปล่า รอบด้านคือแสงแก้วใสประหนึ่งฝันประหนึ่งภาพมายา คือทัศนียภาพมหัศจรรย์แปลกตาที่มีเพียงการเดินลุยน้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่ถึงจะพบเจอได้
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เรือมาถึงสะพานย่อมต้องหาที่จอด เดินไปก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่ง ยังจะทำอย่างไรได้อีก”
ชิงถงถาม “เจ้าไม่รู้สึกอัดอั้นสักนิดเลยหรือ?”
คำถามนี้ทำให้เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาใช้สองมือขยี้ข้างแก้ม “ชิงถง เจ้าอยู่บนยอดเขามานานเกินไปแล้ว นอกจากคิดถึงผู้ฝึกกระบี่ถึงจะทำให้เจ้าคับอกคับใจแล้ว หากเจ้ายินดี ข้าก็สามารถช่วยบอกกล่าวกับทางศาลบุ๋นให้เจ้าได้ ข้าไม่มีความสามารถพอที่จะขออนุญาตให้เจ้าเดินทางไปเที่ยวเยือนทวีปใดก็ได้ แต่หากจะให้เจ้าออกจากหอสยบปีศาจไปเที่ยวเยือนที่ใดก็ได้ในหนึ่งทวีป ข้ากลับพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
“หากว่ามีความคิดเช่นนี้ ข้าจะบอกศาลบุ๋นด้วยตัวเองไม่ได้หรือไร?”
“ข้ามีสหายคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า คนเราอย่าได้ถูกหน้าตาศักดิ์ศรีจูงให้เดิน”
“อีกอย่าง อย่าได้รู้สึกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยมาเป็นแขกที่หอสยบปีศาจครั้งหนึ่งแล้วเจ้าจะทำอะไรได้จริงๆ”
“วงการขุนนางภูเขาสายน้ำก็คือการฝึกตนในที่ว่าการ กฎระเบียบช่องทางมีมากมาย ขุนนางในอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่ หลักการเหตุผลข้อนี้ล้วนเหมาะจะนำมาใช้เหมือนกัน เจ้าจะเอาแต่ถ่ายทอดโองการปลอม พูดจาเหลวไหลกับฝั่งศาลบุ๋น บอกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ตอบตกลงเรื่องนี้อยู่เรื่อยก็คงไม่ได้กระมัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองว่ามาสิ หากไม่พูดถึงเจ้าลัทธิหลักและรองสามท่านของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการของสถานศึกษาที่เจ้าไม่สนิทด้วยสักคน แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ถ้าอย่างนั้นพูดถึงแค่สถานศึกษาในพื้นที่สามแห่งของใบถงทวีปอย่างต้าฝู เทียนมู่ อู่ซี บวกกับอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้า เจ้ารู้จักใครบ้าง? ดังนั้นอย่าว่าแต่ยอมแหกกฎช่วยพูดจาดีๆ ขอร้องแทนเจ้าเลย คาดว่าเรื่องบางอย่างที่เดิมทีจะทำหรือไม่ทำก็ได้ก็มีแต่จะกลายเป็นว่าทำไม่ได้แล้ว”
“เมื่อครู่ข้าเป็นคนเปิดปากพูดก่อน ก็แค่เป็นเรื่องเล็กที่เจ้าต้องพยักหน้าตอบตกลงเหมือนผลักเรือตามกระแสน้ำ แต่หากอ้อมผ่านข้าไป จากนั้นไปโดนศาลบุ๋นปฏิเสธซ้ำอีกที หน้าตาศักดิ์ศรีที่เจ้าต้องเสียไปจะไม่ยิ่งมากกว่านี้หรอกหรือ”
“มนุษย์เรานี่นะ ฝึกตนบนภูเขาก็ดี ใช้ชีวิตอยู่ล่างภูเขาก็ช่าง ก็แค่ว่าอยากมีหน้ามีตาในทุกหนทุกแห่งยามอยู่นอกบ้านเท่านั้น แต่จะเอาแต่มีชีวิตเพียงเพื่อหน้าตาศักดิ์ศรีไม่ได้ ไม่จัดการเรื่องหยุมหยิมจิปาถะข้างมือให้ดี แสวงหาสิ่งที่จับต้องได้จริงท่ามกลางภาพมายายากดั่งเดินขึ้นสวรรค์ แต่แสวงหามายาหลังจากรูปธรรมแล้วกลับง่ายเหมือนเดินลงจากภูเขา ใช่หลักการเหตุผลข้อนี้หรือไม่?”
ชิงถงไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้บรรยากาศออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เจ้าสามารถพูดตอบด้วยประโยคว่า ‘พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง’ ได้”
ชิงถงกล่าว “ชอบใช้เหตุผลขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยเจอกับสหายคนหนึ่งของข้า ใช่แล้ว เขาจะเข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่างด้วย ตอนนี้ก็น่าจะไปถึงภูเขาเซียนตูแล้ว วันหน้าข้าจะให้เขามาเป็นแขกที่จวนของเจ้า เจ้าก็ถือเสียว่าไว้หน้าข้าหน่อยได้ไหม?”
