คำว่าเมล็ดพันธ์เต๋า ครรภ์เซียนแต่กำเนิด แทบจะมีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…ห่างเหินไร้น้ำใจ
คนหลายคนที่เดินขึ้นเขาฝึกตนตั้งแต่อายุยังน้อย บนร่างมักจะพกพาเอากลิ่นอายเซียนนี้ไปไม่มากก็น้อย สายตาเย็นชา บุคลิกเย็นชา เย็นชาลึกถึงกระดูก
อยู่ห่างไกลจากฝุ่นผงในโลกโลกีย์ ออกห่างจากผู้คนใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ใช้พื้นที่เพียงคืบ พื้นที่เท่าเบาะรองนั่งเล็กๆ ใบหนึ่ง หรือไม่ก็เรือนแห่งใจเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฝึกตนจนมีกิ่งทองใบหยก หลอมอวัยวะภายในให้เหมือนหิมะ
สามารถเรียกขานผู้ฝึกตนในใต้หล้าว่า ‘คนปัญญาอ่อน’ ได้ คาดว่าก็คงมีแค่ลู่เฉินคนเดียวเท่านั้นจริงๆ
ถึงอย่างไรก็ไม่เคยกลัวว่าจะถูกคนตีอยู่แล้ว
ลู่เฉินขยับก้นไปเก็บกิ่งไม้ที่โยนทิ้งไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกคั้ง เขียนอักษรคำว่า ‘หลาง’ ลงไปบนพื้น ลังเลเล็กน้อยก็เพิ่มอีกคำหนึ่งเป็นคำว่า ‘แจว๋’
ลู่เฉินยิ้มถาม “เจ้าคิดว่าตัวอักษรตัวไหนถูกชะตามากกว่า?”
เด็กชายก้มหน้ามองตัวอักษรสองตัวด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ยินดีจะพูดโกหก พอเงยหน้าขึ้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ดีทั้งสองตัว”
ได้รู้จักตัวอักษรอีกสองตัวแล้ว
ลู่เฉินร้องโอ้โหหนึ่งที ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ดีมากๆ ชื่อก็คือเย่หลาง ในอนาคตบนเส้นทางการฝึกตน แม้แต่ฉายาก็มีแล้ว เรียกว่า ‘โฮ่วแจว๋’”
ล้วนเป็นคนที่ยังไม่ตื่นอยู่ในร่มแห่งต้นไหว ต้องดูแค่ว่าฝันใหญ่ใครจะตื่นขึ้นมาก่อน
“เจี้ยวจากคำว่า ‘สุ้ยเจี้ยว’ นอนหลับ แจว๋จากคำว่า ‘แจว๋สิ่ง’ สำนึกตื่น ออกเสียงต่างกัน แต่เป็นคำเดียวกัน สองความหมาย”
ลู่เฉินถือกิ่งไม้ชี้ไปที่อักษรคำว่า ‘แจว๋’ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลำพังเพียงแค่อักษรตัวนี้ พวกเราก็ต้องโขกหัวให้กับท่านบรรพจารย์หนึ่งพันครั้งแล้ว”
มองเด็กชายตรงหน้าผู้นี้ทำให้ลู่เฉินอดนึกไปถึงเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นั้นไม่ได้
คิดดูแล้วสำหรับพวกเขา การไปไหว้ที่หน้าหลุมศพในวันเทศกาลชิงหมิง การชมพระจันทร์ในวันไหว้พระจันทร์ การกินอาหารมื้อข้ามปีในคืนวันที่สามสิบ ก็คือด่านทางใจสามด่านใหญ่กระมัง
ลู่เฉินถอนหายใจ “สายน้ำภูเขาสายลมจันทรา เดิมทีก็ไม่มีอะไรแน่นอน ทัศนียภาพจากโบราณจนถึงปัจจุบันล้วนไม่มีอะไรคงอยู่ มีเพียงต้นไม้โบราณ เห็นเพียงต้นไม้ยักษ์ พวกเราเคยได้ยินคำว่าต้นหญ้าโบราณ เคยเห็นต้นหญ้ายักษ์บ้างหรือไม่เล่า?”
