นักพรตเนิ่นเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ขอแค่คุณชายของตนได้อ่านหนังสือก็จะต้องขมวดคิ้ว จริงจังก็จริงจังอยู่หรอก แต่จะอ่านเข้าหัวกี่มากน้อย หึหึ
พูดถึงแค่ตำรา ‘หลอมภูเขา’ เล่มที่อยู่ในมือ นักพรตเนิ่นอยากจะให้คุณชายเปิดอ่านดู ผลคือหลี่ไหวโบกมือส่ายหน้าโดยตรง บอกว่าจะให้ข้าอ่านตำราเล่มนี้ทำไม? อ่านเข้าใจหรือ? ต่อให้อ่านเนื้อหาเข้าใจ ด้วยคุณสมบัติของข้าจะสามารถฝึกตนได้หรือ? นักพรตเนิ่นเจ้าคิดอะไรอยู่ จงใจอยากเห็นเรื่องตลกของข้าหรือ?
แต่บอกตามตรง นักพรตเนิ่นรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองได้ ‘หลอมภูเขา’ ครึ่งเล่มล่างมา สำหรับเรื่องของการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ นักพรตเนิ่นก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
หยวนโส่วผู้นั้นอาศัยสงครามใหญ่ครานั้นกลืนกินภูเขาของสองทวีปอย่างฝูเหยาและใบถงไปกี่มากน้อย? แล้วอย่างไร? ก็ยังเป็นขอบเขตบินทะยานอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ
อีกอย่างในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ก่อนหน้านี้นักพรตเนิ่นใช้ฉายาว่าหลงซานกง ใช้สถานะของคนที่ชื่อว่าโอ่วหลูเดินทางท่องไปทั่วใต้หล้า ก็พอจะเดาเบาะแสออกได้แล้วว่า เหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งซึ่งเคยถูกขนานนามว่าคุณสมบัติบดขยี้คนขอบเขตเดียวกันผู้นี้ เคยเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงบนอักษรคำว่า ‘ภูเขา’ มาก่อน มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ครั้งหนึ่ง หรืออาจถึงสองขั้นล้วนไร้ผล เหวยเซ่อถึงได้หมดอาลัยตายอยากเช่นนี้
“เหล่าเนิ่น”
นักพรตเนิ่นถามอย่างกังขา “คุณชาย มีอะไรหรือ?”
หลี่ไหวกล่าว “ข้ามีความคิดที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างหนึ่ง เจ้าลองฟังดูก็แล้วกัน หากพูดไม่ถูก แล้วเจ้ารู้สึกว่าไร้สาระก็อย่าหัวเราะ”
เวลานี้นักพรตเนิ่นก็เริ่มตีหน้าเคร่งกลั้นขำแล้ว “เชิญคุณชายพูดได้เลย”
หลี่ไหวเอ่ยเสียงเบาว่า “เหล่าเนิ่น ขอบเขตของเจ้าสูงขนาดนี้ หากบอกว่าอาศัยการขนย้ายภูเขา กินรากภูเขาแต่ละเส้น จากนั้นอาศัยวิชาอภินิหารในการย่อยพวกมัน แน่นอนว่าย่อมเพิ่มตบะได้ ค่อยๆ ขยับขอบเขตให้สูงทีละเล็กทีละน้อย แต่ข้ากลับรู้สึกว่า…ห่างจากการเป็นเทพเซียนบนภูเขาของพวกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่างจากมหามรรคา…สำหรับในใจของผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคา ยังมีระยะห่างอยู่อีกมาก ตำราโบราณในมือเจ้าเล่มนี้ไม่ได้ชื่อว่า ‘หลอมภูเขา’ หรอกหรือ หลังจากหลอมมันแล้วก็จะได้เห็นสถานที่ที่ไม่ขาดสายน้ำ ขาดก็แต่ภูเขาหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นบางครั้งเจ้าก็พ่นภูเขาออกมาสักสองสามลูกเถอะ…ก็เหมือนอย่างในตำราที่ข้าเพิ่งอ่านเมื่อครู่นี้ มีประโยคหนึ่งบอกว่า ‘ฝึกวิชาสามพันถึงขั้นสมบูรณ์ ก็เพื่อสร้างรากฐานแห่งมรรคกถา’ คำว่ารากฐานที่ว่านี้ก็คือพูดถึงบ้านเรือนที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราพักอาศัย ไม่ได้พูดถึงรากภูเขาตีนเขาสักหน่อย ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลมากเลย เดี๋ยวนะ ขอให้ข้าได้เปิดดูก่อน นี่ไง ยังมีประโยคนี้ คนที่เขียนตำราเล่มนี้ยังบอกไว้อีกประโยคว่า ‘ลงน้ำหลอมไฟ พักภูเขาหลอมหยก ไยต้องบอกท่านว่าเป็นถ้ำสวรรค์’ …ดูเหมือนว่ายังมีประโยคนี้ด้วย ‘อาศัยหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก หินภูเขาคือภูเขานอกกาย หยกนี้คือภูเขาในใจ’ ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ว่าฟ้าดินคือบิดามารดาของหมื่นสรรพสิ่งที่ลัทธิเต๋ากล่าวถึง หรือคำว่านักเดินทางในฟ้าดินของนักประพันธ์ และยังมีคำว่า ‘ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง’ ที่สามลัทธิอย่างขงจื๊อพุทธเต๋าชอบพูดถึง ข้ารู้สึกว่าสืบสาวราวเรื่องกันแล้ว คืออะไรนั้นบอกได้ยาก แต่อย่างน้อยข้าก็มั่นใจในเรื่องหนึ่งว่ามันต้องไม่ใช่…เรื่องที่คล้ายคลึงกับการเล่นหมากล้อม ไม่จำเป็นต้องแบ่งแพ้ชนะ ไม่ใช่ว่าเจ้ามากข้าน้อย เรื่องของการฝึกตนไม่ใช่ความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามที่ว่าเจ้ามีข้าไม่มี เจ้าเพิ่มข้าจึงลด เมื่อเอามาใช้กับเจ้าเหล่าเนิ่น หากเอาแต่คอยค้นหาเทือกเขา ขุนเขาและเส้นชีพจรมังกรจากฟ้าดินอยู่ตลอด ต้องกินไปตลอดทาง เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุด? คงไม่อาจกินห้าขุนเขาที่มีชื่อเสียงในใต้หล้าลงไปทั้งหมดหรอกกระมัง? ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหากนะ ถ้าหากตลอดทั้งฟ้าดินสามารถถูกมองเป็นผู้ฝึกตนใหญ่บางคนที่คล้ายคลึงกับองค์เทพที่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็พระภิกษุสมณศักดิ์สูงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม คิดดูแล้วเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับการเอาแต่ได้ไม่รู้จักเสียสละอย่างไม่มีวันหมดสิ้นของผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์ก็คงรู้สึกรำคาญเหมือนกันกระมัง ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่? แต่ข้าเป็นคนนอกในเรื่องของการฝึกตน ก็แค่พูดเหลวไหลไปสองสามประโยคเท่านั้นเอง”
แรกเริ่มนักพรตเนิ่นยังมีสีหน้าผ่อนคลาย แต่พอได้ยินหลี่ไหวพูดคำว่า ‘มหามรรคา’ ออกมา จิตแห่งมรรคาก็พลันสั่นสะเทือน อยู่ดีๆ นักพรตเนิ่นก็กระปรี้กระเปร่าได้ทันใด ยืดเอวตรง นั่งสงบสำรวมตามจิตใต้สำนึก รอกระทั่งหลี่ไหวเอ่ยคำว่า ‘รากฐานแห่งมรรคกถา’ สีหน้าของนักพรตเนิ่นก็แปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พอเอ่ยคำว่า ‘พักภูเขาหลอมหยก’ นักพรตเนิ่นก็ดีใจจนหลงระเริง…หลงลืมทุกอย่างไป…
รอกระทั่งหลี่ไหวพูดจนปากคอแห้งผากแล้วจึงหยุดเสียงลง ก็ไม่สนว่าเหล่าเนิ่นฟังแล้วจะหัวเราะเยาะรู้สึกว่าน่าขันหรือไม่ ถึงอย่างไรหลี่ไหวก็ได้พูดจนตัวเองรู้สึกกระอักกระอ่วนเต็มที่ไปแล้ว
พูดจาสะเปะสะปะไม่มีลำดับ เหยียบเปลือกแตงโมลื่นไปถึงตรงไหนก็ตรงนั้น ไม่มีระเบียบขั้นตอน...
หากเฉินผิงอันอยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ
ผู้เฒ่าชุดเหลืองพลันคืนสติ ยื่นมือมาตบธรณีประตูที่อยู่ใต้ก้นเบาๆ พึมพำว่า “ข้าบรรลุมรรคาแล้ว ข้ามองเห็นมรรคาแล้ว”
หลี่ไหวก้มหน้าลงมองหน้าปกของตำราเล่มนั้น คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้แซ่หลวี่นามเหยียน
นักพรตเนิ่นสีหน้าสดใสแช่มชื่น ดวงตาทั้งคู่เหมือนมีประกายแสงพริบพราวกระเพื่อมไม่หยุด เงยหน้าถามว่า “คุณชาย ตำราเล่มนี้ใครเป็นคนเขียนหรือ?”
