บทที่ 936.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (ห้า) – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 936.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (ห้า) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เฉินผิงอันยิ้มตอบตกลง นับแต่โบราณมาใต้หล้าไพศาลก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘ดอกเหมยสองดอกครึ่งในใต้หล้า หนึ่งดอกอยู่บนภูเขาจิ่วอี๋’ อยู่แล้ว
ซานจวินของภูเขากุ้ยซานที่มีฉายาว่า ‘เทียนจวิน’ เลือกที่จะไม่พบเฉินผิงอัน ให้คนเฝ้าศาลผู้หนึ่งมาที่ตีนเขาพร้อมนำความมาบอกว่า ‘ขออภัยที่ไม่ต้อนรับแขก อิ่นกวานสามารถกลับไปได้แล้ว’
เฉินผิงอันที่ได้กินน้ำแกงประตูปิดเต็มๆ ชามยืนอยู่นอกประตูภูเขา ไม่ได้จากไปทันที สองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองกรอบป้ายหน้าประตูภูเขา
แน่นอนว่าคนเฝ้าศาลอายุมากที่เส้นผมขาวโพลนไม่กล้าไล่คนต่อ การตีกันของเทพเซียนที่สูงส่งเหนือหัวประเภทนี้ คนเฝ้าศาลตัวเล็กๆ มิอาจแบกรับได้ไหวจริงๆ
หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าเวลานี้ซานจวินจะต้องจับตามองความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูภูเขาอยู่แน่นอน คนเฝ้าศาลเฒ่าก็อยากจะโอภาปราศรัยกับอิ่นกวานหนุ่มที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายใต้หล้าผู้นี้สักสองสามประโยคเหมือนกัน
เทพภูเขาจวีซวีมาปรากฏตัวที่หน้าภูเขาด้วยตัวเองก็จริง แต่กลับทำสีหน้าเย็นชาให้เฉินผิงอันได้เห็น ทั้งยังทิ้งประโยค ‘คำพูดรุนแรง’ ไว้ด้วยว่า ‘นี่ยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเลย รอให้วันหน้าใช่แล้ว ไม่ว่าภูเขาลูกใดในใต้หล้าไพศาลก็จะไม่กลายเป็นบ้านของตัวเอง นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปหรอกหรือ?’
ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันมีริ้วคลื่นกระเพื่อมตามมาด้วยเสียงของชิงถง “ในเมื่อรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ ไยต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวด้วยเล่า”
อันที่จริงชิงถงไม่ได้จะสาดเกลือลงบนบาดแผลของเฉินผิงอัน เพราะการบุ่มบ่ามมาเยือนเช่นนี้จะต้องทำให้คนรังเกียจแน่นอน ไม่เหมือนกับหมู่ชาวบ้านล่างภูเขาที่หากไม่พอใจกันขึ้นมา อย่างมากก็แค่ไม่ไปมาหาสู่กันอีกชั่วชีวิต เรื่องแบบนี้เมื่ออยู่บนยอดเขากลับเป็นเรื่องต้องห้าม ยกตัวอย่างที่เรียบง่ายที่สุด วันหน้าหากเฉินผิงอันมาเยือนอาณาเขตของภูเขากุ้ยซาน ภูเขาจวีซานอีก ต่อให้ซานจวินของห้าขุนเขาทั้งสองท่านจะไม่รู้ร่องรอยของเฉินผิงอัน แต่กระนั้นก็จะยังมีการสยบกำราบบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นอยู่ดี
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ลองขอร้องอย่างจริงจังดูสักครั้ง จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีหนึ่งในหมื่น”
