เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อู๋โจวผู้นี้ ข้าจะไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องนางก่อนเด็ดขาด”
ความนัยในความหมายนี้ก็คือ เจ้าอู๋โจวเองก็อย่ามาหาเรื่องข้า สองฝ่ายเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงยกมือขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อม้วนตวัดแรงๆ หนึ่งที บรรยากาศขมุกขมัว แต่กลับพอจะมองเห็นเงาร่างของนักพรตสองคนที่นั่งถกมรรคากันได้
นักพรตคนหนึ่งมีรูปโฉมเป็นวัยกลางคน บนศีรษะสวมกวานพุดตาน บุคลิกลักษณะอบอุ่นอ่อนโยน อีกคนหนึ่งเป็นนักพรตหนุ่ม สวมกวานดอกบัวบนศีรษะ หล่อเหลาสง่างาม
ก่อนที่ศิษย์พี่จะออกไปจากป๋ายอวี้จิงเคยทำการอนุมานมหามรรคาซึ่งต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจอย่างมหาศาลต่อหน้าลู่เฉินไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์ออกมาสามชนิด
ชนิดแรกคือทุกคนล้วนสามารถฝึกตน ล้วนเป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตน สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหลายซึ่งมีหวังว่าสติปัญญาจะเปิดออกแล้วได้หลอมเรือนกายก็สามารถฝึกตนอย่างสงบมั่นคงเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่หรือไม่ ทั่วทั้งฟ้าดินจะมีระเบียบมีขั้นตอนหรือไม่? ถึงขั้นที่ว่าผู้ฝึกตนมากมายหลายเผ่าพันธ์ของโลกมนุษย์ไม่ต้องถกเถียงกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ แต่สามารถรวบรวมแม่น้ำยาวที่พร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่า จับมือกันเดินทางไกลออกไปนอกฟ้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ออกไปบุกที่ดินแห่งใหม่ ต่างคนต่างใช้ดวงดาวดวงหนึ่งเป็นลานประกอบพิธีกรรม ต่างคนต่างแตกกิ่งก้านสาขา…
ชนิดที่สอง ปราณวิญญาณฟ้าดินไปรวมตัวกันอยู่ในที่ใดที่หนึ่งทั้งหมด ราวกับว่าโลกมนุษย์เข้าสู่ช่วงยุคเสื่อมที่มิอาจฝึกตนได้ก่อนกำหนด ตกอยู่ในสภาพการณ์เหมือนสตรีที่มีฝีมือแต่ไม่มีวัตถุดิบให้ปรุงอาหาร เป็นเหตุให้สรรพชีวิตในโลกมนุษย์ นอกจากคนที่ ‘ลอยห้อยฟ้า’ ไม่กี่คนซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว ทุกคนล้วนมิอาจฝึกตนได้เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น และในบรรดาคนเหล่านี้ก็มิอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการโคจรของฟ้าดิน อย่างมากสุดก็แค่ถูกจำกัดอยู่ใน ‘พื้นที่คับแคบห่างไกล’ แห่งหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในฟ้าดินกว้างใหญ่ไม่ออกไปไหน ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีในฟ้าดินเล็ก นอกจากนี้ก็จำเป็นต้องทำตามข้อตกลงลับๆ บางอย่าง จะลงมือเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งฟ้าดินได้ก็ต่อเมื่อเจอกับหายนะใหญ่บางอย่างเท่านั้น
ชนิดที่สามก็คือจมสู่สภาวะหุนตุ้น (กลุ่มธาตุอากาศที่สลัวปะปนกัน เชื่อว่าก่อนโลกจะถือกำเนิด จักรวาลอยู่ในสภาวะหุนตุ้นที่มีแต่กลุ่มธาตุอากาศ) อย่างสิ้นเชิง ความไร้ระเบียบก็คือระเบียบเพียงหนึ่งเดียว
ในความเป็นจริงแล้วยังมีผลลัพธ์อย่างที่สี่ด้วย
แต่ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ให้ลู่เฉินพิศมรรคา เพราะมรรคามิอาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด
ลู่เฉินกลับเดาออกแล้ว
คือ ‘ฟ้าดินเป็นหนึ่ง’
หรือก็คือเรื่องที่เจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีต โจวมี่แห่งเปลี่ยวร้างในภายหลังคิดจะทำ
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้ง สลายภาพบรรยากาศนั้นทิ้งไป ยื่นฝ่ามือที่ขาวนวลราวหยกออกมา แต่กลับใช้หลังมือหันขึ้นด้านบน ฝ่ามือหันลงเบื้องล่าง “หากเปลี่ยนข้ามาเป็นโจวมี่ อันดับแรก กลายเป็นหนึ่ง หลอมใหญ่ให้หนึ่ง”
