บรรยากาศในศาลากลับปรองดองกว่ามาก
พอได้ยินว่านักพรตลู่จากอารามชิวหาวถึงกับเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ที่ขึ้นเขามาพร้อมกับเจ้าขุนเขาเฉิน ทุกคนก็พากันเงียบเสียง
แน่นอนว่าไม่กล้าเชื่อ เพียงแต่ว่าต่อให้จะน่าเหลือเชื่อแค่ไหนก็จำต้องเชื่อ เพราะถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ ใครจะกล้าแต่งเรื่องพูดโกหก?
ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนที่เดิมทียังมีท่าทางเกียจคร้าน แต่ละคนกลับเปลี่ยนมามีสีหน้าจริงจัง พอมองนักพรตหนุ่มอีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาหล่อเหลามากกว่าเดิมหลายส่วน
นักพรตหนุ่มทำเหมือนนักเล่านิทานของล่างภูเขาที่เริ่มพูดย้อนทวนความทรงจำของตัวเอง “เสี่ยวเต้ากับเจ้าขุนเขาเฉิน แม้จะไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน แต่ก็เป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมยากที่รู้จักกันตอนที่ยังเป็นคนไม่มีชื่อเสียง เป็นสหายรักที่แค่เจอหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน หากเปลี่ยนคำกล่าวที่ฟังไพเราะกว่านี้ก็คือยามที่พบเจอกันครั้งแรกทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเด็กหนุ่มด้วยกันทั้งคู่ ตอนนั้นเสี่ยวเต้ากับเจ้าขุนเขาเฉินต่างก็ยังไม่ได้ร่ำรวย จากนั้นข้ากับเจ้าขุนเขาเฉินที่ถูกชะตากันมากก็ออกเดินทางไกลไปด้วยกัน เคยไปพักค้างแรมกันในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งหนึ่ง ฝันว่าได้ไปเยือนกองงานโชคลาภ ได้เจอกับขุนนางหลักของกองโชคลาภที่สวมชุดคลุมสีม่วงรัดเข็มขัดหยกแต่งกายเหมือนขุนนางผู้พิพากษา…”
มีสตรีคนหนึ่งฟังมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ไหวขัดขังหวะคำพูดของนักพรตหนุ่ม ถามอย่างสงสัยว่า “ในบรรดาที่ว่าการของกองงานมากมายในศาลอภิบาลเมือง ยังมีสถานที่อย่างกองงานโชคลาภอยู่ด้วยหรือ?”
ในบรรดาที่ว่าการมากมาย ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเมืองหลวงของแคว้นเมิ่งเหลียงมีที่ว่าการอยู่น้อย แต่ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตประจำอำเภอที่มีที่ว่าการอยู่มาก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ว่าการนี้อยู่
สตรีในศาลาต่างก็พากันส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน
นักพรตหนุ่มทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ก็นั่นน่ะสิ เรื่องราวก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ เอาเป็นว่าเคยได้เจอเรื่องประหลาดมามากมายก็แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่นขุนนางชั้นผู้น้อยในศาลเทพอภิบาลเมืองคุมตัวนักโทษกลุ่มหนึ่ง ท่านเทพอภิบาลเมืองทำการพิพากษายามค่ำคืน ในบรรดานั้นก็มีสตรีที่ตรงลำคอมีเชือกเส้นหนึ่งห้อยอยู่ สวมชุดสีแดง ใบหน้าเศร้ารันทด นางชอบเงยหน้าขึ้นตามความเคยชิน แลบลิ้นออกมาน้อยๆ และยังมีสตรีอีกคนหนึ่งที่สวมตรวนครอบศีรษะเดินอยู่ในระเบียง เดินประหนึ่งล่องลอยไปตามสายน้ำ เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะเหมือนพืชน้ำที่ลอยพลิ้ว หลังจากนั้นก็มีลูกหลานตระกูลร่ำรวยลักษณะคล้ายคุณชายผู้สูงศักดิ์ห้าคนที่พาอนุภรรยาและสาวใช้หน้าตางดงามมาด้วยกลุ่มใหญ่ มาดื่มเหล้ากับขุนนางหลักของจวนอื่นในศาลเทพอภิบาลเมือง ยามดึกดื่นค่ำคืนก็มีสตรีคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีขาวขี่ม้าขาว บอกว่าตัวเองแซ่ป๋าย คือเซียนอิสระที่ฝึกตนอยู่ล่างภูเขาของนครชิงเฉิง คืนนี้มาพักค้างแรมที่นี่…เรื่องราวสารพัดหลากหลาย เต็มไปด้วยความประหลาดมหัศจรรย์ เกิดขึ้นต่อเนื่องติดกันจนแทบไม่อาจกะพริบตาได้ ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าหนึ่งค่ำคืนพบเห็นเรื่องราวร้อยปีในโลกมนุษย์จริงๆ”
