ฮ่องเต้หนุ่มของแคว้นเมิ่งเหลียง เหนียงเนียงเทพวารีแซ่สองพยางค์น่าหลัน เหมยซานจวิน ยังคงหนึ่งนั่งสองยืน รอคอยอยู่ในศาลา
หวงชงกลับหวังให้พวกเขาสองคนทำตัวตามสบายกว่านี้อีกสักหน่อย ทว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำทั้งสองกลับเคารพกฎปฏิบัติระหว่างจักรพรรดิและขุนนางอย่างเคร่งครัด อันที่จริงในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำ นี่ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ซานจวินห้ามหาบรรพตของหนึ่งแคว้นกับเทพวารีตำแหน่งสูงอันดับหนึ่งในแคว้น ได้เจอกับฮ่องเต้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
แต่เหมยซานจวินที่มีชาติกำเนิดจากวิญญาณวีรบุรุษแม่ทัพบู๊ของราชวงศ์ก่อน ยอมรับนับถือในตัวฮ่องเต้หนุ่มพระองค์นี้จากใจจริง เหมยซานจวินไม่ยอมนั่ง น่าหลันอวี้จือที่มีระดับขั้นบนทำเนียบหยกทองเท่ากันก็ได้แต่ทำตามเท่านั้น
จู่ๆ ก็มีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งโผล่มา น่าหลันอวี้จือใช้นิ้วทำมุทราเงียบๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ใจกล้าไม่น้อย บังอาจบุกเข้ามาในที่พักส่วนตัวโดยพลการ”
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มคนนั้นแสร้งทำเป็นไขสือ “หา? หรือว่าเสี่ยวเต้าเดินมาผิดทาง? แบบนี้ก็ได้หรือ ดูท่าเสี่ยวเต้าจะมีโชควาสนากับพี่สาวท่านนี้”
สวมกวานหางปลา นั่นก็ต้องเป็นนักพรตที่ได้รับหนังสือรับรองการออกบวชจากสำนักโองการเทพแล้ว
ในแจกันสมบัติทวีป ใครกล้าไม่เห็นกฎทองบัญญัติหยกของสำนักโองการเทพอยู่ในสายตา กล้าสวมรอยเป็นนักพรตของสำนักโองการเทพ
เหมยซานจวินเหลือบมองนักพรตแล้วใช้เสียงในใจเอ่ย “ฝ่าบาท นักพรตผู้นี้มาจากสำนักโองการเทพจริงๆ เพราะด้านหลังมีโคมดวงหนึ่งลอยอยู่ เขียนตัวอักษรที่ทำด้วยกรรมวิธีลับของอารามชิวหาว คือคนที่ได้รับการปกป้องจากทางสำนัก มองดูภายนอกเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเซียนดินโอสถทอง แต่ก็น่าจะเพิ่งสร้างโอสถได้แค่ไม่กี่ปี ภาพบรรยากาศจึงไม่มั่นคงนัก”
น่าหลันอวี้จือขมวดคิ้ว “ไอ้หมอนี่เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ทำไมถึงไม่มีริ้วลมปราณกระเพื่อมเลยแม้แต่น้อย?”
เหมยซานจวินหัวเราะหยัน “ผีเท่านั้นที่รู้”
หวงชงบอกเป็นนัยแก่พวกเขาว่าไม่ต้องตึงเครียด ผู้ที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก พวกผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัยมีมาดแห่งเซียนกลิ่นอายแห่งมรรคา คือคนส่วนใหญ่ แต่พวกที่นิสัยประหลาด วิชาคาถาแปลกไม่เหมือนใคร ชอบออกมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
“ในเมื่อมาผิดที่ ผินเต้าก็จะแก้ไขความผิดแล้วกัน”
นักพรตหนุ่มวิ่งเหยาะๆ ขึ้นบันไดมา พอหยุดยืนนิ่งก็เอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองสถานการณ์หมากล้อมที่ผลแพ้ชนะชัดเจน พยักหน้าเอ่ยว่า “ฝั่งที่ถือหมากสีขาวคือยอดฝีมือขั้นสูงสุดคนหนึ่ง”
เหนียงเนียงเทพวารียื่นนิ้วมาดันหว่างคิ้ว เจ้าหมอนี่มรรคกถาสูงหรือไม่บอกได้ยาก แต่ฝีมือเล่นหมากล้อมต้องห่วยแตกแน่นอน
หวงชงยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ ยิ้มถามว่า “ขอถามท่านนักพรตว่าทำไมถึงพูดเช่นนี้? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเม็ดหมากสีดำต้องชนะได้แน่นอน?”