“ต้นหญ้าแห้งเหี่ยวตาย ต้นสนต้นป่ายดำรงอยู่ยาวนาน นี่ก็คือชะตาชีวิต ดอกจือหลันเป็นเส้นทาง ต้นไม้หยกเป็นขั้นบันได นี่ก็คือชะตาชีวิตเช่นกัน ทุกคนต่างก็มีชะตาชีวิต เดินไปตามโชควาสนานำพา ประหนึ่งจอกแหนลอยล่องกลับลงสู่ทะเล”
สายตาของเด็กชายเป็นประกายเจิดจ้า ฟังด้วยความไม่เข้าใจใดๆ เพียงแค่รู้สึกว่ามีความรู้อย่างมาก ดูเหมือนว่าจะน่าสนใจกว่าเรื่องที่อาจารย์ในโรงเรียนของหมู่บ้านสอนเสียอีก คงเป็นเพราะเลื่อมใสอย่างมาก ถึงได้ถามเสียงเบาว่า “ท่านนักพรต ท่านเข้าใจอะไรมากมายขนาดนี้ เคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือมาก่อนสินะ?”
ลู่เฉินโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “เป็นไม่ได้ เป็นไม่ได้ ข้าไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าสักเท่าไรหรอก เจ้าขอข้าวกินเปล่าดื่มเปล่าอยู่ในบ้านเกิด ข้าก็แค่หลอกกินข้าวหลอกดื่มจากต่างบ้านต่างเมือง มรรคกถาตื้นเขิน มีหรือจะกล้าเรียกตัวเองว่าอาจารย์ด้วยความภาคภูมิใจ”
หากเป็นแค่อาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจ แน่นอนว่าใช่ว่าลู่เฉินจะเป็นไม่ได้ แค่ดูแคลนจะเป็นก็เท่านั้น
ห้านครสิบสองหอเรือนในป๋ายอวี้จิงต่างก็มีเจ้าของ มีเพียงเจ้าลัทธิสามลู่เฉินเท่านั้นที่แทบจะไม่เคยถ่ายทอดมรรคาให้กับใคร ชอบแวะเวียนไปตามที่ต่างๆ ไปฟังคำบรรยายของคนอื่น
บางครั้งที่มีข้อยกเว้น น่าเสียดายที่มิอาจบอกกับคนอื่นได้ เพียงแค่สวมกวานดอกบัวหันเข้าหาดาวเป่ยโต้ว ข้าพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะแก่ดวงดาว
เพียงแต่ว่าลู่เฉินมีความเข้าใจต่อคำว่า ‘อาจารย์’ เป็นของตัวเอง สามบุปผารวมกันเหนือศีรษะก็คือเจินเหริน ห้าลมปราณสู่พลังต้นกำเนิดก็คือเทียนเซียน อาจารย์? ก็คือ ‘เกิดมาพร้อมฟ้าดิน’ (คำว่าอาจารย์อ่านว่าเซียนเซิง เกิดมาพร้อมฟ้าดินภาษาจีนคือ เซียนเทียนตี้เอ่อเซิง) นั่นเอง
เด็กชายถาม “ท่านนักพรตชื่ออะไรหรือ? วันหน้าข้าสามารถไปหาท่านนักพรตได้หรือไม่?”