ชิงถงถาม “ใคร?”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าจะให้ใครมาเป็นแขก
เฉินผิงอันกล่าว “คือหลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย เป็นคนที่เชี่ยวชาญการใช้เหตุผลทั้งยังชอบดื่มเหล้าอย่างมาก บอกไว้ก่อนว่าสหายของข้าคนนี้คอแข็งไร้ศัตรูเทียมทาน เหล้าเซียนที่เก็บไว้ในหอสยบปีศาจมีอยู่เยอะหรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้านี้มีน้อยคนนักที่จะไม่ชอบดื่มสุรา ชิงถงเอ่ย “เคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้มาก่อน ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ขอบเขตจะไม่สูง ยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งกระมัง?”
เฉินผิงอันจุ๊ปาก “ขอบเขตไม่สูง?”
หากหลิวจิ่งหลงเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็น่าจะถ่ายทอดเวทกระบี่ให้เขาด้วยตัวเองแล้ว
พูดถึงแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของหลิวจิ่งหลงก็ต้องถูกคฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่ในขั้น ‘หนึ่งบน’ แน่นอน นี่ยังเป็นเพราะว่าระดับขั้นที่สูงที่สุดมีแค่หนึ่งบนเท่านั้นด้วย
จำต้องยอมรับว่าเมื่ออยู่กับผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาอย่างชิงถงผู้นี้ อยู่ด้วยกันนานเข้าจริงๆ กลับผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างมาก
ลองย้อนไปมองพวกคนอื่นๆ อย่างเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู…
หากจะบอกว่าพวกเขามีสถานะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ ถ้าอย่างนั้นต่อให้เป็นเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่มีขอบเขตบินทะยาน การถามกระบี่ท่ามกลางสายฝนที่มาเยือนอย่างกะทันหันครั้งนั้น แรงกดดันที่เผยหมิ่นมอบให้เฉินผิงอัน ชิงถงก็ยังมิอาจเทียบเคียงได้
เกี่ยวกับเรื่องที่หลิวจิ่งหลงจะมาเป็นแขก ชิงถงทั้งไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ตอบตกลง เพียงแต่พอคิดถึงคนเฝ้าประตูที่ปักปิ่นเต๋าอยู่ตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วคนนั้น ชิงถงก็ยังอดไม่ไหว ถามคำถามประหลาดด้วยเสียงสั่นเครือซึ่งไม่อาจควบคุมได้ “เขาคือเขาจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าลองเดาดูสิ”
ชิงถงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แค่นเสียงเย็นหนึ่งที แล้วก็ไม่กล้าซักไซ้ต่ออีก
ผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ พูดจาหรือลงมือทำ แต่ละคนต่ำช้าไม่แพ้กันเลยจริงๆ
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ทำไมยังด่าคนอีกเล่า”
ชิงถงสีหน้ามืดทะมึน “เจ้าได้ยินเสียงในใจของข้าด้วยหรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลองเดาอีกที”
โทสะของชิงถงพวยพุ่ง “แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ!”
เฉินผิงอันยิ้มรับ เงียบไปพักหนึ่งก็ถามอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุว่า “เจ้าว่าคำพูดที่พูดออกจากปากของพวกเรา ล้วนไปหล่นอยู่ที่ใด?”
คงเพราะไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไรมาจากชิงถง เฉินผิงอันจึงถามเองตอบเองว่า “จะเหมือนกระจกสองบานที่ส่องเข้าหากันหรือไม่?”
ขุนเขาใต้
กำลังอยู่ในช่วงที่ฝนเม็ดเล็กพร่างพรมบรรยากาศขมุกขมัวพอดี เม็ดฝนเย็นเยียบตกยาวลงมาเป็นสาย เส้นทางภูเขาเป็นดินโคลนเฉอะแฉะ คนที่อยู่นอกภูเขามองไกลๆ มาด้วยความกลัดกลุ้ม
ฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินหญิงกวาดตามองไปรอบด้าน คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะอยู่ในศาลาที่ใช้รับรองแขกคราวก่อน “ต่างก็พูดกันว่าตอนกลางวันคิดถึงตอนกลางคืนจึงจะฝันถึง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ฟ่านจวิ้นเม่าเอาสองมือไพล่หลัง เดินวนไปรอบร่างของคนชุดเขียว จุ๊ปากพูดกลั้วหัวเราะ “มีแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำเท่านั้นที่จะเข้าฝันคนอื่นได้ เจ้ากลับดีนัก ว่ามาเถอะ มาพบข้ามีเรื่องอะไร ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ จะให้ข้าก่อเมฆร่ายฝนกับเจ้าหรือ?” (สามารถเปรียบเปรยได้ถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง)
ฟ่านจวิ้นเม่าเหล่ตามองชิงถง “คนผู้นี้? นางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่จะเป็นส่วนเกินหรือไม่?”
