อ่านสรุป บทที่ 938.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (เจ็ด) จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 938.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (เจ็ด) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ทางฝั่งของศาลเทพลำคลองเฝินเหอ ทัศนียภาพที่เฉินผิงอันกับชิงถงได้เห็นมีมุมมองที่แตกต่าง ดังนั้นต่างคนจึงต่างเห็นกันคนละอย่าง แบ่งเป็นก่อนและหลัง
รอกระทั่งชิงถงเดินเที่ยวไปตามตำหนักทั้งหลายเสร็จแล้วถึงสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้อยู่ในศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้แล้ว
เดินออกจากประตูใหญ่ของศาลมา ชิงถงเห็นคนชุดเขียวนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กที่ตั้งอยู่ในร่มต้นหลิวริมสระน้ำกว้างใหญ่ ทั้งยังเริ่มเหวี่ยงเบ็ดตกปลา
ชิงถงเดินไปหา ถามว่า “ยังมีเก้าอี้อีกไหม?”
เฉินผิงอันชี้นิ้วไปที่ปาก บอกเป็นนัยให้เบาเสียงหน่อย จากนั้นบิดข้อมือหนึ่งทีก็มีเก้าอี้ไม้ไผ่เขียวตัวเล็กอีกตัวเพิ่มมา ยื่นส่งให้ชิงถง
ชิงถงนั่งลงด้านข้าง กดเสียงลงต่ำ ถามอย่างสงสัย “นี่คือ?”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “รอคอยฟ้าอำนวย”
เห็นชิงถงมีท่าทางมึนงง เฉินผิงอันก็ผงกปลายคาง เอ่ยเตือนว่า “มองน้ำไปก่อนชั่วคราว”
ชิงถงจึงจ้องมองไปที่ผิวน้ำ น้ำในสระใสเหมือนกระจก และในกระจกก็มีภาพจวนที่ผุพังสภาพเก่าโทรม ในม้วนภาพมีเงาคนวูบวาบ
คือการมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ วิธีการของเซียนดินที่ไม่ถือว่าสูงส่งสักเท่าไร
หลังจากที่จากลากับเด็กชายที่หมู่บ้านชนบทคนนั้น นักพรตหนุ่มที่ในอ้อมอกตุงป่องก็ทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขย่งปลายเท้ายืดคอมองมาทางในเมือง ร้องเอ๊ะหนึ่งที ถึงกับมีกลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายและภาพบรรยากาศของการประลองเวทคาถาของเทพเซียน? คงไม่ใช่ว่าเป็นเรือนผีหลังหนึ่งหรอกกระมัง? ไม่รู้หรือว่าวันนี้ผินเต้าชื่อว่าสวีอู๋กุ่ยแล้วนะ ดีๆๆ หากว่าพวกเจ้ายอมพูดคุยกันดีๆ ก็จะเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แต่หากแม้แต่ห้องครัวก็ไม่ยอมให้ผินเต้ายืม ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่ผินเต้าผดุงธรรมแทนสวรรค์ไม่ได้นะ
ลู่เฉินหันหน้าไปมองเด็กชายแซ่เย่คนนั้น ในอนาคตเมื่อไปถึงสำนักโองการเทพ ไม่แน่ว่าสามารถเป็นเพื่อนกับนักพรตน้อยที่ชื่อว่าอาโหย่วของอารามชิวหาวผู้นั้นได้ ฝึกตนไปด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็เป็นสหายกันได้แล้ว
อักษรคำว่าดวงจันทร์คู่กันก็คือคำว่าสหาย (เพื่อนภาษาจีนคือ 朋友 ซึ่งคำว่า 朋 ประกอบจากอักษร 月 สองตัว ซึ่ง 月 ตัวเดียวแปลว่าดวงจันทร์) อยู่ในใต้หล้าไพศาลที่มีเพียงดวงจันทร์ดวงเดียวแห่งนี้ หาได้ยากถึงเพียงใด ดังนั้นจึงยิ่งต้องทะนุถนอมเห็นค่าสหายที่แท้จริงไว้ให้มาก
