เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เพราะสวี่เจี่ยเป็นเพื่อนกับเฉาสือ จึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเฉินผิงอันมาโดยตลอด
เฟิงจวินก็ยิ่งโคลงศีรษะ มือหนึ่งถือชามเหล้า อีกมือหนึ่งยกขึ้นมาพูดโต้เถียงว่า “คำพูดนี้ผิดถนัด ดูแคลนสหายเฉินเกินไปแล้ว คนคนหนึ่งหิวโหยถึงขีดสุดสามารถกินซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ได้ทีเดียวเก้าลูก คนธรรมดากินซาลาเปา ยิ่งกินยิ่งรู้สึกว่าไม่อร่อย หากกินซาลาลูกแรกแล้วรสชาติยังเหมือนกับซาลาเปาลูกที่เก้า นั่นก็คือผู้ฝึกตนแล้ว ชั่วชีวิตนี้ผินเต้าขึ้นเหนือล่องใต้มาจนทั่ว ท่องไปทั่วใต้หล้า เห็นคนมานับไม่ถ้วน คนอย่างสหายเฉินนี้กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้”
ไหวเหลียนเอ่ย “พวกเจ้าสองคนอยากถามก็ถาม ไม่ต้องอ้อมค้อม”
คนผู้หนึ่งจงใจพูดถึงเฉินผิงอัน อีกคนก็รับคำต่อ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะสงสัยว่าเหตุใดตนถึงปฏิเสธไม่ให้เฉินผิงอันเดินขึ้นเขานั่นเอง
เฟิงจวินถามอย่างสงสัย “ในเมื่อสหายไหวเหลียนไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่ออิ่นกวานหนุ่ม ถึงขั้นที่ว่ายังมีความรู้สึกดีๆ อย่างที่ไม่คิดจะปิดบัง ถ้าอย่างนั้นเหตุใดวันนี้ถึงไม่อนุญาตให้เขาขึ้นเขา แล้วยังทำเรื่องที่เกินความจำเป็นด้วยการจงใจพูดแรงๆ ให้คนเสียใจด้วยเล่า?”
ไหวเหลียนหัวเราะหยัน “ผู้ฝึกกระบี่ไม่ดูขอบเขตของตัวเอง หรือว่าต้องดูที่สถานะ?”
เฟิงจวินแกว่งชามเหล้า “แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ไม่ให้เขาขึ้นเขากระมัง?”
นอกจากสถานะผู้ฝึกกระบี่แล้ว ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ถามหมัดกับเฉาสือถึงสี่ครั้งด้วย
ไหวเหลียนกล่าว “ให้เหตุผลไปแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกเจ้า”
เฟิงจวินพูดด้วยสีหน้าเสียดาย “น่าเสียดายที่บนเรือข่าวสารไม่ว่องไวพอ ไม่อย่างนั้นต่อให้ทุบหม้อขายเหล็ก ผินเต้าก็ต้องสะสมเงินฝนธัญพืชให้ครบหนึ่งเหรียญแล้วลงเดิมพันว่าสหายเฉินต้องชนะเฉาสือให้จงได้”
เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธวัยเดียวกันสองคนอย่างเฉาสือและเฉินผิงอัน ศึกเขียวขาวในสวนกงเต๋อครั้งนั้น ผู้ฝึกตนบนภูเขา ผู้ฝึกยุทธล่างภูเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันไม่หยุด
โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เลื่อมใสเฉาสือ รู้สึกว่าบนเส้นทางวรยุทธในอนาคต ชีวิตนี้เฉินผิงอันไม่อาจยืนเคียงบ่ากับเฉาสือได้อย่างแท้จริงแล้ว ได้แต่ไล่ตามเขาไปตลอดทางเท่านั้น
เฉาสือจะต้องเป็นอุปสรรคในการเรียนวรยุทธของเฉินผิงอันไปตลอดชีวิต หากโชคดีก็อาจได้รับคำเรียกขานว่า ‘บุคคลอันดับสองในใต้หล้า’
แต่ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่กลับยอมรับในตัวเฉินผิงอันมากกว่า
มีแค่ทัศนคติเดียวที่คนทั้งบนและล่างภูเขาถือว่ามีความเห็นพ้องต้องกัน
นั่นก็คือไม่พูดถึงระดับความสูงต่ำของวิถีวรยุทธในท้ายที่สุดของเฉาเฉินสองคน พูดถึงแค่ขั้นตอนการเรียนวรยุทธฝึกหมัด
สามารถเอาอย่างเฉินผิงอัน แต่ไม่ต้องเรียนรู้จากเฉาสือ
เฉินผิงอันพาชิงถงออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หวนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป เดินอยู่บนเส้นทางสันเขาที่มีชื่อว่ายอดเขาเฟินสุ่ย
ชิงถงเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “มาเยือนศาลเทพภูเขาแห่งนี้แล้วก็จะปิดงาน สามารถกลับสำนักใบถงได้จริงๆ แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
เหวยเว่ยเหนียงเนียงเทพภูเขาเดินออกมาจากเทวรูปดินเผาในศาล รอกระทั่งได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้า นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
อาจารย์เฉิน เซียนกระบี่เฉิน เจ้าขุนเขาเฉิน ใต้เท้าอิ่นกวาน?
หากเหวยเว่ยจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่คนแซ่เฉินมาเยือนที่นี่
ไม่ถึงสามสิบปี แต่มาเยือนถึงสี่ครั้ง!