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาห้ามหาบรรพตของแผ่นดินกลางลูกใดก็ตาม นอกจากโจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซานแล้ว ขอแค่ยังมีซานจวินสักคนยอมตอบตกลงในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่นไหวเหลียนแห่งภูเขาจวีซวีแห่งนี้ที่ยอมพยักหน้าตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็จะไปเยือนภูเขากุ้ยซาน ภูเขาแยนจือและภูเขาจิ่วอี๋อีกสักรอบ หากว่าจูอวี้เซียนที่เขาแวะไปหาเป็นคนที่สองพยักหน้าตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นซานจวินอีกสามท่านซึ่งมีไหวเหลียนเป็นหนึ่งในนั้น บางทีก็อาจจะไม่สามารถ ‘ไล่’ เฉินผิงอันกลับไปได้ง่ายๆ เช่นนี้อีก ลำพังแค่บุญกุศลก้อนเดียวยังไม่พอ ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงและผลประโยชน์ล่ะ? ต้องรู้ว่าในอาณาเขตของห้ามหาบรรพต เส้นสายควันธูปที่ขยายไปตั้งแต่จวนเทพไปจนถึงศาลวัดวาอารามมากมายที่อยู่ในภูเขา เฉินผิงอันได้สืบมาจนเข้าใจกระจ่างชัดหมดแล้ว พูดถึงแค่จูอวี้เซียนกับผู้ฝึกกระบี่หญิงจูเหมยที่ผูกบุญสัมพันธ์ต่อกัน ตอนที่ฝ่ายหลังยังเป็นเด็กสาว จูเหมยก็เคยติดตามหลินจวินปี้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน โชคชะตาบู๊ของภูเขาจวีซวีมีมากมาย แต่ซานจวินไหวเหลียนจะยังรังเกียจว่ามีมากเกินไปหรือ? หรือยกตัวอย่างเช่นวันหน้าเมื่อตัวเฉินผิงอันเองฝ่าทะลุขอบเขตผู้ฝึกยุทธ หรือใครคนใดของภูเขาลั่วพั่วฝ่าทะลุขอบเขตด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วยินดีเลือกภูเขาจวีซวีเล่า? ส่วนในอาณาเขตของภูเขากุ้ยซานก็มีผู้ฝึกกระบี่มากมาย ซานจวินไม่ถูกกับสายเหวินเซิ่งของตน? วันหน้าพวกตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ด้านหลังมีโคมซึ่งทำจากวิชาลับของจวนซานจวินดวงหนึ่งลอยห้อยตามอยู่ ตอนออกไปฝึกประสบการณ์นอกบ้านก็ต้องระวังไว้หน่อยแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือควรทำตัวเป็นคนที่เที่ยงธรรมสักหน่อย อย่าวางอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป มิเช่นนั้นการถามกระบี่และรับกระบี่ ส่วนใหญ่กระบี่บินก็มักจะไม่มีตาหรอกนะ หรือยกตัวอย่างเช่นภูเขาเหนี่ยวจวี่ลานประกอบพิธีกรรมของเฟิงจวินผู้นั้น ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสองภูเขาทายาทของภูเขาจวีซวีด้วย
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “สี่ไม่เหมือน”
ชุยฉาน เจิ้งจวีจง อู๋ซวงเจี้ยง…ยากที่จะเรียนรู้เอาอย่างได้จริงๆ
หากเปลี่ยนให้ศิษย์พี่ชุยฉานเป็นคนมาเยือนห้ามหาบรรพต ใช้สถานะและขอบเขตเท่ากัน คาดว่าซานจวินทั้งห้าท่านที่ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วก็คงยังพยักหน้าตอบตกลงอยู่ดี
ภูเขากุ้ยซานที่ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่พระจันทร์ตก ตอนนี้กลับมี ‘แขกผู้สูงศักดิ์’ คนหนึ่งที่ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมกลับไป ก็คือกู้ชิงซงที่มีฉายาว่า ‘เซียนฉา’ ลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิสามลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิงนั่นเอง
กู้ชิงซงกำลังบ่นซานจวิน “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ทำไมไม่ยอมฟังคำโน้มน้าวบ้างเลย เป็นเทพภูเขาก็เลยฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้วใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อลักษณะสุภาพสง่างามชินชากับเหตุการณ์นี้แล้ว กับคำพูดของคนบางคนแค่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาก็พอ