ได้รับบุญคุณจากผู้อื่น ก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ตอบแทนได้เท่าไรก็เท่านั้น อีกทั้งได้แต่ตอบแทนมากกว่าไม่อาจน้อยกว่า
ส่วนหลักการเหตุผลข้อนี้ได้มาอย่างไร เด็กชายไม่เคยคิดมาก่อน แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะครุ่นคิดให้มากความ
ลู่เฉินยิ้มอย่างรู้ทัน
อะไรคือมรรคา อะไรคือเหตุผล? ก็คือเส้นทางที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเรา คือเรื่องที่มิอาจพูดเป็นคำพูดแต่กลับลงมือกระทำได้
ถึงได้บอกว่าการใช้เหตุผลกับผู้อื่นมักจะยากเสมอ เพียงแค่เพราะว่าหนทางแตกต่างจึงมิอาจร่วมทาง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ชื่อของข้ามีเยอะนักล่ะ เจิ้งเหรินที่ซื้อกล่องคืนไข่มุก หนันกวอที่เป็นนักดนตรีเก๊แสร้งเป่าขลุ่ย หลัวฉี่ที่ ‘ทั่วร่างเต็มไปด้วยหลัวและฉี่’ (หลัวและฉี่เปรียบเปรยถึงเสื้อผ้าที่ถักทอจากผ้าไหม คือเนื้อผ้าที่ล้ำค่าหายากอย่างหนึ่ง) คือซิ่งโหยวที่กังวลว่าจะขายถ่านไม่ได้จึงหวังให้หน้าหนาวอากาศหนาวเย็นกว่าเดิม คือเถาเจ่อที่ ‘สิบนิ้วไม่สัมผัสดิน อาศัยอยู่ในหอสูงใหญ่ปูเต็มด้วยกระเบื้อง’ แต่ว่าวันนี้ ชื่อของผินเต้าคือสวีอู๋กุ่ย (สวีไร้ผี) ก็วันที่สามสิบของสิ้นปีนี่นะ อีกเดี๋ยวก็ต้องบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว เพื่อให้เป็นนิมิตหมายที่ดี หวังว่าใต้หล้าจะไม่มีผีเร่ร่อนอีกต่อไป ฟ้านอกฟ้าก็ไม่มีสิ่งใด คนมีชีวิตมีที่พึ่ง คนตายก็มีทางไป อีกทั้งชื่อสวีอู๋กุ่ยนี้เป็นบุคคลคนหนึ่งในตำราเล่มหนึ่งที่ผินเต้าเรียบเรียงขึ้น รู้นรลักษณ์ศาสตร์ เชี่ยวชาญการมองม้า ทั้งยังชำนาญในการเลือกม้าดีวิ่งได้พันลี้มากที่สุด ชาวนาทำนา พ่อค้าหาเงิน สวีอู๋กุ่ยดูม้า ล้วนต้องตื่นแต่เช้า”
เด็กชายถูกคำกล่าวประโยคนี้ของนักพรตหนุ่มทำให้อึ้งตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง “นักพรตสวียังเคยเขียนหนังสือออกหนังสือมาก่อนด้วยหรือ?!”
พวกอาจารย์ในโรงเรียนยังได้แค่สอนหนังสือเลยนะ
ลู่เฉินลำพองใจอย่างมาก ลูบคลำปลายคาง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ใช่น่ะสิ ใช่น่ะสิ”
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกลก็มีสายตาประมาณเดียวกันนี้มองมา ที่แท้ท่านนักพรตนอกจากจะตั้งแฝงดูดวงหลอกเอาเงินคนอื่นแล้ว ยังเขียนเทียบยาได้ด้วยหรือ?
