‘ทำอย่างที่ข้าอยากทำ’ ช่างกล่าวได้ดีนัก
สมกับเป็นการกระทำของผู้ฝึกกระบี่ ฟ้าดินไร้พันธนาการอย่างแท้จริง
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะออกไปจากศาลานั้นเอง ลู่เฉินก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าที่สำนักกระบี่ชิงผิงของพวกเจ้ามีภูเขาโฉวโหมวอยู่ด้วยหรือ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ภูเขาเซียนตูคือภูเขาหลัก ภูเขาโฉวโหมวและภูเขาอวิ๋นเจิงคือภูเขารอง เป็นสถานการณ์ของสามภูเขา ในเมื่อชุยตงซานคือเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างก็ย่อมต้องมีแผนการเป็นของตัวเอง”
ตามคำกล่าวของชุยตงซาน ในเมื่อฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีก็ควรจะเตรียมการล่วงหน้า (ภาษาจีนคือเว่ยอวี่โฉวโหมว) ควรต้องมีการวางแผนแต่เนิ่นๆ
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปเยือนใบถงทวีป ผินเต้าแค่เห็นไกลๆ จากบนมหาสมุทร ตั้งป้ายศิลาบนยอดเขาเป็นคำว่า ‘อู๋เฉาปู้ชู’ (หากคนอย่างพวกเราไม่ออกแรง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านจะทำอย่างไร) และ ‘เทียนตี้จื่อชี่’ (ปราณม่วงในฟ้าดิน) ลายมือบนป้าย แค่มองก็รู้ว่าเป็นลายมือของชุยตงซาน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เหมือนลายมือของซิ่วหู่อีกแล้ว แต่กลับรักษาความเหมือนทางจิตวิญญาณเอาไว้ได้หลายส่วน หลุดพ้นจากรูปแบบตายตัว ตามคำกล่าวของบนภูเขา นี่ก็คือคราบร่างเซียนอย่างหนึ่งแล้ว”
ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ผินเต้าอยู่ที่นี่ต้องขออวยพรล่วงหน้าให้เฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าปิดด่านได้สำเร็จ สร้างโอสถได้ระหว่างขั้นที่หนึ่งกับขั้นที่สอง นี่ดีมากแล้ว ไม่ต้องฉายประกายเฉียบคมมากเกินไป ทั้งยังรักษาความเป็นไปได้ไว้ได้อีกนับไม่ถ้วน”
เฉินผิงอันโล่งอก พยักหน้าเอ่ยว่า “ดีมากจริงๆ”
เล่าลือกันว่าขั้นหนึ่งของการสร้างโอสถคือคุณสมบัติของบินทะยานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ขั้นสองก็คือคุณสมบัติของห้าขอบเขตบน แต่โดยมากแล้วผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ระดับขั้นของโอสถทองในช่วงแรก อันที่จริงก็เป็นแค่ขั้นสองเท่านั้น
ลู่เฉินถาม “เกี่ยวกับข้า ฉีจิ้งชุน ชุยฉาน และยังมีชุยตงซาน พวกเขาต่างก็พูดอะไรบางอย่างกับเจ้าใช่หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นเตือนเจ้าเรื่องการคบค้าสมาคมกับข้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์ฉีเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า ‘วิญญูชนสามารถรังแกได้ด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผล’ ไม่ควรจงใจเล่นงานเจ้า แค่เผชิญหน้ากับเรื่องนั้นเท่านั้น”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ เจ้าลู่เฉิน หรือควรจะพูดว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงในเวลานั้นยังไม่ถึงขั้นทำให้อาจารย์ฉีต้องจงใจเอ่ยสั่งความอะไรกับเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงในเวลานั้นเป็นพิเศษ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ประโยคนี้ ความตั้งใจแรกสุดที่ใหญ่ที่สุด หรือควรจะพูดว่าความหวังของอาจารย์ฉี ก็คือให้เฉินผิงอันที่ได้รู้ความจริงในอนาคต อย่าได้ดึงดัน อย่าได้ละอายใจเกินไป