ลู่เฉินเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว ตรงดิ่งมาถึงถนนนอกบ้านหลังหนึ่งที่เล่าลือกันว่ามีผีร้ายอาละวาด จากนั้นทำมุทรา รู้ว่าพื้นที่ใกล้เคียงมีชื่อว่าตรอกอู้เจิน เรือนใหญ่เคยเป็นศาลหลวี่กง ประตูใหญ่สีชาดเต็มไปด้วยหยากไย่ สถานที่แห่งนี้ควันธูปขาดสะบั้นไปนานแล้ว ในประวัติศาสตร์เคยถูกรื้อถอนแล้วสร้างขึ้นมาเป็นเรือนพักส่วนตัว หลังจากนั้นก็เจอกับเหตุเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนมีผีอาละวาด สุดท้ายวัสดุไม้เกินครึ่งที่ใช้สร้างเรือนก็ถูกย้ายไปไว้ที่ศาลเทพลำคลองเฝินเหอ หน้าประตูเหลือเพียงสิงโตหินตัวหนึ่ง ตรงลำคอมีหลุมเว้าเล็กๆ เรียงยาวคล้ายรอยประทับตราของไข่มุก
สถานที่แห่งนี้ถึงกับเป็นที่ตั้งเก่าของศาลที่บูชานักพรตฉุนหยาง คือเรื่องที่น่าประหลาดใจแต่ก็สมเหตุสมผลดี
ลู่เฉินถอนหายใจ “สหายฉุนหยางเอ๋ยสหายฉุนหยาง ที่แท้ปีนั้นอยู่ที่ป๋ายอวี้จิง พวกเราสองคนที่เป็นคนบ้านเดียวกันก็ได้ไปพบเจอกันที่ต่างบ้านต่างเมืองหรือนี่ ทุกวันนี้เจ้าไม่อยู่ไพศาลที่เป็นบ้านเกิดมานานแล้ว กว่าจะมีศาลสักแห่งหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดไม่ถึงว่าจะตกมามีสภาพเช่นนี้ได้ ก็ดีเหมือนกัน ถือเสียว่าวันนี้ผินเต้าได้ใช้กำลังอันน้อยนิดที่มีช่วยเพิ่มควันธูปให้กับศาลของเจ้าสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลวี่เหยียนผู้นี้ ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่มีข่าวคราวของหลวี่เหยียนมานานมากแล้ว
ลู่เฉินหยิบยันต์ที่ทำจากวัสดุสำหรับใช้ประทับหยกลัญจกรแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปากท่องพึมพำว่า ‘ฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดินศักดิ์สิทธิ์ เทพแสดงอิทธิฤทธิ์ ข้าทำตาม’ ถอยไปข้างหลังหลายก้าว ใช้มือข้างเดียวกดลมปราณสู่จุดตันเถียน ตวาดเบาๆ หนึ่งที ก้าวเร็วๆ ราวกับบินวิ่งไปข้างหน้า ปลายเท้าดีดพื้นกระโดดขึ้นสูง ผลคือได้แต่เหยียบลงบนหัวกำแพงเท่านั้น โงนเงนอยู่หลายทีก็ยังยืนได้ไม่มั่นคง ล้มผลึ่งหงายหลังกลับลงมาบนถนนอีกครั้ง โชคดีที่ถนนเส้นนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คนจึงไม่มีใครเห็นภาพน่าขันนี้
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มที่ถือยันต์สีเหลืองพยายามอีกสองครั้ง ในที่สุดก็นั่งแปะลงไปบนหัวกำแพงได้ หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็วิ่งก้มตัวไปบนหัวกำแพงตลอดทาง เดินย่องปีนข้ามเรือนหลังหนึ่งเข้าไป ยืดคอมองไปก็เห็นการเข่นฆ่าที่อันตรายกำลังปะทุดุเดือด ผู้ฝึกตนอิสระที่เหมือนมาจากสำนักเดียวกันหลายคนต่างก็ร่ายวิชาอภินิหารสู้รบพัวพันอยู่กับสตรีวัยกลางคนสวมกระโปรงสีแดงหน้าซีดขาว พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าตรงลำคอของนางห้อยเชือกเส้นหนึ่ง น่าจะเป็นผีที่ผูกคอตาย เสียงตวาดของนางดังไม่หยุด ควันดำกลิ้งหลุนๆ ถูกพวกเทพเซียนผู้เฒ่าที่มากำจัดปีศาจปราบมารกลุ่มนั้นอาศัยเวทคาถาอันสูงส่งสลายควันดำไปทีละกลุ่ม มองโดยภาพรวมแล้วถือว่าผลัดกันรุกผลัดกันรับ ฝ่ายหนึ่งขว้างคาถาเซียน อีกฝ่ายหนึ่งก็ใช้วิธีการลับๆ ล่อๆ ตระการตาน่าดูชมยิ่งนัก ถือได้ว่าเจอกับคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อ