ฝ่ายที่ถือเม็ดหมากสีขาวก็คือตน
“การเล่นหมากล้อมคือเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดในใต้หล้า เดิมพันสูงอาจแพ้ แต่ฝีมือสูงไม่มีทางแพ้อย่างไรล่ะ”
นักพรตหนุ่มคีบเม็ดหมากสีขาวมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือเม็ดหมากสีดำ ช่วยวางหมากลงบนกระดานดังเพี๊ยะๆๆ เสียงใสกังวาน ด้านหนึ่งวางเม็ดหมาก อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยว่า “หากเป็นบนโต๊ะพนัน เว้นเสียจากว่าเจ้าใช้กลโกงเอาเปรียบ หาไม่แล้วต่อให้เจ้าเป็นยอดฝีมือล้ำเลิศแค่ไหน แต่โชคไม่ดี ต่อให้เจอกับเด็กน้อยอ่อนหัดที่เพิ่งลงสนาม อีกฝ่ายโชคดี ยกตัวอย่างเช่นโยนลูกเต๋าได้หกหกหกทุกครั้ง ยอดฝีมือก็ยังมีช่วงเวลาที่แพ้ได้อยู่ดี แต่วิถีแห่งหมากล้อม บางครั้งยอดฝีมือก็พลาดปล่อยให้เกิดช่องโหว่ วางหมากโง่ๆ ฝีมือย่ำแย่ ล้วนเป็นเพราะทักษะการเล่นหมากล้อมยังไม่ชำนาญเข้าขั้นสูงสุด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อเจอกับยอดฝีมือตัวฉกาจ ฝีมือแย่กว่าอยู่บ้าง แต่ที่พลาดไปก็แค่หมากเม็ดครึ่งเม็ด ไม่มีทางที่บนกระดานหมาก หมากดำจะตายสิ้น หมากขาวจะรอดได้ทั้งหมด”
“ส่วนยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมที่แท้จริงพวกนั้น เผชิญหน้ากับคนที่ฝีมืออ่อนด้อยกลับไม่มีเหตุผลที่จะต้องพ่ายแพ้ ยกตัวอย่างเช่นซิ่วหู่ชุยฉาน หรืออย่างเช่นเจิ้งจวีจง หรืออย่างเช่น…”
นักพรตหนุ่มยืดเอวตรง กระตุกคอเสื้อชุดคลุมเต๋า “ผินเต้าเอง…”
หยุดชะงักไปเล็กน้อยก็เอ่ยต่ออีกว่า “ที่มีศิษย์พี่อยู่คนหนึ่ง”
เหนียงเนียงเทพวารีหลุดหัวเราะพรืด “ชื่อของราชครูชุย เจ้าก็เรียกได้ตามใจชอบหรือ?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ชื่อไม่เอามาเรียก แล้วยังเอาไว้ทำอะไรได้อีก”
“เอ๊ะ แนวโน้มบนกระดานหมากนี้ ทำไมถึงไม่ค่อยเหมือนที่ผินเต้าคาดการณ์ไว้เลยล่ะ”
ผลคือคนสามคนในศาลาเห็นเจ้าหมอนั่นยื่นมือมากวาดเม็ดหมากบนกระดานจนเละเทะไปหมด
“ผินเต้าขอเอาคำพูดทั้งหมดก่อนหน้านี้กลับคืนมา ฮ่าๆ เอากลับคืนมา”
หวงชงอดไม่ไหวพูดกลั้วหัวเราะ “ท่านนักพรตช่างเป็นคนมหัศจรรย์เสียจริง ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”
“ลู่ฝูแห่งอารามชิวหาวสำนักโองการเทพ ตอนนี้ยังไม่มีฉายา ฉีเทียนจวินยังเคยได้เห็นหน้าของผินเต้าแค่ไม่กี่ครั้งเอง”
น่าหลันอวี้จือปิดปากหัวเราะคิก “มีเหตุผล ท่านนักพรตลู่ได้พบฉีเทียนจวินแค่ไม่กี่ครั้ง แน่นอนว่าท่านนักพรตลู่ต้องได้พบฉีเทียนจวินแค่ไม่กี่ครั้งจริงๆ”