พลิกหมุนฝ่ามือ ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันดับรองลงมา เรือนกายจำแลงได้นับพันนับหมื่น”
“หลังจากนั้นก็คือการฝึกบำเพ็ญตน พิสูจน์มรรคา บรรลุมรรคา สลายมรรคา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับภัยร้ายนี้อีก”
ลู่เฉินเอ่ยต่ออีกว่า “จากนั้นก็คือ…”
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้วน้อยๆ
ลู่เฉินใช้ศีรษะโขกเสาศาลาอยู่สองสามที ยิ้มเอ่ยอย่างรู้ทันว่า “คำว่า ‘จำแลงกาย’ นี้ที่ผินเต้าพูดถึง ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่จำแลงกายเป็นสรรพชีวิตเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พูดต่อเลย”
เข้าใจแล้ว ไม่เพียงแค่ใต้หล้าห้าแห่งในทุกวันนี้เท่านั้น แต่เป็นฟ้านอกฟ้าที่ป๋ายอวี้จิงคอยสยบกำราบและนรกอเวจีที่ดินแดนพุทธะสุขาวดีคอยนั่งบัญชาการณ์
และยังมีดวงดาวบรรพกาลทั้งหลาย ฯลฯ ที่ต่างก็ต้องถูกหลอมใหญ่ ก็เหมือนวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ถูกผู้ฝึกตนหลอม
รวบรวมให้เป็นหนึ่ง แล้วกระจายจากหนึ่งไปเป็นอีกมากมาย
ในขอบเขตเช่นนี้ อะไรคือหนึ่งกระบี่ฟันเปิดธารดวงดาวบนท้องฟ้า อะไรคือเป่าลมเบาๆ ก็สามารถเป่าให้ดวงดาวบรรพกาลดวงหนึ่งแหลกสลายหายไปได้ ล้วนไม่ถือว่าเป็นมรรคกถาอะไรเลย
ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ หรืออาจจะถึงขอบเขตสิบห้า เผชิญหน้ากับโจวมี่ผู้นั้นก็ล้วนเป็นความเลื่อนลอย เพราะเดิมทีก็คือส่วนหนึ่งบนมหามรรคาของเขาอยู่แล้ว
เฉินผิงอันยกขานั่งไขว่ห้าง มือถือกระบอกยาสูบ ใช้มันเคาะกับพื้นรองเท้าเบาๆ เคาะเอาเศษขี้เถ้าทิ้งไป ก่อนจะยัดยาเส้นใส่เข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มพ่นควันขโมงต่อ
ลู่เฉินอดไม่ไหวเอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “บ้านเรือนพันปีเปลี่ยนเจ้าของร้อยคน หนึ่งปีรื้อล้างหนึ่งปีใหม่”
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือ เก็บกระบอกยาสูบใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่น “เจ้าลัทธิลู่ คุยกันเรื่องเลื่อนลอยไปแล้ว พวกเรามาคุยอะไรที่เป็นจริงเป็นจังกันบ้างดีกว่า”
ลู่เฉินพลันรู้สึกหัวโตเท่ากระด้ง พอได้ยินคำเรียกขานด้วยความเคารพว่า ‘เจ้าลัทธิลู่’ นี้ ก็รู้แล้วว่าต้องไม่มีเรื่องอะไรดีเป็นแน่
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา “เงินฝนธัญพืชหกเหรียญ”
ลู่เฉินกล่าวอย่างจนใจ “มาเป็นแขกถึงบ้านมอบของขวัญให้ก็คือมารยาทที่สมควรมีนะ อีกอย่างอาจารย์หนีกับสหายชิงถงก็แค่เงินฝนธัญพืชสองเหรียญเท่านั้น สำหรับพวกเขาแล้วขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วงหรอก เกี่ยวข้องอะไรกับใต้เท้าอิ่นกวานด้วยเล่า”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พูดถึงพวกเขาสองคน ข้ายังมีของขวัญอีกชิ้นเตรียมจะมอบให้กับพรรคหวงเหลียง ดังนั้นเงินฝนธัญพืชสองเหรียญนั้นของข้าก็ต้องหักเป็นเงินร้อนน้อยยี่สิบเหรียญ เอามา”
ลู่เฉินได้ยินประโยคนี้ก็รู้ถึงความนัยลึกซึ้งที่แฝงอยู่ทันที ได้แต่ทำท่าลูบๆ คลำๆ หยิบเอาเงินร้อนน้อยกองหนึ่งออกมา ล้วนเป็นเงินร้อนน้อยที่หาได้ยากซึ่งเจ้าลัทธิลู่ต้องไปเก็บรวบรวมมาจากทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างยากลำบาก
เฉินผิงอันเลือกมายี่สิบเหรียญ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ก่อนที่ข้าจะลงจากภูเขา ก่อนที่เจ้าจะกลับไปยังป๋ายอวี้จิง ข้าเองก็มีม้วนภาพหนึ่งที่อยากให้นักพรตลู่ซึ่งเคยตั้งแผงดูดวงในเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตได้ดูอีกรอบ”
ลู่เฉินทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป
เขาอยากถามว่า ในเมื่อผินเต้าเคยดูแล้ว ไม่ขอดูอีกได้หรือไม่
เพียงแต่ในศาลากลับมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นมาแล้ว กลายมาเป็นเหมือนดินแดนในความฝันอีกครั้ง
ระหว่างฟ้าดิน
กายธรรมใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป
ทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายมาถึง ทะเลเมฆค่อยๆ ลดตัวลงต่ำ ขยับเข้าใกล้ศีรษะของกายธรรมร่างนั้น
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
จากนั้นก็มีฝ่ามือสีทองอร่ามข้างหนึ่งปั่นคว้านทะเลเมฆแห่งนั้นให้เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์ เซียนเหรินเรือนกายตระหง่านโอฬารที่ขนาดนั่งอยู่ก็สูงเท่าเทียมกับยอดบนสุดของชั้นเมฆผู้นี้ เรียกตัวเองว่า ‘เปิ่นจั้ว’
กายธรรมของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่จอนผมตรงหูสองข้างเป็นสีดอกเลา เปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นหมัด ยื่นมือไปกุมไข่มุกเม็ดนั้นไว้กลางมือหลวมๆ
และเวลานี้เอง เมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจูของอดีต พริบตาเดียวเวลากลางวันก็เหมือนกลางคืน
เซียนเหรินที่นั่งอยู่บนยอดสูงสุดของช่องโพรงทะเลเมฆประหนึ่งนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำแห่งหนึ่ง คล้ายกำลังหลุบตาลงต่ำมองกบใต้บ่อ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน หัวเราะเสียงดังลั่น
คำพูดประโยคหนึ่งดังสนั่นเหมือนฟ้าคำราม ‘เปิ่นจั้วจะเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าก่อนแล้วกัน!’
กระบี่บินสิบสองเล่มแทงทะลุชั้นเมฆจากบนฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ คนยักษ์ร่างทองเบิกดวงตาสีทองบริสุทธิ์คู่หนึ่งขึ้นมา ท่วงท่าเกียจคร้าน นั่งขัดสมาธิ สองหมัดยันไว้บนหัวเข่า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งจากหมัดขวาออกมาดีดเบาๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งเหมือนได้รับคำสั่งจึงแทงทะลุไปที่มือซึ่งกำเป็นหมัดหลวมๆ ของกายธรรมบัณฑิตลัทธิจงจื๊อ คนยักษ์สีทองที่อยู่เหนือทะเลเมฆ มือทั้งสองต่างก็ยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง ทุกครั้งที่ขยับขึ้นลง นิ้วบิดหมุนเบาๆ ก็จะมีกระบี่บินวาดวงโค้ง แขนทั้งแขนของกายธรรมลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อถูกกระบี่บินแทงทะลุเป็นรูนับพันรู
ต้องการจะใช้ฝนอาคมกระบี่บินสาดน้ำเย็นใส่ลมวสันต์
เส้นด้ายสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนลอดทะลุออกมาจากชั้นเมฆ
ปรากฏเป็นเจียวหลงเวทอสนีสามสี สายฟ้าสาดประกายพร่างพราว ตัดสลับถักทอเป็นตาข่ายขนาดใหญ่สามปาก ประหนึ่งมีดคมที่กรีดเฉือนร่างกายธรรมของบัณฑิตลัทธิขงจื๊อไปทีละนิด
ขณะเดียวกันก็สร้างค่ายกลใหญ่แห่งฟ้าดินขึ้นมาดูดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินไปอย่างบ้าคลั่ง สะบั้นการชักนำบนมหามรรคาระหว่างบัณฑิตกับใต้หล้าไพศาล พร้อมกันนั้นยังป้องกันไม่ให้สองเท้าของคนผู้นี้เหยียบลงบนพื้นของแจกันสมบัติทวีป
ต่อให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจะเป็นบัณฑิตแห่งใต้หล้าไพศาล ทว่าสองคนที่ลงมือกลับเป็นเทียนเซียนจากป๋ายอวี้จิงที่ข้ามใต้หล้ามา ฟ้าอำนวยดินอวยพร ล้วนไม่ยอมมอบให้ฝ่ายแรก!
หมัดของคนยักษ์ร่างทองต่อยลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อยทะลุมือที่ยกขึ้นมาของกายธรรมสีขาวหิมะไปโดยตรง ฝ่ามือของฝ่ายหลังถูกต่อยจนเป็นรูขนาดใหญ่ ฝ่ามือปริแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นช่วงแขนแต่ละช่วงก็ถูกหมัดพวกนั้นต่อยจนแหลกเละ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!