“หลังจากเสี่ยวเต้าฟื้นตื่นจากความฝัน คิดไปคิดมา พอไปเปิดอ่านตำราโบราณทั้งหลายคิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอย่างพวกเจ้านี่แหละ แล้วก็ไม่กล้าคิดเป็นจริงเป็นจัง โชคดีที่มีญาติมิตรคอยให้การสนับสนุน บังเอิญที่เสี่ยวเต้ากับญาติของ…นักพรตคนหนึ่งของฝ่ายตรวจสอบแห่งอารามชิวหาวสำนักโองการเทพพอจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง คนของฝ่ายตรวจสอบผู้นั้นเห็นว่าฐานกระดูกของเสี่ยวเต้าไม่ธรรมดา ถึงกับไม่ยินดีจะรับเป็นลูกศิษย์โดยตรง แต่รับศิษย์แทนอาจารย์ หลังจากนั้นมาเสี่ยวเต้าก็ถือว่าได้เริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนเจ้าขุนเขาเฉิน ปีนั้นหลังจากจากลากันที่กองโชคลาภของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งเจอวาสนาใหญ่ เหมือนกับมังกรที่ตกลงไปสู่บ่อโคลนจริงๆ ยากจะพลิกตัวดิ้นหนี ยุงและแมลงวันเกาะตอมเต็มเกล็ด ถูกกักขังไว้ภายไว้ ในที่สุดวันนี้ก็มีสายลมพัดโชยสายฝนชะล้างความมืดมน รอแค่เสียงอสนีบาต มังกรโคลนในสระก็กลับคืนมามีชีวิตชีวา สะบัดร่างทะยานโผบินขึ้นกลางอากาศ!”
“บุปผาสองดอกผลิบาน หนึ่งดอกหนึ่งกิ่ง เสี่ยวเต้ายังไม่พูดถึงวีรกรรมมากมายในภายหลังของเจ้าขุนเขาเฉินอย่างละเอียด”
“พูดถึงแค่ตอนที่เสี่ยวเต้าฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จ คนบนภูเขาเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ นิ่งสงบอยู่นานวันเข้าก็อยากจะขยับตัว จึงเริ่มลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ในโลกโลกีย์ เจอปีศาจกำจัดปีศาจ เจอผีพิฆาตผี ช่างสะใจยิ่งนัก พอจะถือว่าได้รับชื่อเสียงยิ่งใหญ่มาจากยุทธภพได้อยู่บ้าง ท่องพเนจรไปตลอดทาง กระทั่งเดินทางไปถึงซากปรักของสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง มีแม่น้ำใหญ่กั้นขวาง ภูเขาสองลูกคุมเชิงกัน นับแต่โบราณมาก็มีคำกล่าวที่ว่าเต่าและงูกักขังมหานที (เต่าและงูมาจากชื่อของภูเขากุยซานและเสอซาน) ผลคือเป็นอย่างไรพวกเจ้าลองเดาดูสิ? สถานที่ที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นถึงเพียงนี้ กลับต้องมาเจอภัยแล้งใหญ่ที่หลายร้อยปีก็ยากจะพานพบ ชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่กันไม่เป็นสุข เสี่ยวเต้าฝึกคาถาเซียนมาแล้ว แต่กลับยังมีจิตใจที่กระตือรือร้นอยากช่วยเหลือผู้อื่น เสี่ยวเต้าจึงทำมุทรา ร่ายคาถาหลบน้ำที่เป็นวิชาลับสืบทอดมาจากอารามชิวหาว แบ่งแยกคลื่นน้ำ มุ่งหน้าไปยังจวนวารีที่ตั้งอยู่แม่น้ำตอนบน ไปขอฟังคำอธิบายจากทางฝั่งนั้น ดีนักนะ พวกเขาไม่เห็นเสี่ยวเต้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ได้กินน้ำแกงประตูปิดโดยตรง เสี่ยวเต้าก็ยังอดทน ไปที่แม่น้ำตอนล่างขอยืมน้ำจากหูจวินที่จวนหูจวินซึ่งเป็นที่ตั้งเก่าของวังมังกรมาอีก หวังให้เขากรอกน้ำเข้าใส่ท้องน้ำที่อยู่ตอนบน