ลู่เฉินพึมพำว่า “เรื่องที่ฉีจิ้งชุนยังไม่ใส่ใจ แล้วเจ้าเฉินผิงอันจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม หากไม่เป็นเพราะเจ้ามองป๋ายอวี้จิงเป็นศัตรูเช่นนี้ ด้วยการกระทำที่เจ้าทำไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว มีที่ไหนที่จะไม่ใช่แขกผู้สูงศักดิ์บ้าง? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ขอแค่เจ้าไม่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับศิษย์พี่อวี๋ของผินเต้า ต่อให้แค่สู้ตายกับเจียงจ้าวหมอและผังติ่งให้รู้แล้วรู้รอด วันหน้าเจ้าไปเยือนป๋ายอวี้จิงก็ยังได้เป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของสี่นครสิบเอ็ดหอเรือนที่เหลืออยู่ดีไม่ใช่หรือ เจ้าไม่รู้อะไร ไม่รู้หรอกว่ามีพี่สาวเทพธิดากี่มากน้อยของป๋ายอวี้จิงที่สงสัยใคร่รู้และเลื่อมใสในตัวของ ‘อิ่นกวานเฉินสืออี’ ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้ที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองในประวัติศาสตร์หมื่นปี”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่พูดกับตัวเองว่า “ชุยตงซานเอ่ยประโยคหนึ่งบอกว่า หากในอนาคตอาจารย์จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับป๋ายอวี้จิงจริงๆ ก็จะต้องเรียนรู้การเลือกผักจากพ่อครัวเฒ่าด้วยการเด็ดลู่เฉินออกก่อน”
เห็นได้ชัดว่าความหมายของชุยตงซานเรียบง่ายอย่างยิ่ง หากอาจารย์อยากจะถามกระบี่กับป๋ายอวี้จิง ทางที่ดีที่สุดก็ให้อ้อมผ่านลู่เฉินไป ตัดแบ่งเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงออกจากป๋ายอวี้จิงทั้งแห่งก่อน
มีเพียงชิงลงมือเช่นนี้ถึงจะมีโอกาสคว้าชัยชนะในช่วงท้าย
“ใต้เท้าอิ่นกวาน คนที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดผู้นั้น เจ้าไม่อาจละเลยไปได้นะ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉีจิ้งชุนคือวิญญูชนผู้เที่ยงตรง ต่อให้มรรคกถาของเขาจะสูงแค่ไหน ความรู้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีทางกระทำการอย่างคนถ่อยได้ แต่ศิษย์พี่ชุยฉานของพวกเจ้ากลับไม่เหมือนกัน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “นอกจากบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว ลู่เฉินก็มีคนที่กริ่งเกรงด้วยหรือ? ถึงขั้นกริ่งเกรงว่าคนผู้นี้เอ่ยประโยคใดไปบ้างแล้วด้วย?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “หากชุยฉานไม่แบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องในใต้หล้า ให้เขาพุ่งเป้าเล่นงานใครบางคนโดยเฉพาะ ถ้าอย่างนั้นคนที่เขาจะเล่นงานนี้ ต่อให้เป็นเจิ้งจวีจงก็ต้องเจอกับเรื่องยากลำบากเหมือนกัน อย่างน้อยก็ต้องเป็นอุปสรรคขัดขวางกันและกัน เพราะชุยฉานทำอะไรมักใช้แนวทางที่ไม่ต่างจากการปฏิบัติตัวของผินเต้า”
ลู่เฉินยิ้มจนตาหยี สองมือกุมหมัดเขย่าเบาๆ “ขอร้องใต้เท้าอิ่นกวานโปรดไขข้อข้องใจให้ผินเต้าที ไม่อย่างนั้นกลับไปถึงป๋ายอวี้จิงแล้ว ผินเต้าก็คงจะยังกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเองก็เดาออกแล้ว ไยต้องให้ข้าเปลืองน้ำลายพูดด้วย”
“ชุยฉานอำมหิตยิ่งนัก!”