หลี่ไหวยิ้มกล่าว “หลวี่เหยียน ดูเหมือนจะเป็นนักพรตคนหนึ่ง”
นักพรตเนิ่นถามอย่างสงสัย “อักษรตัวไหน เหยียนที่แปลว่าภาษาหรือ? หรือว่าเหยียนที่แปลว่าหินผา?”
หลี่ไหวกล่าว “เหยียนที่มีอักษรซานอยู่ด้านล่างอักษรผิ่นอยู่ข้างบน”
นักพรตเนิ่นลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อ หันหน้าเข้าหาหลี่ไหวและโต๊ะตัวนั้น ก้มคารวะสามกราบ กราบหลี่ไหว กราบตำรา กราบหลวี่เหยียน
เรือนหลังที่อยู่ใกล้กัน เฉินหลิงจวินนั่งยองอยู่บนขั้นบันได มองกวอจู๋จิ่วที่ฝึกท่าหมัดเดินนิ่งพลางส่งเสียงฮื่อฮ่าไปด้วย
ทางฝั่งของพรรคหวงเหลียงนี้ บนภูเขาไม่มีธรรมเนียมกินอาหารคืนข้ามปี เฉินหลิงจวินกับนักพรตเนิ่นช่วยกันออกความคิดว่าเป็นแขกควรตามใจเจ้าบ้าน จึงละเว้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะดูเรื่องมากเกินไป และมีแต่จะทำให้พรรคหวงเหลียงรู้สึกลำบากใจ
เฉินหลิงจวินถาม “กวอจู๋จิ่ว เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่นะ ทำไมต้องฝึกท่าเดินนิ่งวิชาหมัดอยู่ทุกวันด้วย?”
กวอจู๋จิ่วกระโดดขึ้นสูง หมุนตัวเหวี่ยงเท้า พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็เอ่ยว่า “ความมานะชดเชยข้อบกพร่องได้”
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน ข้าถามเจ้าเรื่องนี้หรือ?
กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “คนที่ชื่อหวงชงผู้นั้นเป็นฮ่องเต้จริงๆ หรือ?”
หวงชงผู้นั้นคือฮ่องเต้คนแรกที่กวอจู๋จิ่วได้เห็นหลังจากมาเยือนใต้หล้าไพศาล
เฉินหลิงจวินลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอวฉับ เชิดหน้าพูด “เจ้าหมายถึงพี่น้องหวงชงของข้าน่ะหรือ เขาย่อมต้องเป็นฮ่องเต้ของหนึ่งแคว้นอยู่แล้ว ไม่มีมาดอะไรเลยใช่ไหม ก็แค่พฤติกรรมยามดื่มเหล้าแย่ไปสักหน่อย เรื่องอื่นๆ ที่เหลือก็หาข้อบกพร่องไม่เจอแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินหลิงจวินก็เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ข้าได้ป่าวประกาศออกไปแล้ว กวอจู๋จิ่ว วันหน้าหากอยู่กับนายท่าน เจ้าช่วยพูดจาดีๆ แทนข้าสักสองสามประโยคได้ไหมล่ะ”
กวอจู๋จิ่วอืมรับ “แน่นอนอยู่แล้ว”
กลับกลายเป็นว่าเฉินหลิงจวินต้องอึ้งงันเสียเอง “หา? เจ้ายินดีช่วยจริงๆ หรือ?”
กวอจู๋จิ่วถามอย่างสงสัย “ข้าเจออาจารย์พ่อก็มีคำพูดเป็นกระบุงใหญ่อยากจะพูด ก็แค่ช่วยพูดจาดีๆ แทนเจ้าไม่กี่คำ เหมือนใส่ตะแกรงใบเล็กลงไปในกระบุงใบใหญ่ มีอะไรให้ยินดีไม่ยินดีกัน”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารัวเร็วเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ในใจรู้สึกอุ่นซ่าน เกือบจะน้ำตาไหลออกมาเสียแล้ว
เว่ยซานจวินที่ไร้คุณธรรมในยุทธภพสิบคนก็สู้กวอจู๋จิ่วที่มีใจของจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมไม่ได้จริงๆ!
กวอจู๋จิ่วพลันหยุดท่าเดินนิ่ง “ไปหาหลี่ไหวนะ”
เฉินหลิงจวินลุกขึ้นยืน ถามอย่างง่ายๆ “ไปทำอะไร?”
แต่กวอจู๋จิ่วเป็นคนคิดเร็วทำเร็วมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดีดปลายเท้าหนึ่งทีก็กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง เอ่ยว่า “ไปหาหลี่ไหว ให้เขาร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตน่ะสิ ศิษย์พี่หญิงใหญ่เคยบอกว่าศักดิ์สิทธิ์มากเลยล่ะ ทดลองหลายครั้งก็ยังไม่พลาด!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!