ฟ่านจวิ้นเม่าแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้วๆ ใต้เท้าอิ่นกวานชอบรสชาติจัดจ้านไปสักหน่อยนะ”
ในฐานะซานจวินของมหาบรรพตแห่งหนึ่ง ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของเถ้าแก่รองแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่มาไม่น้อย
เฉินผิงอันกล่าว “มีอะไรจริงไม่จริงกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้าเฉินผิงอันอยากดื่มเหล้าก็ได้ดื่มเหล้า อยากกลับจวนหนิงเมื่อไหร่ก็กลับได้เมื่อนั้น
หนิงเหยาเคยขัดขวางสักครั้งไหม? เคยพูดอะไรสักครึ่งคำไหม? ไม่เคยเลย
พวกเจ้าที่เป็นคนนอกจะรู้กะผายลมอะไร
อันที่จริงเกี่ยวกับสุราที่ผิดนัดกันมาหลายปีมื้อนี้ ตอนที่เฉินผิงอันอยู่เมืองหลวงต้าหลี เคยได้…รายงานให้หนิงเหยารู้อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว
บอกว่าครั้งแรกที่ตนเดินทางผ่านนครมังกรเฒ่า ได้เจอกับฟ่านเอ้อก็ถูกชะตากันทันที บวกกับที่ตอนนั้นตนอายุยังน้อยไม่รู้ความ ไม่อาจทัดทานเจ้าทึ่มฟ่านเอ้อได้ เลยรับปากกับเขาว่าจะดื่มเหล้าเคล้านารีกับเขาสักครั้ง
แน่นอนว่าคำว่าดื่มเหล้าเคล้านารี อย่างมากก็แค่มีสตรีมานั่งดีดพิณบรรเลงเพิ่มความบันเทิงให้อยู่ข้างๆ เท่านั้น
ฟ่านจวิ้นเม่าถามชวนคุย “ไปเยือนภูเขาตะวันออกกับตะวันตกมาแล้วหรือ?”
เว่ยป้อที่อยู่ขุนเขาเหนือนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาก็คือคนครอบครัวเดียวกันกับเฉินผิงอัน นอกจากนี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีเรือข้ามฟากเฟิงยวนที่ได้มาจากราชวงศ์เสวียนมี่แผ่นดินกลางอยู่ลำหนึ่งที่จะไปจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของขุนเขากลาง นี่ก็หมายความว่าเฉินผิงอันมีการคบค้าอยู่กับจิ้นชิงแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้า “ล้วนไม่สำเร็จ”
ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง “ก็ยังโชคดีที่เจ้าขุนเขาเฉินมีตำแหน่งอิ่นกวานที่สถานะชวนให้คนหวาดเกรง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของซานจวินบางคนแล้วคงต้องไล่แขกทันทีแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “สถานะอิ่นกวานนี้ของข้า เจ้าเป็นคนมอบให้หรือไร?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะดังลั่น ยกมือขึ้น ในมือก็มีกาเหล้าใบหนึ่งโผล่มา นางแกว่งกาเหล้าเบาๆ
ตอนนั้นที่ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกันคือตอนอยู่บนเส้นทางการเดินเรือของเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน เรือสองลำแล่นสวนผ่านกันไป เคยถูกฟ่านจวิ้นเม่าเอามาหยอกล้ออยู่ครั้งหนึ่ง
พูดให้ถูกต้องก็คือ ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือคนโง่
เฉินผิงอันกล่าว “เหล้าคงไม่ดื่มแล้ว เพราะต้องออกเดินทางต่อ”
ฟ่านจวิ้นเม่าไม่มีท่าทีว่าจะรั้งแขกเอาไว้ เพียงเอ่ยว่า “ตัดใจทิ้งบุญกุศลมากมายขนาดนั้นได้ลง การกระทำนี้แทบไม่ต่างจากการสลายมรรคาเล็กๆ ครั้งหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ได้มาจากฟ้าดินก็คืนให้กับฟ้าดิน เจ้าคิดว่าเป็นการสลายมรรคา แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นการ…”
ผสานมรรคา
เพียงแต่ว่าคำศัพท์คำนี้พุ่งมาที่ปากของเฉินผิงอันแล้ว กลับถูกเขากลืนลงท้องไป ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไร เพราะพูดไปก็คล้ายจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
เหอะ หากว่ามีพวกพ่อครัวเฒ่า ชุยตงซาน เผยเฉียน หรือเจี่ยเฉิงอยู่ข้างกาย ป่านนี้ก็คงพากันพูดประจบเอาใจแล้วกระมัง
รอกระทั่งเฉินผิงอันจากไป ฟ่านจวิ้นเม่าก็ยังนั่งอยู่ในศาลา นางเผยสีหน้าหม่นหมองออกมาเสี้ยวหนึ่ง แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึก แล้วจึงหันไปมองนอกภูเขา
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!