นักพรตหนุ่มหัวเราะคิกคัก “พี่สาวคนนี้พูดจาน่าฟังจริงๆ น้ำเสียงไพเราะคล้ายเสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกันในชามกระเบื้องขาวที่ใส่น้ำบ๊วยเย็นๆ ในฤดูร้อน ทั้งยังเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ช่างสมกับคำกล่าวว่าดอกไม้เข้าใจภาษา (เปรียบเปรยถึงหญิงงามที่เฉลียวฉลาดเข้าใจผู้อื่น) ที่มีเสียงทองทำนองหยก ปราดเปรื่องเฉียบแหลมจริงๆ”
“เอ๊ะ การแต่งกายของพี่หญิงเหมือนกับผินเต้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย หรือจะเป็นผู้ที่เลื่อมใสซูจื่อ”
“บังเอิญยิ่งนัก ผินเต้าเคยโชคดีได้เดินทางท่องเที่ยวไปร่วมกับซูจื่ออยู่หลายเดือน ร่ำกวีขับร้องบทเพลง ถกมรรคาพูดถึงญาณ เบิกบานสำราญใจอย่างมาก”
หวงชงกระแอมอยู่หลายที ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมไม่ให้นักพรตลู่ผู้นี้พูดจาสนิทสนมเกินไปได้อย่างไร
น่าหลันอวี้จือเอ่ยสัพยอก “โอ้โห นี่จะถือว่าหมาเลิกผ้าม่านต้องอาศัยปากของตัวเองหรือไม่?” (เปรียบเปรยถึงคนที่ดีแต่ปาก ไร้ความสามารถที่แท้จริง)
นักพรตหนุ่มไม่โมโหแม้แต่น้อย กลับกันยังเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกข้าก็คงให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งตามมาที่นี่ด้วยแล้ว นั่นจึงจะเหมาะกับสถานการณ์”
สีหน้าของเหมยซานจวินขึงเกร็ง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ข้าทนไม่ไหวแล้ว สามารถไล่แขก ขับไล่ไอ้หมอนี่ออกไปได้หรือไม่?”
“อย่านะ บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาแห่งการออกคำสั่งไล่แขกของโลกมนุษย์ ผินเต้าก็พอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง…”
ในใจเหมยซานจวินสั่นสะเทือน นักพรตผู้นี้ถึงกับลอบฟังเสียงในใจของตนได้?
ไม่รอให้เหมยซานจวินเอ่ยเตือนฮ่องเต้และน่าหลันอวี้จือ เหนียงเนียงเทพวารีก็หันหน้าไปมองทางประตู ใช้เสียงในใจเตือนฮ่องเต้หนุ่มว่า “ฝ่าบาท มีคนมาเยี่ยมเยือน คือ…เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วผู้นั้น!”
นักพรตหนุ่มทำท่าลับๆ ล่อๆ ดูท่าแล้วน่าจะเตรียมเผ่นหนี
แต่กลับถูกน่าหลันอวี้จือคว้าแขนเอาไว้ “นักพรตลู่ จะไปไหนล่ะ? ตามคำกล่าวของเจ้า เดินผ่านทางมาแล้วก็อย่าได้เดินคลาดไปเลย”
นักพรตหนุ่มสะบัดข้อมือ แต่ดูเหมือนจะสลัดไม่หลุด จึงตบหลังมือของเหนียงเนียงเทพวารีเบาๆ พูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า “มาจากที่ไหนก็จะกลับไปที่นั่น ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
เหมยซานจวินไม่ใช้เสียงในใจพูดคุยอีกต่อไป แต่พูดออกมาตรงๆ ว่า “นักพรตลู่คือยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคา ในเมื่อได้ยินเสียงในใจของข้าผู้แซ่เหมยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นเทพเซียนก่อกำเนิดคนหนึ่งกระมัง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!