ในอาณาเขตของแคว้นเมิ่งเหลียงนี้ พรรคหวงเหลียงที่เป็นเพื่อนบ้านบนภูเขากับภูเขาเมฆาเรือง ภูเขาบรรพบุรุษมีชื่อว่าโหลวซาน ตั้งอยู่ในอำเภอเปียอี้จังหวัดไหวอันแคว้นเมิ่งเหลียง
นับตั้งแต่ที่พรรคหวงเหลียงซื้อยอดเขาอี้ไต้แดนบินที่เป็น ‘ภูเขาเบื้องล่าง’ แห่งหนึ่งมาจากในบรรดาภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของที่ตั้งเก่าถ้ำสวรรค์หลีจู ก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนจากคนโชคร้ายโดยตลอดเริ่มมาเป็นโชคดีได้แล้ว
อันดับแรกก็ใช้เงินอิ๋งชุนถุงหนึ่งจ่ายเป็นเงินค่าผ่านทาง จากนั้นใช้เงินยาเซิ่งที่เหลืออีกถุงหนึ่งซื้อยอดเขาอีไต้มาจากราชสำนักต้าหลี ราคาเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว
ทว่าปีนั้นอาจารย์ลุงหลิวหงเหวินที่เท่ากับว่าถูกน้อมส่งให้มาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่ยอดเขาอีไต้นี้ได้รู้จักกับภูเขาลั่วพั่ว ว่ากันว่าเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันยังเรียกเขาด้วยความเคารพว่าเซียนซือผู้เฒ่าหลิวด้วย นอกจากนี้เฉินหลิงจวินผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วก็ยังเป็นสหายดื่มสุราที่สนิทสนมกับอาจารย์ลุงอย่างมาก อาจารย์ลุงยังเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋นอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับเว่ยซานจวิน
หากใช้คำกล่าวของอาจารย์ลุงก็คือ ข้าหลิวหงเหวินอยู่ในงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยซานจวิน ที่นั่งอยู่หน้าๆ ทุกครั้ง มีครั้งใดบ้างที่ในบรรดาคนซึ่งมีขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดไม่ใช่ตำแหน่งที่นั่งของข้าที่อยู่ด้านหน้าสุด พูดถึงแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้า สองครั้งก็เป็นเทพวารีของแม่น้ำซิ่วฮวา ครั้งหนึ่งเป็นเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดหลงโจว ในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำของราชสำนักต้าหลี ใครที่แย่บ้าง? หากเอาไปไว้ในแคว้นเมิ่งเหลียง ต่อให้เป็นซานจวินห้ามหาบรรพตที่ตำแหน่งเทพสูงที่สุดก็สามารถนั่งติดกับเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาได้แล้วหรือ?
หลังจากนั้นก็ยิ่งมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดในศาลบรรพจารย์ที่ถูกฝากความหวังไว้มากคนหนึ่งที่ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้สำเร็จจริงๆ
นี่ถึงได้มีงานพิธีเปิดยอดเขาที่พรรคหวงเหลียงจัดขึ้นในวันที่หนึ่งของปีหน้าครานี้
ในสำนักมีสามโอสถทอง
บวกกับที่ลูกศิษย์ปิดสำนักของเจ้าประมุขเกาเจิ่นก็คือคนที่ไปแสวงหาโชควาสนาที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแต่ไม่ได้อะไรติดมือกลับมา ทว่าทุกวันนี้คอขวดขอบเขตประตูมังกรก็มีลางว่าจะคลายตัวออกแล้ว
ก่อนหน้านี้เกาเจิ่นเคยมีสัญญาวิญญูชนกับอาจารย์ลุง ในเมื่ออาจารย์ลุงทำ ‘การเดิมพัน’ ครั้งนั้นให้สำเร็จได้จริง เชิญคนของภูเขาลั่วพั่วให้มาเป็นแขกในงานพิธีของพรรคหวงเหลียงได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องขายยอดเขาอีไต้แล้ว
พรรคหวงเหลียงตั้งใจเลือกเรือนสองหลังติดกันที่ทิวทัศน์ดีเยี่ยมที่สุดเอาไว้ให้
คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นั้นชื่อว่าหลี่ไหว บอกว่าตัวเองมาจากสำนักศึกษาซานหยา และผู้เฒ่าชุดเหลืองที่อยู่ข้างกายเขาก็คล้ายจะเป็นผู้ติดตามคนหนึ่ง มีชื่อว่าโอ่วหลู แล้วก็ไม่มีแซ่ ฉายาว่าหลงซานกง ในเอกสารผ่านด่านบอกว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทักษินาตยทวีปคนหนึ่ง มีดวงตาเว้าลึกจมูกเหยี่ยว ผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูก แต่กลับสวมชุดคลุมอาคมตัวหลวมโพรก
เนื่องจากนายบ่าวคู่นี้คือแขกที่อยู่เหนือการคาดการณ์ พรรคหวงเหลียงจึงเดาเอาว่า ลูกศิษย์สำนักศึกษาท่านนี้ เกินครึ่งน่าจะมีชาติกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ของล่างภูเขา อายุน้อยๆ ถึงได้มีผู้ติดตามเป็นผู้ฝึกตนเช่นนี้
เวลานี้หลี่ไหวกำลังเปิดอ่านตำราที่คล้ายบันทึกส่วนตัวของปัญญาชนเล่มหนึ่งอยู่ในห้อง คือหนังสือเล่มออกเหลืองที่ดึงออกมาจากมุมหนึ่งของชั้นหนังสืออย่างส่งๆ บนหนังสือประทับตราประทับอยู่หลายอัน ดูเหมือนว่าจะเป็นตราประทับหนังสือของปัญญาชนในพื้นที่ของแคว้นเมิ่งเหลียง ก็ถือว่ามีการสืบทอดต่อกันมาอย่างมีระบบระเบียบ สองหน้าท้ายของหนังสือยังเสียบกระดาษบันทึกไว้แผ่นหนึ่ง บอกเล่าความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้ไว้คร่าวๆ บอกว่าได้มาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าศาลเทพลำคลองเฝินเหอ คนเฝ้าศาลเป็นผู้มอบให้
เนื่องจากหลี่ไหวมีสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษา พรรคหวงเหลียงจึงจัดหาเรือนที่ประณีติงดงามมาให้เขา กรอบป้ายกลอนคู่ สี่สมบัติในห้องหนังสือ ของตกแต่งในห้องตามสมัยนิยม อะไรที่ควรมีล้วนมีครบถ้วน ในกระบอกเก็บม้วนภาพหลายใบก็เสียบม้วนภาพและภาพวาดอักษรไว้จนเต็ม
อันที่จริงหลี่ไหวละอายใจอย่างมาก เพียงแต่ว่าจะให้เขาบอกว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ชอบอ่านตำราก็คงไม่ได้
นักพรตเนิ่นนั่งอยู่ตรงธรณีประตู กึ่งหลับกึ่งตื่น ตั้งใจศึกษาตำราโบราณ ‘หลอมภูเขา’ ที่เฒ่าตาบอดโยนมาให้เขาเหมือนเป็นขยะชิ้นหนึ่งเล่มนั้น น่าเสียดายที่มีแค่เล่มครึ่งบนเท่านั้น
แต่แค่เล่มครึ่งบนนี้ก็ทำให้นักพรตเนิ่นได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยแล้ว เขากับหยวนโส่วบรรพบุรุษย้ายภูเขาหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่าของเปลี่ยวร้างย่อมต้องมีการช่วงชิงกันบนมหามรรคา ฝ่ายหลังย้ายภูเขา นักพรตเนิ่นขับไล่ภูเขา วิชาคาถา ระดับความสูงของมรรคกถาของทั้งสองฝ่ายต่างกันไม่มาก มีเพียงสายของการ ‘กินภูเขา’ ที่ใช้การหลอมขุนเขาหลอมเส้นชีพจรมังกรเท่านั้นที่ดูเหมือนหยวนโส่วซึ่งชื่อจริงคือจูเยี่ยนจะได้รับวิชาอภินิหารบรรพกาลบทหนึ่งมาจากหย่างจื่อที่เป็นชู้รัก นี่จึงเป็นเหตุให้แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเหมือนกัน แต่จูเยี่ยนกลับมีแนวโน้มว่าขอบเขตบนมหามรรคา ‘สมบูรณ์แบบ’ มาได้นานกว่า ถึงได้มีเงินทุนและความมั่นใจที่จะแสวงหาขอบเขตสิบสี่ซึ่งเป็นมายาล่องลอยนั้น
ก่อนหน้านี้ใช่ว่านักพรตเนิ่นไม่เคยมีความคิดที่จะให้หลี่ไหวไปขอร้องเฒ่าตาบอด
ผลคือหลี่ไหวเอ่ยมาสองประโยคก็หยุดความคิดของนักพรตเนิ่นได้แล้ว
‘หากข้ายินดีช่วยเจ้า แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าขอร้องไปแล้ว อาจารย์เกินครึ่งตัวคนนั้นของข้าก็จะยินดีมอบตำราโบราณครึ่งเล่มล่างให้เจ้าแล้ว?’