ลู่เฉินนั่งอยู่บนหลังคาเงียบๆ ขยับสายตาไปมองดอกโบตั๋นดอกหนึ่งในเรือนด้านหลัง น่าจะย้ายมาปลูกจากที่อื่น ผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัย หลังจากกลายเป็นภูตหลอมเรือนกายสำเร็จ อายุขัยในการฝึกตนก็ไม่น้อย น่าจะเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ครึ่งตัวแล้ว คอยนำพาพวกผีพยาบาทกลุ่มหนึ่งมาสร้างความหวาดกลัวให้กับคนบนโลกมนุษย์ ยึดครองเรือนใหญ่หลังนี้ ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไร อย่างมากก็แค่หลอกพวกบุรุษฉกรรจ์ขี้เมาที่ดึกดื่นไม่ยอมกลับบ้าน หรือไม่ก็พวกคนตีฆ้องบอกเวลา ให้พวกเขาเดินละเมอแล้วพามาร่วมสร้างเมฆก่อฝนด้วยกันคำรบหนึ่งเพื่อขโมยปราณหยาง ตอนฟ้าสว่างก็โยนออกไปจากบ้าน
ก็ไม่แปลกที่เทพวารีที่ศาลเทพลำคลองเฝินเหอแห่งนั้นเลือกที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ หนึ่งเพราะไม่มีการกระทำที่เป็นการก่อกรรมทำเข็ญ สองคือคิดจะสยบกำราบ ‘เรือนผี’ แห่งนี้ก็ต้องโยกย้ายกองกำลัง เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อต่อสู้กันอย่างจริงจังขึ้นมา อย่างน้อยคาดว่าอำเภอแห่งนี้ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว นอกจากนี้ความสามารถของเทพอภิบาลเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่อยู่ใกล้เคียง กับกองกำลังน้อยนิดใต้อาณัติของพวกเขา หากคิดจะงัดข้อกันจริงๆ ก็มีแต่จะบุกมาเอาเรื่องอย่างดุดัน แต่ต้องกลับไปด้วยหน้าตามอมแมมหมองหม่น
คนและผีสองฝ่ายที่ประลองคาถากันอยู่ในเรือน มีคนผู้หนึ่งตาแหลมมองเห็นนักพรตหนุ่มที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่บนหลังคาเรือน พลันสบถด่าดังลั่น “เจ้าจมูกโคหน้าเหม็นตัวน้อย ถึงกับกล้ามาแย่งการค้ากับนายท่านใหญ่ที่นี่เชียวหรือ?! รีบไสหัวไปให้ไกลเลย!”
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มคนนั้นพูดด้วยท่าทางเที่ยงธรรมมีเหตุมีผล “นับแต่โบราณมาการกำจัดปีศาจปราบมาร คนที่ผ่านทางมาพบเห็นล้วนมีส่วนด้วย แล้วนับประสาอะไรกับที่ผินเต้าเกิดมาก็มีกระดูกที่แข็งแกร่ง มีจิตใจของจอมยุทธ…”
คนผู้นั้นตวาดดังลั่น “ไร้ยางอาย!”
จากนั้นก็มีมีดบินพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ รวดเร็วเหมือนดาวตก แต่กลับเป็นแค่ปลายด้ามมีดเท่านั้นที่พุ่งชนหน้าผากของนักพรตปากมากผู้นั้น ได้ยินเสียงร้องโอ้ยด้วยความเจ็บปวด นักพรตหนุ่มถูกโจมตีก็หงายหลังผลึ่ง กลิ้งหล่นไปจากหลังคาแล้วหายไปไม่เห็นเงาอีก
ผีหญิงในเรือนที่ตรงคอมีเชือกรัดพันมีกระบวนท่าวิชาผีให้ใช้ซ้ำไปซ้ำมาแค่ไม่กี่ท่าเท่านั้น อีกฝ่ายกลับมากคนมากอำนาจ อีกทั้งผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นยังเป็นบุรุษ เดิมทีก็มีปราณหยางเต็มร่าง เมื่อรวมตัวอยู่ด้วยกัน พลังอำนาจจึงค่อนข้างกร้าวแกร่ง นางเริ่มค่อยๆ ตกเป็นรอง จึงรีบหันหน้าไปตะโกนเรียก “น้องสาวรีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!”
ทว่าคำพูดสุภาพไพเราะพวกนี้ของเจ้า ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคล้องจองสักเท่าไรเลยนะ
นักพรตหนุ่มเหมือนจะมองความคิดของนางออกจึงพูดจาวางโตอย่างไม่ละอายว่า “แม่นางเจ้าแค่เข้าใจความหมายก็พอแล้ว นี่เรียกว่าได้ใจความสำคัญแต่ลืมภาพลักษณ์ (สามารถเปรียบเปรยถึงคนที่ดีใจจนหลงระเริงได้ด้วย) ส่วนคล้องจองหรือไม่คล้องจอง ล้วนเป็นเรื่องรองลงมา เท่ากับว่าเป็นข้อปลีกย่อยที่ไม่สำคัญ”
เด็กสาวพลันพูดด้วยสีหน้าดุร้าย “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เดิมทีแค่เห็นเจ้าแล้วรู้สึกรำคาญ ที่แท้ได้ยินเจ้าพูดกลับรำคาญยิ่งกว่า ไม่รั้งแขกไว้แล้ว รีบออกไปจากที่นี่ซะ!”
“อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจสิ ผินเต้าแซ่สวีนามอู๋กุ่ย ส่วนฉายาน่ะหรือ ประสบการณ์ในภูเขายังตื้นเขิน แล้วก็ออกมาฝึกประสบการณ์นอกภูเขาได้ไม่นานเท่าไร ยังไม่อาจสะสมบุญบารมีได้ครบสามพันครั้ง ตอนนี้ยังไม่มีฉายา”
นักพรตหนุ่มร้อนใจแล้วเหมือนกัน “นอกจากนี้สายนี้ของผินเต้าก็มีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าพูดถึงบรรพบุรุษไม่พูดถึงอาจารย์ ดังนั้นหากเจ้าจะถามถึงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับข้า หรือเรื่องระบบสายเต๋า โปรดอภัยที่ผินเต้าไม่อาจบอกได้”
พอเด็กสาวได้ยินมาถึงตรงนี้ก็เก็บสีหน้าเดือดดาลมา เพียงแค่หลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีอาจารย์ที่ธรรมดาสินะ ต่อให้ยกชื่ออาจารย์มาก็ทำให้คนตกใจกลัวไม่ได้”
นักพรตหนุ่มพูดคล้ายคนที่อับอายจนพานเป็นโกรธ “ไม่ทำให้คนตกใจกลัว? ผีก็ยังตกใจกลัวเลย!”
เด็กสาวเหลือบมองกวานเต๋าของอีกฝ่ายแล้วโบกมือ “ไปเถอะๆ อย่ามาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่เลย หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่วาสนาที่มีกับลัทธิเต๋าในอดีต วันนี้อย่างน้อยเจ้าก็ต้องนอนออกไปแล้ว จะทำให้เจ้ามีบทเรียนให้ได้ว่าในเมื่อมรรคกถาตื้นเขิน วิชาคาถาไม่ได้เรื่องก็อย่าคิดว่ามีอาจารย์เป็นที่พึ่งแล้วจะทำอะไรตามใจ วิ่งเตร็ดเตร่ไปทั่วได้ เหนือคนยังมีคน ต้องเจอกับความลำบากใหญ่หลวงแน่”
ดวงตาคลอประกายน้ำของเด็กสาวเกิดริ้วกระเพื่อมไหว ชี้นิ้วไปที่กวานเต๋าเหนือศีรษะของนักพรตหนุ่ม อีกมือหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคัก “นักพรตน้อยยังเสแสร้งสวมรอยเป็นยอดฝีมือให้ข้าดู ทำไม คิดว่าอีกเดี๋ยวหากสู้ไม่ได้ก็จะยกอาจารย์ออกมาขู่กูไหน่ไนอย่างข้าหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้ากับอาจารย์ปู่ของเจ้ายังเคยเป็นคนรักเก่ากันด้วยนะ”
“คนรักเก่า?!”
เห็นเพียงว่านักพรตหล่อเหลาที่มีริมฝีปากแดงก่ำฟันขาว ได้ยินประโยคนี้แล้วทำท่าเหมือนถูกฟ้าผ่า ดวงตาไร้แวว พูดพึมพำว่า “ทำไมผินเต้าถึงไม่รู้เลยล่ะ?!”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องเก่าเก็บหลายร้อยปีมาแล้ว หลังออกไปจากที่นี่ กลับไปที่อารามเต๋าในภูเขา หากสนใจก็ลองไปพลิกดูทำเนียบ หาอ่านอย่างละเอียดว่ามีคนที่ชื่อว่าเฉียนฉงเสวียน ฉายาหลงเหว่ยซานเหรินอยู่หรือไม่ ก็คือเขานั่นแหละ เจ้าคนใจจืดใจดำ มีใจเป็นโจรแต่ไม่มีความกล้าจะเป็นโจร รังเกียจว่าชาติกำเนิดของข้าไม่ถูกต้อง ไม่กล้าพากลับภูเขาไปด้วย เป็นภูตต้นไม้แล้วอย่างไร จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีโถงเซียนจิ้งจอกอยู่แห่งหนึ่งไม่ใช่หรือ ชาติกำเนิดของนางยังสู้ข้าไม่ได้เลยนะ”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!