กู้ชิงซงเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “นิสัยเสียๆ ที่จำแต่เรื่องดีไม่จำตอนโดนตี เลิกได้ก็เลิกเสียเถอะ ตอนนั้นในถิ่นของเจ้า ภูเขาที่เป็นหนึ่งในภูเขาสำรองก็ไม่ใช่เพราะไม่ให้หลิวสือลิ่วขึ้นเขาไปเดินเที่ยวเลยต้องเจอกับเรื่องลำบากใหญ่หลวงหรอกหรือ แล้วยังด่าหลิวสือลิ่วว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวมีแต่ขนอีก ผลเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้ถูกซิ่วไฉเฒ่ากระทืบไม่กี่ทีก็จมลึกลงไปใต้ดินร้อยกว่าจั้งหรือ เจ้าที่เป็นหัวหน้า อะไรดีๆ ไม่เรียนรู้ ดันเรียนรู้เรื่องแย่ๆ มา จะปกป้องคนของตัวเองเอาอย่างซิ่วไฉเฒ่า ช่วยทะเลาะจนทะเลาะกันไปถึงศาลบุ๋น แล้วจุดจบล่ะเป็นอย่างไร? ได้ยินว่าซิ่วหู่ผู้นั้นที่เป็นศิษย์พี่ของหลิวสือลิ่วร่ายความผิดเกือบร้อยกระทงของซานจวินภูเขาลูกนั้นออกมารวดเดียว อีกทั้งทุกเรื่องยังมีหลักฐาน ไม่เพียงแต่ภูเขาไม่ได้ความสูงกลับคืนมา ยังต้องไปกินข้าวแดงในสวนกงเต๋ออีก อร่อยหรือไม่เล่า? ตอนนั้นเจ้าอายไหม? จะดีจะชั่วก็เป็นซานจวินขุนเขาใหญ่แล้ว ทำไมตอนนั้นเจ้าไม่ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตช่วยศาลบุ๋นขุดหลุมลงไปอยู่เสียเลย? ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่ารักเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สุด อย่างเจ้านี่ไม่เรียกว่าพาตัวไปหาเรื่องซวยแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
ซานจวินผู้เฒ่าขมวดคิ้วกล่าว “ไม่จบไม่สิ้นเสียทีรึ”
กู้ชิงซงร้องเพ้ย “หากไม่เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสมีเรื่องจะขอร้อง มีหรือจะมาเปลืองน้ำลายพูดเหตุผลพวกนี้กับเจ้า”
ซานจวินผู้เฒ่ากล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับคำสั่งข้อหนึ่งจากทางศาลบุ๋น ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
กู้ชิงซงถามอย่างสงสัย “เป็นหย่าเซิ่งเปิดปากให้เจ้าขัดขวางเฉินผิงอันรึ?”
ซานจวินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างมีโทสะ “พูดจาระวังปาก!”
กู้ชิงซงพึมพำกับตัวเอง “ต้องไม่ใช่แน่ ต่อให้หย่าเซิ่งจะไม่ถูกกับเหวินเซิ่งแค่ไหน นั่นก็เป็นแค่การช่วงชิงกันเรื่องทฤษฎีความรู้ อาเหลียงยังเป็นกุนซือหัวสุนัขของสายเหวินเซิ่ง อันที่จริงความสัมพันธ์ของสองบ้านไม่ได้แย่อย่างที่คนนอกคิดกัน หรือจะเป็นเจ้าลัทธิคนใดของศาลบุ๋น? ก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้สิ ทุกวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจะได้รับตำแหน่งเทพกลับคืนมา เอวแข็งเสียงดังมากนัก อีกทั้งจิงเซิงซีผิงยังเป็นเทพรายงานข่าวที่ควบคุมปากตัวเองไม่ได้ยามอยู่กับซิ่วไฉเฒ่า สนิทกับซิ่วไฉเฒ่าที่สุด ในศาลบุ๋นจะมีใครกล้ามาชนตอแข็งเช่นนี้?”
ซานจวินผู้เฒ่ากล่าว “คำสั่งนั้นไม่ได้ลงชื่อ”
กู้ชิงซงลูบคลำปลายคาง “ถ้าอย่างนั้นก็แปลกมากแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาจอมปราชญ์น้อยก็ทำแต่เรื่องโจ่งแจ้งไม่ทำเรื่องในที่ลับ แต่ก็ไม่ใช่คำสั่งของหย่าเซิ่ง หรือจะเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เป็นเหมือนกับข้า มีเรื่องอยากจะขอร้องสหายเทียนจิน?”