‘ถอยไปพูดก้าวหนึ่ง ต่อให้เขายอมไว้หน้าข้า มอบครึ่งเล่มล่างให้เจ้าจริง เจ้าจะกล้าเอามาฝึกบำเพ็ญตนจริงหรือ?’
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจ คุณชายบ้านตนไม่โง่เลยจริงๆ
หลี่ไหวให้ความเคารพคนที่อาวุโสกว่า จึงไม่สะดวกจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เฒ่าตาบอดอาจารย์เกินครึ่งตัวของเขาคนนั้นพูดง่ายกับเขาหลี่ไหวมาก แต่กับเจ้าเหล่าเนิ่น ยากแล้ว
อันที่จริงเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างผู้นี้ก็มีแต่อยู่กับเฒ่าตาบอดเท่านั้นที่ถูกบดบังความมีหน้ามีตาไปจนสิ้น ไม่อย่างนั้นแล้วหากพูดถึงแค่บนเกาะยวนยาง นับตั้งแต่หนันกวงจ้าวไปจนถึงเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยว แล้วไปจนถึงพวกคนที่ชมศึกอยู่ไกลๆ อย่างฉินจ่าว เหยียนเก๋อและเทียนหนี ใครที่กล้ามองนักพรตเนิ่นผู้นี้เป็น ‘ตาแก่หนังเหนียว’ ที่ไร้กลอุบายบ้าง? ส่วนก่อนที่นักพรตเนิ่นจะกลายมาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น ในเมื่อเคยต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังกับหยวนโส่วราชาบนบัลลังก์เก่ามาหลายครั้ง จะเป็นคนที่มีเรื่องด้วยง่ายได้อย่างไร? ในประวัติศาสตร์ของเปลี่ยวร้างเคยมี ‘คนหนุ่ม’ คนหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมากะทันหัน ขอบเขตบินทะยาน มีฉายาว่า ‘หยวนโส่วน้อย’ ในวิถีแห่งการย้ายภูเขาชำนาญเข้าขั้น เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปีก็ไม่รู้ว่ากินภูเขาและศาลบรรพจารย์ไปกี่หลายร้อยแห่งแล้ว เป็นเหตุให้โลกภายนอกต่างก็เดากันว่าหากเขาเจอกับเถาถิง สรุปแล้วจะมีโอกาสชนะกี่ส่วน บางคนเดาว่าอย่างน้อยก็ต้องห้าส่วน
ผลคือผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีหน้ามีตาอยู่พักหนึ่งผู้นี้ มีครั้งหนึ่งระหว่างที่เดินทางไปข้างนอกได้ถูกเถาถิงไปดักขวางทาง ทั้งสองฝ่ายโรมรันต่อสู้กันจนสนามรบกินอาณาบริเวณหลายล้านลี้ หลังจากสงครามใหญ่ที่ต่อสู้กันอย่างเต็มคราบผ่านพ้นไปก็เหลือแค่เถาถิงเพียงคนเดียวที่หยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตบหน้าท้อง ส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า ‘กินอิ่มได้แค่ห้าส่วน’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!