บางทีในใจของทุกๆ คนต่างก็มีทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งหนึ่งที่ไม่อยากมองย้อนกลับไปมอง และในใจของทุกๆ คนก็น่าจะมีตรอกหนีผิงที่ได้แต่เดินป้วนเปี้ยนไม่จากไปไหน
มีเพียงภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นที่เป็นบ้านเกิดของข้า เบื้องหน้ามองไม่เห็นคนรุ่นก่อน ด้านหลังมองไม่เห็นผู้มาเยือน ใบหน้าแดงก่ำเมามายมองดอกท้อ น้ำตาเอ่อคลอไหลพรั่งพรู
“เสียงฟ้าผ่าดังครืนครั่น”
ลู่เฉินยิ้มบางเอ่ยว่า “เงยหน้า”
คำพูดออกจากปากคาถาตามติด กลางอากาศพลันมีฟ้าผ่าลงมาทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ
เด็กชายตกใจสะดุ้งโหยง ได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าสับสน
ลู่เฉินประกบสองนิ้วเคาะลงตรงหว่างคิ้วของเด็กชายเบาๆ หนึ่งที ปากก็ท่องคาถาไปด้วย
ช่วยเปิดดวงตาสวรรค์ให้กับเด็กคนนี้
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เด็กกำพร้าจากชนบทแซ่เย่คนนี้ก็ได้ถือว่าเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนอย่างเป็นทางการแล้ว
เพียงแค่รอให้ตนจากไปแล้วเรียนรู้จากยันต์ที่อยู่บนพื้น นับแต่วันนี้ไปดวงตาคู่นี้ของเด็กชายก็จะเหมือนได้รับวิชาอภินิหารมองลมปราณ สามารถมองเห็นบุญกุศลและโชควาสนาของคนอื่นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นในหมู่ชาวบ้านมีคำโบราณประโยคหนึ่งแพร่หลาย บอกว่าคนผู้หนึ่งหมดเคราะห์กรรมแล้ว ก็คือหลักการเดียวกัน การบรรยายถึงคนที่มีดวงดีดวงขึ้นก็เป็นเช่นเดียวกัน หรือยกตัวอย่างเช่นคำว่า ‘คนท่ามกลางม่านโปร่งสีเขียว’ แน่นอนว่าย่อมหมายถึงคนที่มีโชคด้านการเป็นขุนนาง
ลู่เฉินบิดหมุนข้อมืออีกครั้ง ถูสองนิ้วเข้าด้วยกันเหมือนจุดธูปหอมดอกหนึ่ง เหนือศีรษะของเด็กชายก็คือกระถางธูป คล้ายกับการจุดธูปคารวะเทพที่อยู่เหนือศีรษะไปสามฉื่อ
ทั้งยังเป็นยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งที่ลู่เฉินมอบให้กับเด็กชาย คือยันต์ตำราฟ้าแผ่นหนึ่ง เหมือนกับที่มอบชื่อ ‘อู๋กุ่ย’
ลู่เฉินนั่งยองอยู่บนพื้น สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้าโยกตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้าหากมีวันใดที่ได้ออกไปจากบ้านเกิดจงไปตามหาภูเขาที่มีชื่อว่าสำนักโองการเทพ เมื่อได้พบกับนักพรตที่ชื่อว่าฉีเจิน เจ้าก็บอกไปว่าลู่เฉินให้เจ้าเดินขึ้นเขา ให้เขาถ่ายทอดวิชาคาถาเซียนให้กับเจ้า”
เด็กชายพยักหน้ารับ เพียงแต่ก็ยังถามอย่างสงสัยว่า “ท่านนักพรตเปลี่ยนชื่ออีกแล้วหรือ?”
ลู่เฉินลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “งานเลี้ยงสามวัน งานเลี้ยงร้อยวัน ถึงอย่างไรก็ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา จากลากันตรงนี้ วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
เด็กชายรู้สึกเหมือนมีคำพูดนับพันนับหมื่นมารออยู่ตรงปาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร สุดท้ายก็นึกขึ้นได้แค่การคารวะอย่างก่อนหน้านี้ จึงก้มหัวกราบคารวะนักพรตหนุ่มที่มีความรู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังเคยออกหนังสือผู้นี้อีกครั้ง
ลู่เฉินยืนอยู่ที่เดิม รับการคารวะนี้แล้วก็ก้าวยาวๆ จากไป ไม่หันกลับไปมอง เพียงแค่ยกมืออำลาเด็กชาย นักพรตหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาอยู่สองสามครั้ง เดินไปถึงริมเขตของหมู่บ้านแล้วก็ค้อมเอว คว้าไก่ตัวหนึ่งขึ้นมากอดไว้ในอ้อมกอด วิ่งตะบึงจากไป เพียงชั่วพริบตาก็หายไปไม่เห็นเงา
ทิ้งไว้เพียงเด็กชายที่มองตาค้าง นักพรตคนนั้นขโมยไก่แล้ววิ่งหนีไป ตนจะถือว่าเป็นคนช่วยดูต้นทางให้เขาหรือไม่?
……
หอสยบปีศาจ ด้านใต้ต้นอู๋ถง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!