แต่กระนั้นก็ยังไร้ผล เสี่ยวเต้าโมโหยิ่งนัก ได้แต่แสดงฝีมือเอง หลายวันที่ไม่ได้ข่มตาหลับ เพียงแค่เพื่อตรากตรำศึกษายันต์ตระกูลเซียนบทหนึ่ง คงเป็นเพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดินซาบซึ้ง ยันต์ใหญ่ที่ธรณีประตูสูงมากบทนี้กลับถูกเสี่ยวเต้าเรียนรู้จนสำเร็จได้จริง เสี่ยวเต้าจึงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถือศีลกินอาหารเจ ก่อนจะไปที่หอเรือนสูงริมแม่น้ำ เผากระดาษยันต์ละลายไปในสุรา จากนั้นเสี่ยวเต้าก็ดื่มไปแค่เกือบครึ่งกาแล้วโยนกาเหล้าทิ้งไปนอกหอ สุราเหมือนน้ำตกที่ไหลหล่นลงไป สายน้ำจากสุราที่ไหลไม่ขาดสายกรอกเทเข้าสู่ท้องน้ำที่แห้งขอดจนเห็นก้นบึ้ง ไม่มีแม้แต่ปลาเป็นๆ สักตัว นับแต่นั้นมากระแสน้ำในแม่น้ำก็ไหลเชี่ยวกราก พืชหญ้าเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์…”
พวกผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ในศาลาหันมามองหน้ากันเอง
ควรจะไชโยโห่ร้องให้การสนับสนุนดี หรือถามอย่างกังขาดี? นักพรตลู่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตที่ต่ำที่สุดแล้วนะ พูดถึง ‘ยันต์ใหญ่’ ‘ธรณีประตูสูงมาก’ อะไรนั่น ฟังแล้วออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่?
ต้องรู้ว่าเวลานี้ในศาลามีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งกับขอบเขตถ้ำสถิตสองคนนั่งอยู่ด้วยนะ
ชิงถงเริ่มขยับเท้าเดินไปยังที่แห่งอื่น ไม่คิดจะอยู่ฟังต่อไป เจ้าลัทธิลู่ยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนเปื้อนไปใหญ่
คนอื่นคุยโวไม่ต้องร่างคำพูด ล้วนเป็นการคุยโวโอ้อวดให้ตัวเอง แต่ลู่เฉินกลับไม่เหมือนกัน เหมือนจะเป็นในทางตรงกันข้าม?
ผู้เฒ่าชุดเหลืองคนหนึ่งเดินมาถึงที่ศาลา เหล่าสตรีก็พากันแยกย้ายจากไปแล้ว มีเพียงนักพรตหนุ่มที่สวมกวานหางปลาเท่านั้นที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ยาว เขาอ้าปากหาว ตรงข้างเท้าวางกาเหล้าว่างเปล่าไว้กาหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทั้งช่วยดูดวงและก็เป็นนักเล่านิทานให้พวกเทพธิดากลุ่มนั้นฟัง เปลืองน้ำลายไปถังใหญ่ ต้องดื่มเหล้าสักหน่อยให้ลำคอชุ่มชื้น จิตใจกระปรี้กระเปร่า
ลู่เฉินเห็นว่านักพรตเนิ่นมาหยุดอยู่นอกศาลาแล้วไม่เดินหน้าต่อก็กวักมือยิ้มเอ่ย “นั่งลงคุยกันสิ”
นักพรตเนิ่นถึงได้กล้าเดินขึ้นบันไดมา
ก่อนหน้านี้อยู่ในภาพมายา อันที่จริงทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยกัน เพราะเพียงไม่นานลู่เฉินก็ส่งนักพรตเนิ่นออกมาจากเขตแดนอย่างมีมารยาท
ลู่เฉินถาม “สถานะของผินเต้า ผู้อาวุโสเถาถิงคงไม่ได้บอกกับหลี่ไหวกระมัง?”
นักพรตเนิ่นส่ายหน้า “ไม่กล้าทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน”
ก่อนหน้านี้ก็มีคำเตือนที่แทบจะใกล้เคียงกับคำข่มขู่ของอิ่นกวานหนุ่ม แล้วยังมามีการกระทบกระเทียบจากเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิง นักพรตเนิ่นในเวลานี้ไม่มีความมั่นใจมากพอ พลังอำนาจก็ไม่น่าเกรงขาม
ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ย “เฉินผิงอันพูดจารุนแรงกับเจ้า ในใจเจ้าคงไม่สบอารมณ์สินะ?”
นักพรตเนิ่นกระตุกมุมปาก “ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็หวังดีกับคุณชายของข้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!