ลู่เฉินลูบกวานดอกบัวเหนือศีรษะ “เฉินผิงอัน เจ้าด้อยกว่าชุยฉานเยอะเลยนะ”
แผนการของชุยฉานก็คือหลังจากที่อิ่นกวานหนุ่มนำพาคนไปเยือนพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้สำเร็จแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่เฉินผิงอันใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่ ก่อนจะย้ายดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ไปไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัว
อยู่ดีไม่ว่าดีเฉินผิงอันก็พลันร่วมมือกับหนิงเหยา ฉีถิงจี้ สิงกวานหาวซู่ ลู่จือ!
ร่วมกันจัดการลู่เฉิน!
บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของลู่จือ พูดถึงแค่ศักยภาพที่แท้จริงในการโจมตีก็สามารถมองเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้เลย
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับมีเฉินผิงอันบวกกับขอบเขตบินทะยานอีกสี่คน ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย!
อยู่นอกใต้หล้ามืดสลัวและป๋ายอวี้จิง ล้อมสังหารลู่เฉินที่เป็นขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง
ลู่เฉินพูดอย่างสะท้อนใจ “ชุยฉานเล่าแผนการนี้ให้เจ้าฟังในครั้งสุดท้ายที่เขาปรากฎตัวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กระมัง? อีกทั้งด้วยขอบเขตของเจ้าในเวลานั้นก็ยากมากที่จะปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ชุยฉานต้องใช้เวทลับเฉพาะบางอย่างล่วงหน้าก่อนแล้ว พูดเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก่อน จากนั้นก็ให้เจ้าลืมมันไป สุดท้ายยังสามารถทำให้เจ้าจำเรื่องนี้ได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ถึงจะทำให้เจ้าแตกหักกับข้าในชั่วพริบตา ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน เกิดใจสังหาร”
ต่อให้ไม่พูดถึงเฉินผิงอันที่ได้ขอบเขตกลับคืน พูดถึงแค่การร่วมมือกันล้อมสังหารของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมือง และยังมีผู้ครองใต้หล้าแห่งใหม่…บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป่ยโต้ว’ เล่มนั้นของลู่จือ สิงกวานหาวซู่ที่ไม่สนความเป็นความตายยามถามกระบี่กับคนอื่น ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญบางอย่าง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นของเฉินผิงอันก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวที่ตัดสินผลแพ้ชนะได้
ใครเจอแล้วรับได้ไหวบ้าง?
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ ไม่ปฏิเสธ อันที่จริงก็คือการยอมรับอย่างหนึ่งแล้ว
ส่วนข้อที่ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงตัดสินใจไม่ทำเรื่องนี้ นั่นก็เพราะเขาเคยทำการหยั่งเชิงไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายเฉินผิงอันได้ผลลัพธ์ที่เหนือจากการคาดการณ์
ตอนนั้นเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งว่า
การเดินทางมาเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างครั้งนี้ ผู้ปกป้องมรรคาที่เดินทางร่วมกับอิ่นกวานเฉินผิงอัน คือลู่เฉินแห่งไพศาล
และลู่เฉินก็มีสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอบรับด้วยประโยคหนึ่งอย่างจริงใจว่า
ลู่เฉินแห่งไพศาล เป็นเกียรติที่ได้เดินทางร่วมกัน
นาทีนั้นเฉินผิงอันมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าลู่เฉินไม่ได้มีการเสแสร้งใดๆ คนผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงมาหลายพันปี ยอมรับในสถานะคนของ ‘ไพศาล’ ของตัวเองอย่างจริงใจ ยินดีมองใต้หล้าไพศาลเป็นบ้านเกิดที่แท้จริงของตัวเอง
ลู่เฉินเหลือบมองเฉินผิงอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!