ซานจวินผู้เฒ่าเดือดดาลอย่างหนัก “กู้ชิงซิง อย่าปากไร้หูรูดให้มันมากนัก! หากยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกแม้แต่ครึ่งคำ เจ้าก็ลงจากภูเขาไปเดี๋ยวนี้เลย”
คิดไม่ถึงว่ากู้ชิงซงจะสะบัดชายแขนเสื้อ “ไปก็ไปสิ”
รอกระทั่งภายหลังหลี่เซิ่งยกเลิกที่ทำการเจินเหรินทั้งหมดทิ้งไป เฟิงจวินก็ออกจากภูเขาเดินทางไกล ผลคือไปมีเรื่องกับเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งใดก็คล้ายจะไม่ปลอดภัย จึงได้แต่ไปหลบอยู่บนเรือราตรีเท่านั้น
นักพรตเฒ่าปล่อยวัวดำตัวนั้นไว้นอกประตู เข้าไปในร้านเหล้าเพียงลำพัง ก้มหัวคารวะตามขนบของลัทธิเต๋าต่อซานจวินไหวเหลียน จากนั้นก็สั่งเหล้าลืมทุกข์กาหนึ่งมาจากเถ้าแก่ผู้เฒ่า
คนเราเมื่อเจอเรื่องน่ายินดีก็มักจะมีสีหน้าสดชื่น บนเรือราตรีนักพรตเฒ่าได้ทำการค้าครั้งหนึ่งกับอิ่นกวานหนุ่ม จึงได้ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงระดับขั้นเป็นภาพบรรพบุรุษมาหนึ่งภาพ หาเงินด้วยความปรองดอง นี่เรียกว่าหาเงินด้วยความปรองดองโดยแท้
บอกตามตรง วันนี้สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา อันที่จริงนักพรตเฒ่าก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก ระหว่างที่เดินทางมาก็คิดไว้แล้วว่าเมื่อมาถึงร้านเหล้าแล้วได้เจอกับซานจวินไหวเหลียนที่ไม่ใกล้ชิดกับผู้คน ก็จะต้องช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้กับอิ่นกวานหนุ่มสักสองสามประโยค
บนโต๊ะคิดเงินมีกรงนกอยู่ใบหนึ่ง ด้านในมีนกขมิ้นอยู่ตัวหนึ่ง เห็นนักพรตเฒ่าที่เดินเข้าประตูมานั่งก็เปิดปากเอ่ยว่า “เศษสวะ เศษสวะ”
นักพรตเฒ่าก็ไม่โมโหแม้แต่น้อย ลูบหนวดยิ้มกล่าว “ผินเต้าเป็นผู้ฝึกเซียนคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ดีแต่ตีรันฟันแทงกันเสียหน่อย จะมีโชคชะตาบู๊ได้สักกี่จินกี่ตำลึงกัน”
สวี่เจี่ยวางกาเหล้าและชามขาวไว้บนโต๊ะ พูดขัดคอว่า “เมื่อครู่นี้นายท่านซานจวินบอกแล้วว่า ไม่พูดถึงเฉินผิงอัน พูดถึงแค่ภูตต้นอู๋ถงจากหอสยบปีศาจตนนั้น นอกจากขอบเขตบินทะยานแล้ว ยังสามารถมองเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นเทพมาเยือนครึ่งตัวได้ด้วย”
เฟิงจวินคลี่ยิ้มบางๆ “ผินเต้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับต้นอู๋ถงต้นหนึ่งทำไม ไม่สมควร ไม่สมควร”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มกล่าว “ปีนั้นตาถั่ว ถึงกับมองความตื้นลึกของโชคชะตาบู๊บนร่างอิ่นกวานผู้นั้นไม่ออก”
พอพูดถึงอิ่นกวานหนุ่มที่เคยมาดื่มเหล้าที่ร้านตนสองครั้ง สวี่เจี่ยลูกจ้างร้านก็โมโห เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ป้ายสงบสุขปลอดภัยของร้านเหล้าเล็กๆ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นเลียนแบบร้านของพวกเราไปชัดๆ”
เฟิงจวินจิบเหล้าหนึ่งอึก ลูบหนวดทอดถอนใจพูดว่า “ก่อนหน้านี้อยู่บนเรือราตรี ผินเต้ากับสหายเฉินเรียกได้ว่าแค่พบเจอก็ถูกชะตากันทันที ยังมีการถกมรรคากันไปรอบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างได้ประลองวิชาคาถาอันลี้ลับต่อกัน มีประโยคหนึ่งที่สหายเฉินกล่าวไว้ บอกว่า ‘มรรคกถาของใต้หล้าไร้รูรั่ว เป็นเพราะนักพรตบนเส้นทางหาบโล่วจือ (ภาชนะใส่เหล้าที่มีรูรั่ว)’ ประโยคนี้ช่างกล่าวได้…รอบคอบรัดกุม มิน่าเล่าอายุน้อยๆ ก็สามารถอยู่ในตำแหน่งสูง สร้างวีรกรรมติดต่อกันได้”
สวี่เจี่ยเอ่ย “ไอ้หมอนั่นก็แค่โชคดีเท่านั้น”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!