เฉินผิงอันอธิบายเสียงเบา “ท่ามกลางสายฝนตกกระหน่ำที่ประทานพรให้แก่พื้นดินบนโลกมนุษย์ครั้งนี้ ตัวข้าก็อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนพวกนี้ด้วย มิอาจเป็นข้อยกเว้น แน่นอนว่าข้าสามารถเอาอย่างชิงถงนั่งรอเสวยสุขอย่างเดียว แต่ในนี้ก็มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ข้าคือผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ การฝ่าทะลุขอบเขตที่แลกมาด้วยบุญกุศล ต่อให้จะเป็นการฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกัน ยกตัวอย่างเช่นเลื่อนจากก่อกำเนิดเป็นหยกดิบแล้วจึงเป็นเซียนเหริน แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่งแล้ว หากดูในระยะยาวก็ยังได้ไม่คุ้มเสีย บัญชีเล่มนี้ บางทีอาจต้องคิดกันเช่นนี้”
ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ เฉินผิงอันใช้มันชี้ไปที่กึ่งกลางภูเขา จากนั้นยกขึ้นสูงอีกเล็กน้อย ชี้ไปที่ยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน เอ่ยเนิบช้าว่า “เดินได้เร็ว จากนั้นอาจทำได้เพียงเดินวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น แต่หากเดินช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย กลับสามารถเดินไปตลอดจนถึงยอดเขาแล้วค่อยหยุดเดิน”
โจวโหยวยิ้มเอ่ย “ในสายตาของอิ่นกวานเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งไม่มีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแบบนี้ได้ ไม่อาจพูดได้ว่าผิดทั้งหมด ถือเป็นการสละใกล้แสวงหาสิ่งที่ไกลกว่าอย่างหนึ่ง
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง ต่อให้เป็นที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังล้ำค่าอย่างมาก แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันให้คำตอบสุดท้ายว่า “ข้าต้องการกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่อย่างบริสุทธิ์เต็มตัวคนหนึ่ง”
โจวโหยวได้ยินประโยคนี้ก็ต้องหันมามองอีกฝ่ายเสียใหม่ จากนั้นก็เงียบงันไปนาน
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ถือว่าหายากเหมือนขนหงส์เขากิเลนแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ยิ่งมีพลังพิฆาตน่าตะลึง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ที่ได้ครอบครองคำว่าบริสุทธิ์เล่า?
เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาลก็ไม่ใช่ว่าถูกคำคำนี้ขัดขวางให้ต้องรออยู่นอกประตูมานานหลายพันปีหรอกหรือ?
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “หากการมอบบุญกุศลก้อนนั้น ตัวข้าเองสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเอาไปใช้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นสามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้า หรือไม่ก็ช่วงชิงเอาสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินบางอย่างที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองให้กับภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเซียนตู เพื่อตัวข้าเองก็ดี หรือวางแผนระยะยาวเพื่อสำนักทั้งสองแห่งก็ช่าง ข้าก็จะต้องเก็บบุญกุศลเล็กๆ ก้อนหนึ่งไว้บนมือแน่นอน บางทีการใช้จิตท่องฝันครั้งนี้ ข้าก็อาจจะ ‘แค่เที่ยวเยือนจวนวารีพบเจอเทพวารี ไม่มาเยือนภูเขาพบเจอซานจวิน’ แล้ว”
โจวโหยวกล่าว “ก็พอจะถือว่าเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนต้องการทรัพย์สินเงินทองก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้องได้ เฉินผิงอัน การประชุมที่ศาลบุ๋นคราวก่อน ทำไมเจ้าถึงไม่คว้าตำแหน่งนักปราชญ์มาสักตำแหน่งล่ะ?”
ในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง หลี่เป่าผิงมีสถานะเป็นวิญญูชนแล้ว คืออาจารย์หญิงอย่างสมชื่อคนหนึ่ง นอกจากนี้หลี่ไหวและรองเจ้ากรมต้าหลีอย่างจ้าวเหยาก็มียศนักปราชญ์กันแล้ว
และในบรรดาลูกศิษย์ของเฉินผิงอันก็มีเฉาฉิงหล่างที่เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต โชคดีที่ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นบัณฑิตที่ไม่ค่อยเหมือนกับอาจารย์ปู่และอาจารย์ของเขาสักเท่าไร
เฉินผิงอันกล่าว “หากผู้อาวุโสยินดีช่วยพูดแนะนำสักสองสามประโยค พูดประโยคที่เป็นธรรมให้ทางศาลบุ๋นฟังสักหน่อย ผู้เยาว์ก็ต้องขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้เลย”
โจวโหยวยิ้มเอ่ย “แม้จะบอกว่าแนะนำคนมีความสามารถอย่าได้หลีกเลี่ยงคนสนิทของตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังมาไม่ถึงคราวคนนอกสายบุ๋นอย่างข้าหรอก”
ในกลุ่มลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของสายเหวินเซิ่ง จะต้องมีแค่เจ้าคนที่อายุน้อยที่สุดผู้นี้เท่านั้นที่พูดจาแบบนี้ได้
ก็ไม่แปลกที่ซิ่วไฉเฒ่ารักและลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สุด ก็เหมือนเขาที่สุดนี่นะ ชอบดื่มเหล้าที่สุด หน้าหนา แล้วยังมีวาสนาดีกับพวกผู้ใหญ่ ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังหาภรรยาได้แล้วด้วย เป็นครามที่เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม ถือว่า ‘เป็นประวัติการณ์’ ให้กับสายเหวินเซิ่งหรือไม่?
พูดถึงแค่เรื่องวาสนากับพวกผู้ใหญ่ ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตมีความสามารถสูงเกินไป จึงเป็นเหตุให้ทั้งๆ ที่ซิ่วหู่สุภาพอ่อนโยน มีสีหน้าเป็นมิตร ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างมีมารยาท แต่กลับยังให้ความรู้สึกลวงตาแก่ผู้คนว่ามีพลังอำนาจเฉียบคม ส่วนลูกศิษย์อย่างฉีจิ้งชุนก็เก็บตัวเงียบไม่ค่อยออกมาข้างนอก น้อยครั้งนักที่จะได้ออกไปท่องเที่ยว หลิวสือลิ่วก็เนื่องจากชาติกำเนิด มีสักกี่คนที่อายุขัยการฝึกตนเทียบเคียงกับเขาได้ เป็นเหตุให้ในใต้หล้าไพศาลมี ‘ผู้อาวุโส’ สักกี่คนที่สามารถเรียกตัวเองเป็นผู้อาวุโสของเขาได้อย่างภาคภูมิใจ? ส่วนจั่วโย่วที่ได้รับการยอมรับว่าคือ ‘ตัวก่อเรื่องของสายเหวินเซิ่ง’ นิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ที่สุด ก่อนจะฝึกกระบี่ วันๆ ก็เอาแต่ทำหน้าตายเย็นชา พอฝึกกระบี่แล้วก็ยิ่งเดือดร้อนให้ซิ่วไฉเฒ่าต้องคอยยิ้มประจบไปขออภัยคนอื่นถึงบ้านอยู่เป็นเนืองนิตย์
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ผู้อาวุโสช่วยยกเว้นให้สหายชิงถงได้เข้ามาในอาณาเขต มาเป็นแขกที่ขุนเขากลางได้หรือไม่ เจ้าหมอนี่เลื่อมใสในชื่อเสียงอยากลิ้มลองอาหารเจของสุ้ยซานพวกเรามานานแล้ว”
โจวโหยวไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทำไมถึงกลายเป็น ‘สุ้ยซานพวกเรา’ ไปเสียแล้วล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อผู้อาวุโสสนิทกับอาจารย์ เป็นสหายที่สนิทสนมกันมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าผู้เยาว์ ‘กึ่งสนิท’ กับสุ้ยซานได้”
โจวโหยวเอ่ยเตือน “ในเมื่อเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สนิทสนมแม้แต่น้อย ก็อย่ามีความคิดกับตัวอักษรที่แกะสลักบนป้ายศิลาเลย”
เฉินผิงอันถาม “ธูปภูเขาก้านนั้น?”
โจวโหยวพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
ซิ่วไฉเฒ่ามีลูกศิษย์ที่ดีที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้อาจารย์จริงๆ
รอกระทั่งในอนาคตความจริงเรื่องของการซ่อมแซมแผ่นดินที่เป็นรูโหว่นี้ถูกเปิดเผยแก่ใต้หล้า หึหึ ด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่า อย่าว่าแต่พวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปของศาลบุ๋นที่ถูกกวนใจเลย เกรงว่าต่อให้เป็นหลี่เซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังต้องแล่นไปพูดอะไรบ้างสองสามประโยค ทว่าก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ซิ่วไฉเฒ่าจะเงียบงันอย่างที่หาได้ยาก
เหมือนได้อ่านตำราดีๆ เล่มหนึ่งที่ตัดใจจะแบ่งปันกับคนอื่นไม่ลง
ชิงถงที่ยืนรออยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ในทะเลสาบหัวใจพลันมีคำสั่งจากภูเขาสุ้ยซานดังขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะอนุญาตให้นางเดินขึ้นเขามาเที่ยวชมทิวทัศน์ กินบะหมี่เจได้หนึ่งชาม
เทพองค์นั้นร่างทองไร้ตำหนิข้อบกพร่อง ชิงถงใช้ศาสตร์การมองลมปราณของตัวเองก็เห็นเป็นภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่โอฬารที่ ‘ภูเขาสูงแทบจะทัดเทียมกับฟ้า’
เป็นเหตุให้ชิงถงมีความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือเขตชายแดนของขุนเขากลางแห่งนี้ หากโจวโหยวปล่อยกระบี่มาจากสุ้ยซาน ชิงถงลองประเมินดู บางทีตนอาจจะไม่ได้กลับไปยังใบถงทวีปแล้ว
ดังนั้นโชคดีที่ได้ไปกินบะหมี่เจที่ภูเขาสุ้ยซานแล้วค่อยกลับ ช่างเป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันจริงๆ ชิงถงคารวะอยู่ไกลๆ อย่างนอบน้อม หลังจากเอ่ยขอบคุณโจวโหยวแล้วถึงได้เอาอย่างเฉินผิงอัน ไปถึงที่ตีนเขา อีกทั้งยังเดินไปในภาพมายาของห้วงฝัน ต่อให้วันนี้จะเป็นวันที่สามสิบของสิ้นปี ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่เดินขึ้นสู่เส้นทางเทพไปจุดธูปบนยอดเขาก็ยังมีมากมายไม่ขาดสาย เสียงผู้คนดังจอแจ ควันธูปของสุ้ยซานโชติช่วงถึงเพียงนี้ ก็มิแปลกที่โจวโหยวสามารถหล่อหลอมร่างทองที่เป็นเช่นนั้นออกมาได้
ชิงถงกลับมาสวมหมวกคลุมหน้าดังเดิม แฝงกายอยู่ในกลุ่มของมนุษย์ธรรมดา เดินอยู่บนเส้นทางภูเขาที่ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ชิงถงแอบดีใจอยู่กับตัวเอง สีหน้าจึงมีความลำพองใจอยู่มาก
อยู่กับอาจารย์เจิ้งก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่มจริงๆ ด้วย
ดูสิ ขนาดเทพใหญ่สุ้ยซานยังต้องไว้หน้า
โจวโหยวพาเฉินผิงอันมาถึงยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน ขึ้นสู่ที่สูงมองไปยังทิศไกล ทำให้คนรู้สึกเพียงว่านอกจากภูเขาลูกนี้แล้วกลุ่มภูเขาที่เหลือล้วนเล็กจ้อย
มีคนเคยบอกว่า วิถีเทพขุ่นมัวเป็นหนึ่ง
มีคนกลับบอกว่า วิถีแห่งข้าเพียงหนึ่งก็เข้าใจทุกอย่างถ่องแท้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!