หึ
หรือว่าจะ…
พอความคิดนี้ของนางปรากฏขึ้นมาก็นึกอยากจะตบบ้องหูตัวเองแรงๆ สักที อ่านบันทึกภูเขาสายน้ำเล่มนั้นจนโง่ไปแล้วหรือไร?! หรือว่าลืมภาพฉากที่ได้พบเจอกันครั้งแรกไปแล้ว?
ไม่เคยรักหยกถนอมบุปผา มีแต่จะบดขยี้บุปผาอย่างโหดร้าย
ทุกวันนี้ศาลเทพภูเขาถือว่าได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้ว
เหวยเว่ยจำต้องยอมรับว่าล้วนเป็นสิ่งที่คนตรงหน้ามอบให้ ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่เฉินถ่ายทอดวิชาและขั้นตอนการลงมือต่างๆ ให้กับศาลบ้านตน ล้วนได้ผลดีจริงๆ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวที่ทำมาจากหินเขียวด้านนอกศาล ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกเรื่องล้วนยากตอนเริ่มต้นเสมอ หนึ่งเรื่องราบรื่นทุกเรื่องก็ล้วนราบรื่น ขอแสดงความยินดีด้วย”
เหวยเว่ยยืนอยู่ด้านใต้ต้นสนเขียว ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะมีกิจธุระมากมาย บวกกับตัวข้าเองเป็นแค่เทพภูเขาตัวเล็กๆ รากฐานไม่มั่นคง ขยับย้ายไปที่อื่นได้ไม่ง่าย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็คงไปเยือนภูเขาลั่วพั่วเพื่อขอบคุณเซียนกระบี่เฉินด้วยตัวเองแล้ว”
ก่อนหน้านี้ให้สาวใช้ที่รับหน้าที่เป็นเทพผู้ช่วยของศาลทำตามวิธีของเฉินผิงอัน เอาอย่างเทพหญิงในตำราไปเข้าฝัน ท่องขุนเขาสายน้ำพร้อมกับบัณฑิตที่เดินทางไปสอบในเมืองหลวง ล่องลอยดุจเซียนที่จับมือกันเที่ยวชมภูเขาวารี ถูกบัณฑิตที่รูปโฉมค่อนข้างอัปลักษณ์แต่กลับมีความรู้มากผู้นั้นมองเป็นนิมิตหมายอันดีหลังตื่นจากฝัน เป็นเหตุให้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตอนอยู่ในสนามสอบของเมืองหลวงความคิดก็พรั่งพรูราวกับน้ำพุได้จริงๆ ยามจรดพู่กันจึงเหมือนมีเทพช่วย
แม้ว่าไม่ได้ติดสามอันดับแรกในขั้นหนึ่งของจิ้นซื่อจี๋ตี้ แต่กลับได้ขั้นสองมา ได้รับขานชื่อในตำหนักทอง ภายหลังยังถึงขั้นเป็นข้อยกเว้นถูกรับเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินโดยที่ไม่จำเป็นต้องทดสอบ ได้รับตำแหน่งผู้ตรวจสอบตำรา ระดับขุนนางคือขั้นเจ็ดชั้นโท หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน อีกไม่นานก็จะได้ไปรับหน้าที่เป็นขุนนางหลักของหกกรม หากได้ไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวงก็สามารถเริ่มเดินจากระดับอำเภอของวงการขุนนางขึ้นสูงไปได้ทีละก้าว อีกทั้งว่ากันว่าในการสอบระดับมณฑลที่เมืองหลวง ขุนนางคุมสอบหลักที่ตรวจสอบบทความของในหนึ่งแคว้นมายี่สิบกว่าปี รวมไปถึงขุนนางผู้อ่านข้อสอบทั้งหลายต่างก็เอ่ยชมข้อสอบของคนผู้นี้ไม่ขาดปาก เพียงแต่ว่าการสอบหน้าพระที่นั่งในภายหลังกลับแสดงศักยภาพผิดพลาดไปสักหน่อย ถึงได้ไม่ติดสามอันดับแรกที่จะถูกฮ่องเต้ใช้พู่กันแต้มชาดวาดวงกลมลงบนชื่อ
บัณฑิตผู้สอบติดเคอจวี่ ระหว่างที่ออกจากเมืองหลวงเดินทางกลับบ้านเกิดได้ตรงมาที่ศาลเทพภูเขา จุดธูปโขกหัวคารวะ เขียนตัวอักษรลงบนผนัง พอกลับไปถึงห้องหนังสือของตัวเองยังเขียนบทกวีอีกหนึ่งบท บันทึกไว้ในตำรารวบรวมบทความของตัวเองซึ่งมีไว้บรรยายเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้โดยเฉพาะ คิดว่าวันหน้าจะออกเป็นหนังสือ
บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป เป็นฝันงดงามที่กลายมาเป็นความจริง สำหรับเหวยเว่ยและเทพหญิงผู้รับใช้สองคนแล้ว ไยจะไม่ใช่แบบเดียวกันเล่า
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยเตือนว่า “วันหน้าอ่านตำราอริยะปราชญ์ให้มาก อ่านตำราเบ็ดเตล็ดพวกนั้นให้น้อยลงหน่อย”
เหวยเว่ยยังไม่รู้ว่า อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่เฉินผิงอันมาที่นี่
เพียงแต่ว่าคราวก่อนเห็นเหวยเว่ยกับข้ารับใช้หญิงที่มีเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลสองคน พูดคุยกันถึงบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น คุยกันอย่างเบิกบานใจ เหนียงเนียงเทพภูเขายังหัวเราะจนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเสื่อ
เฉินผิงอันจึงไม่ได้ปรากฏตัว หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายบรรยากาศ
เหวยเว่ยมึนงง เพียงแค่พยักหน้าตอบตกลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!